คุณหนูสี่ สตรีเปื้อนเลือด - ตอนที่ 280 การแสดงละคร
ณ บริเวณหนึ่งในป่าเมฆาลัย ฉีอวิ๋นเหล่ยและคณะเดินทางกำลังเดินไปข้างหน้าอย่างใจเย็น
เป็นเพราะยังมีเวลาอีกมากพอสมควร พวกเขาจึงไม่รีบร้อนในขณะส่งคนออกไปหาร่องรอยอสูรมายาในเส้นทางข้างหน้าและตรวจสอบวัสดุหายากหรือสมบัติล้ำค่ารอบๆตัว
“พี่อวิ๋นเหล่ย ท่านรู้หรือไม่ว่าพี่อวี๋โม่ไปที่ใด?”
ซูเสี่ยวจวิ้นขมวดคิ้วมุ่น ใบหน้าเล็ก ๆ ดูน่ารักของนางแสดงสีหน้าไม่พอใจเล็กน้อย
“เสี่ยวจวิ้น พี่อวี๋โม่ของเจ้ามีแผนการของตนเองและมันไม่เหมือนกับของเรา ยิ่งไปกว่านั้น เราก็รู้พลังแท้จริงของเขาไม่ใช่รึ ? ไม่ต้องกังวลหรอกว่าเขาจะทำอะไร”
ฉีอวิ๋นเหล่ยยิ้มอย่างไม่มีทางเลือก เขาเองก็ไม่ทราบว่าฉินอวี้โม่คิดจะทำอะไร
อย่างไรก็ตาม เขารู้ดีว่าด้วยระดับพลังและไหวพริบของนาง นางไม่มีทางตกอยู่ในอันตรายในป่าเมฆาลัยแห่งนี้แน่
ยิ่งไปกว่านั้น ต่อให้นางเผชิญกับภยันตรายใด ๆ เขาเชื่อว่าผู้มีฝีมือสะท้านแผ่นดินอย่างนางจะสามารถเอาตัวรอดออกมาได้
“ก็ข้าเป็นห่วงพี่อวี๋โม่นี่นา”
ซูเสี่ยวจวิ้นมองบุรุษตรงหน้าด้วยสีหน้าที่ขุ่นเคือง นางกลัวว่าฉินอวี้โม่จะพบอันตรายหรือเกิดเรื่องร้ายที่ไม่อาจต้านทาน
“เอาล่ะ ข้ารู้ว่าเจ้าเป็นห่วงพี่อวี๋โม่ของเจ้า แต่เราต้องไว้วางใจและเชื่อมั่นในตัวเขา เขาไม่อยากให้เรากังวลหรอก”
บุรุษอ่อนโยนลูบศีรษะเด็กน้อยจอมดื้อตรงหน้าด้วยความเอ็นดูและกล่าวให้นางคลายใจ
“ชู่….”
เหวินซื่อชู่ขมวดคิ้วเล็กน้อยและจู่ ๆ เขาก็แสดงอากัปกิริยาให้ทั้งสองเงียบเสียงขณะมองไปในทิศทางหนึ่งด้วยสีหน้าที่จริงจัง
ซูเสี่ยวจวิ้นและฉีอวิ๋นเหล่ยมองหน้ากันพร้อมเงียบลงทันทีและมองไปในทิศทางเดียวกับเหวินซื่อชู่
“ดูเหมือนว่ามีใครบางคนกำลังวิ่งมาทางนี้”
เหวินซื่อชู่นิ่วหน้าและกล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชาปนระแวดระวัง
เมื่อได้ยินวาจาของบุรุษยิ้มยาก ทั้งฉีอวิ๋นเหล่ยและซู่เสี่ยวจวิ้นก็ยังคงมองหน้ากันเช่นเดิม
“ทุกคนหยุดพักที่นี่ก่อน เราจะหยุดเดินทางกันชั่วคราว”
ฉีอวิ๋นเหล่ยลั่นวาจาทันทีและเตรียมตัวรอดูใครคนนั้นที่วิ่งตรงเข้ามาหาพวกเขาอย่างรวดเร็ว
ทุกคนนั่งลงและมองไปในทิศทางที่เหวินซื่อชู่บอกว่ามีคนกำลังวิ่งมา
“ช่วยด้วย ช่วยข้าด้วย !”
ทันใดนั้น เสียงร้องขอความช่วยเหลือก็ดังขึ้น ทั้งสามได้ยินอย่างชัดเจนและขมวดคิ้วทันที
“พี่อวิ๋นเหล่ย นั่นมันเสียงคนร้องขอความช่วยเหลือนี่ เราจะไปดูหรือไม่ ?”
ซูเสี่ยวจวิ้นขมวดคิ้วและกล่าวเบา ๆ
ในคณะเดินทางนี้ ฉีอวิ๋นเหล่ยและเหวินซื่อชู่เป็นคนตัดสินใจเรื่องต่างๆ บุรุษผู้ยิ้มยากไม่ค่อยเอ่ยปากพูดมากนัก ซูเสี่ยวจวิ้นจึงกล่าวกับฉีอวิ๋นเหล่ยโดยตรงเมื่อเผชิญสิ่งใด
“รอดูไปก่อนเถอะ ข้ารู้สึกได้ว่าคนคนนั้นกำลังวิ่งตรงเข้ามาหาพวกเราอย่างรวดเร็ว”
ฉีอวิ๋นเหล่ยส่ายศีรษะเบาๆ เขาต้องการรอดูสถานการณ์ก่อน
พวกเขามิใช่คนเลือดเย็นที่ไม่แยแสสิ่งใด ทว่าพวกเขาก็ไม่ใช่คนจอมจุ้นที่ชอบยุ่งเรื่องคนอื่นเช่นกัน
สถานการณ์ในตอนนี้ ไม่ว่ามองอย่างไรก็ดูจะประหลาดเกินไป ก่อนวิเคราะห์สถานการณ์และหาคำตอบได้ พวกเขาจะไม่ทำอะไรบุ่มบ่ามไม่ยั้งคิด
“เข้าใจแล้ว”
ซูเสี่ยวจวิ้นตอบอย่างเป็นธรรมชาติ แม้ว่านางจะยังเด็กก็ไม่ได้หมายความว่านางจะไร้สมอง ในบางเรื่องบางราว นางมีความคิดเป็นของตัวเองเช่นกัน
เหวินซื่อชู่ไม่ได้พูดอะไร เขาเพียงมองไปในทิศทางของเสียงนั้นด้วยแววตาระแวดระวัง
พรืด !
เสียงหนึ่งดังขึ้นเมื่อบุรุษวัยกลางคนวิ่งฝ่าต้นไม้หนาทึบโดยรอบออกมาปรากฏตัวตรงหน้าคณะเดินทางของฉีอวิ๋นเหล่ย
ลมหายใจของเขาผิดปกติเล็กน้อยและมีรอยเลือดเปื้อนทั่วบริเวณริมฝีปาก ท่าทางของเขาดูอ่อนแรงอย่างมาก
เขายกมือทั้งสองจับอกของตนเองไว้ราวกับได้รับบาดเจ็บสาหัสและนัยน์ตาสิ้นหวัง ทว่าทันทีที่เห็นฉีอวิ๋นเหล่ยและคนอื่น ๆ ความหวังก็ทอประกายในแววตาของเขา
ตุบ !
บุรุษคนดังกล่าวทรุดล้มลงบนพื้นก่อนยื่นมือออกมาและเค้นเสียงกล่าว “ชะ..ช่วยด้วย!”
แน่นอนว่าคนผู้นี้คือ ‘สหายอู๋’ ที่ฉินอวี้โม่พบในส่วนลึกของป่าก่อนหน้านี้ การกระทำทั้งหมดในตอนนี้ล้วนเป็นการแสดงเท่านั้น
อดีตนักฆ่าสาวผู้ซึ่งซ่อนตัวอยู่อย่างลับๆก็มองเห็นเหตุการณ์ทั้งหมดได้อย่างชัดเจน
นางอดคิดไม่ได้ว่าทักษะการแสดงของสหายอู๋คนนี้ยอดเยี่ยมยิ่งนัก หากเขาอยู่ในยุคสมัยใหม่ เขาอาจมีอาชีพเป็นนักแสดงหนังได้เลย
“เจ้าสุนัขแก่อู๋ จะหนีไปไหน !”
ฉีอวิ๋นเหล่ยและคณะเดินทางยังไม่ได้ตอบโต้อะไรและจู่ๆก็มีเสียงตะโกนกร้าวดังขึ้นในโสตประสาท
จากนั้น บุรุษคนหนึ่งพร้อมด้วยคนกลุ่มใหญ่ที่ดูชั่วร้ายก็ปรากฏออกมา
“เจ้าสุนัขแก่อู๋ คิดว่าจะหนีพ้นงั้นรึ!”
บุรุษที่ถูกเรียกว่า ‘สหายไห่’ ก่อนหน้านี้มองกลุ่มของฉีอวิ๋นเหล่ยด้วยสีท่าทางที่เสแสร้งว่าแปลกใจก่อนมองไปที่สหายอู๋ซึ่งอยู่ตรงหน้าเขา สีหน้าของสหายไห่เปลี่ยนไปเล็กน้อยและลั่นวาจาอย่างเกรี้ยวโกรธ
ฉินอวี้โม่ผู้ซ่อนตัวอยู่ก็อดยกนิ้วให้กับอีกฝ่ายไม่ได้ การแสดงของหัวหน้ากลุ่มจอมวางแผนถือว่าอยู่ในระดับมืออาชีพเลยทีเดียว !
“เจ้าอันธพาลไห่ อย่าหาเรื่องผู้คนไปทั่วเช่นนี้อีกเลย!”
สหายอู๋ดูไร้เรี่ยวแรง ทว่าเมื่อเห็นอีกฝ่าย แววของเขาก็ฉายแววความมุ่งมั่นและอาจหาญไม่เกรงกลัว
เขานั่งอยู่บนพื้นด้วยลมหายใจที่แผ่วเบา หากฉินอวี้โม่ไม่ได้รู้ความจริงซะก่อน นางก็คงรู้สึกเห็นใจสหายอู๋ผู้นี้ไปแล้ว
“เจ้าอันธพาลไห่ ข้าเพียงพูดถึงขุมกำลังเมฆาทะยานของเจ้าแค่ไม่กี่คำและบอกว่าผู้นำขุมกำลังเสื้อคลุมทมิฬเป็นวีรบุรุษ เจ้าถึงกับต้องไล่ล่าตามสังหารข้า หากเจ้ายังกระทำการชั่วร้ายเช่นนี้ต่อไป ข้าจะฆ่าตัวตายต่อหน้าเจ้าให้รู้แล้วรู้รอดไป เจ้าจะไม่สามารถฉวยโอกาสอะไรได้อีกเลย !“
สหายอู๋พยายามพยุงร่างตัวเองยืนขึ้นและลั่นวาจาอย่างที่หารือกันไว้ก่อนหน้านี้ด้วยน้ำเสียงแน่วแน่
เมื่อได้ยินวาจาของเขา ฉีอวิ๋นเหล่ยและคนอื่น ๆ ก็มองหน้ากันและนิ่วหน้าเล็กน้อย
ถ้าหากสหายอู๋ที่บาดเจ็บผู้นี้กล่าวความจริง พวกเขาจะยืนดูอยู่เฉยๆไม่ได้ อย่างไรก็ตาม พวกเขาก็ไม่ใช่คนบุ่มบ่ามที่ทำอะไรไม่ยั้งคิด ดังนั้นจึงต้องการสังเกตการณ์ต่อไปโดยไม่ลงมือทำอะไร
“ฮ่าฮ่าฮ่า เจ้าช่างปากกล้ายิ่งนัก ข้าอยากจะรู้นักเชียว ในเมื่อเจ้าบอกว่าผู้นำขุมกำลังเสื้อคลุมทมิฬประเสริฐนักหนา วันนี้เขาจะช่วยเจ้าได้รึไม่? ถึงแม้ขุมกำลังเมฆาทะยานจะเคยพ่ายแพ้พวกเสื้อคลุมทมิฬที่น่ารังเกียจมาก่อน มันก็ไม่ได้หมายความว่าขุมกำลังของเราจะต้องดับสูญไปในดินแดนอ้างว้างแห่งนี้”
สหายไห่หรือที่ถูกเรียกว่าอันธพาลไห่ยกยิ้มมุมปากอย่างเย้ยหยันและกล่าวด้วยน้ำเสียงหยามเกียรติผู้นำขุมกำลังเสื้อคลุมทมิฬ
“หึ คนอย่างเจ้าก็แค่ตัวตลกที่ไม่มีความสำคัญอะไร ถึงแม้ท่านผู้นำขุมกำลังเสื้อคลุมทมิฬจะไม่มาช่วยข้า เขาก็ยังเป็นวีรบุรุษในใจของข้าไม่เปลี่ยนแปลง พวกคนชั่วช้าอย่างเจ้าเทียบไม่ได้สักนิด”
สหายอู๋แค่นเสียงเย็นชาและยังไม่มีร่องรอยของความกลัวใด ๆ
ต้องยอมรับเลยว่าฝีไม้ลายมือการแสดงของเขายอดเยี่ยมอย่างแท้จริง แม้แต่ฉินอวี้โม่ที่ซ่อนตัวดูสถานการณ์อยู่ห่าง ๆ ก็ยังรู้สึกถึงความปั่นป่วนของหัวใจเล็กน้อยเมื่อได้ยินวาจาและสีหน้าท่าทางของเขา
ที่สำคัญคือซูเสี่ยวจวิ้น ฉีอวิ๋นเหล่ยและคนอื่นๆยังไม่ได้รู้ความจริง
“ใช่แล้วล่ะ ลุงคนนี้พูดถูก ท่านผู้นำขุมกำลังเสื้อคลุมทมิฬคือวีรบุรุษผู้เกรียงไกร พวกคนชั่วช้าของขุมกำลังเมฆาทะยานเทียบไม่ได้แม้แต่ปลายเล็บ!”
หลังจากฟังอยู่นิ่งๆครู่ใหญ่ ซูเสี่ยวจวิ้นก็อดพูดออกไปไม่ได้ นางมองอีกฝ่ายอย่างดูถูกเหยียดหยาม
“นึกว่าพวกเมฆาทะยานจะไม่กล้าโผล่หน้าให้เห็นในดินแดนนี้แล้วซะอีก ไม่คิดเลยว่าพวกเจ้าจะซ่อนตัวอยู่ในป่าแห่งนี้ ยิ่งไปกว่านั้น เจ้ายังไล่ล่าสังหารบุรุษที่เอ่ยวาจาสัตย์จริงเช่นนี้ ดูเหมือนว่าขุมกำลังเมฆาทะยานจะยังคงเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนแปลง ความโอหังของพวกเจ้าไม่เปลี่ยนไปแม้แต่น้อย !”
ฉีอวิ๋นเหล่ยเองก็ตกเป็นเหยื่อการแสดงละครตบตาของสหายอู๋และอดกล่าวดูแคลนคนชั่วไม่ได้
เมื่อเห็นว่าทั้งฉีอวิ๋นเหล่ยและซูเสี่ยวจิ้นออกโรงและกล่าวออกไปอย่างจริงจัง สหายอู๋ก็แอบยกยิ้มมุมปากอย่างพึงพอใจ
มุมปากของสหายไห่เองก็เกือบจะเป็นรอยยิ้มเช่นกันทว่าเขากลบเกลื่อนไว้ได้อย่างแนบเนียนและแสดงสีหน้าโมโหอย่างมาก
“พวกเจ้าเป็นใครกัน อย่ามาแส่เรื่องของข้า พวกเราเมฆาทะยานกำลังสั่งสอนคนไม่รู้ความและไม่ได้ต้องการความเห็นจากคนที่ไม่เกี่ยวข้องอย่างพวกเจ้า!”
วาจาของสหายไห่ฟังดูกดขี่ข่มเหงอย่างชัดเจนจนฉีอวิ๋นเหล่ยและคนอื่นๆขมวดคิ้วทันที
“ท่านทั้งหลาย ขอบคุณมากที่ช่วยข้า แต่พวกท่านไม่จำเป็นต้องยุ่งเกี่ยวเรื่องนี้ให้เสียเวลา ผู้นำขุมเมฆาทะยานผู้นี้ยากจะรับมือ พวกท่านรีบหนีไปจากที่นี่ซะเถอะ !”
สหายอู๋หันกลับไปกล่าวกับบรรดาผู้หวังดีพร้อมส่ายหน้า เขาทอดถอนหายใจและกล่าวกับพวกเขาอย่างแนบเนียน
น้ำเสียงของสหายอู๋จริงใจอย่างมากจนโน้มน้าวให้ฉีอวิ๋นเหล่ยและคนอื่นๆเชื่ออย่างสนิทใจ พวกเขาเชื่อจริงๆว่าบุรุษผู้บาดเจ็บน่าจะพูดถึงขุมกำลังเสื้อคลุมทมิฬในทางที่ดีออกนอกหน้าและถูกไล่ล่าโดยผู้นำขุมกำลังเมฆาทะยาน
ถึงอย่างไรแล้วคนทั่วทั้งดินแดนก็รู้เรื่องราวความขัดแย้งระหว่างขุมกำลังเมฆาทะยานและขุมกำลังเสื้อคลุมทมิฬ การที่สหายไห่ผู้นี้ไล่ล่าหมายเอาชีวิตของสหายอู๋เช่นนี้จึงถือเป็นเรื่องที่ปกติ
“ฮ่าฮ่าฮ่า พวกเราเป็นมิตรสหายกับขุมกำลังเสื้อคลุมทมิฬ ในเมื่อท่านถูกไล่ล่าเพราะขุมกำลังเสื้อคลุมทมิฬ เราก็คงอยู่เฉยไม่ได้”
ฉีอวิ๋นเหล่ยกล่าวพร้อมยิ้มกว้าง บัดนี้เขาตกหลุมพรางเข้าไปเกี่ยวพันกับบุรุษแปลกหน้าทั้งสองแล้ว
“อีกอย่าง เมฆาทะยานก็เป็นศัตรูของพวกเรา ในเมื่อได้บังเอิญพบกันเช่นนี้ ถ้าไม่เข้าไปยุ่งก็คงไม่ใช่วิถีของพวกเรา”
เมื่อสหายไห่ได้ยินวาจาของฉีอวิ๋นเหล่ย เขาก็แสร้งทำเป็นชะงักเล็กน้อยก่อนมองทุกคนด้วยสีหน้าฉงน “นี่พวกเจ้าเป็นใครกันแน่?!”
ซูเสี่ยวจวิ้นยิ้มกว้างและกล่าว “ข้าซูเสี่ยวจวิ้น ส่วนนี่พี่ชายของข้าเหวินซื่อชู่และฉีอวิ๋นเหล่ย เจ้าคนสมองทึบ รู้ไว้ซะว่าพวกเราเป็นใคร !”
สีหน้าของสหายไห่เปลี่ยนไปทันทีเมื่อได้ยินซูเสี่ยวจวิ้นและใบหน้าของเขาบิดเบี้ยวจนดูไม่ได้
“ที่แท้ก็คนจากขุมกำลังราชาสวรรค์และไร้คู่เปรียบนี่เอง ไม่แปลกใจเลยที่พวกเจ้าจะยโสโอหังได้ถึงเพียงนี้ !”
“ไม่ว่าพวกเราจะยโสโอหังแค่ไหนก็ไม่เท่าพวกเจ้าเมฆาทะยานหรอก !”
ซูเสี่ยวจวิ้นเย้ยหยันอย่างไม่ไว้หน้า
“ข้าช่างโชคดีจริงๆ เป็นคนจากราชาสวรรค์และไร้คู่เปรียบนี่เอง”
สหายอู๋ดูตื่นเต้นอย่างยิ่งและรอยยิ้มบางๆปรากฏบนใบหน้าที่ซีดเซียวอิดโรย
“ข้าได้ยินมาว่าทั้งสองขุมกำลังและเสื้อคลุมทมิฬเป็นมิตรสหายที่ดีต่อกัน ตอนนี้การที่ข้าได้พบกับพวกท่านโดยบังเอิญ ข้ารอดแล้ว!”
แม้ว่ากล่าวเช่นนั้น เขาก็ลอบสบตาสหายด้วยความรู้สึกพึงพอใจ
ไม่น่าเชื่อเลยว่าฉีอวิ๋ยเหล่ยและคนอื่นๆจะโง่เขลาจนถูกตบตาได้อย่างง่ายดาย ในเมื่อเป็นเช่นนี้ การที่พวกเขาจะดำเนินแผนการขั้นตอนต่อไปก็ไม่ใช่เรื่องยาก
“เหอะ ก็แค่คนรุ่นเยาว์ไม่กี่คน ต่อให้ผู้นำทั้งสองขุมกำลังของพวกเจ้ามาที่นี่ด้วยตัวเอง ข้าก็ไม่เกรงกลัว ในเมื่อพวกเจ้าแกว่งเท้าหาเสี้ยนเอง อย่าหาว่าข้าไม่ปรานีก็แล้วกัน!”
สหายไห่แค่นเสียงอย่างเย็นชาและแผ่จิตสังหารแรงกล้าอย่างไม่ปิดบังอีกต่อไป
“คิดว่าพวกเรากลัวเจ้างั้นรึ?”
ฉีอวิ๋นเหล่ยและคณะขมวดคิ้วเล็กน้อย ถึงแม้พวกเขาจะประหม่าทว่าก็ไร้ซึ่งความกลัวใด ๆ
ฉินอวี้โม่ที่ซ่อนตัวและสังเกตการณ์มาโดยตลอดรู้สึกผิดหวังเล็กน้อย นางไม่คิดว่าสหายร่วมทางของตนจะเบาปัญญาจนเชื่อการแสดงตบตาของคนพวกนี้
หากนางไม่แสดงตัวเสียตั้งแต่ตอนนี้ อดีตนักฆ่าสาวเกรงว่าจะมีเรื่องร้ายเกิดขึ้น!
.