คุณหนูสี่ สตรีเปื้อนเลือด - ตอนที่ 291 การรวมตัวของยอดฝีมือ
เช้าตรู่ของวันนี้ สมาคมช่างหลอมก็เต็มไปด้วยผู้คนแออัดมากมาย
ฉินอวี้โม่และพวกออกจากสมาคมไปในตอนเช้าตรู่และตรงไปยังลานจัตุรัสของเมืองไป๋อวี้
งานชุมนุมช่างหลอมประจำปีจะจัดขึ้นที่จัตุรัสกลางเมืองแห่งนี้
เมื่อมาถึงจุดหมายพวกเขาก็พบว่าจัตุรัสเนืองแน่นไปด้วยผู้คนจากทุกสารทิศและบรรยากาศก็คึกคักอย่างมาก
งานชุมนุมครั้งนี้มีความสำคัญกว่าครั้งก่อนๆและของรางวัลก็ล้ำค่ากว่ามากเช่นกัน แน่นอนว่าการที่จะมีผู้คนเข้าร่วมเป็นจำนวนมากก็เป็นเรื่องที่ธรรมดา
เมื่อฉีอวิ๋นเหล่ย เหวินซื่อชู่และคณะเดินทางมาถึง พวกเขาก็พบผู้คนที่คุ้นหน้าคุ้นตามากมาย
คนเหล่านั้นก็รู้ถึงสถานะของบุรุษทั้งสองจึงได้เข้ามาทักทายพวกเขาพร้อมรอยยิ้มประดับบนใบหน้าอย่างเป็นมิตร
แน่นอนว่าอดีตนักฆ่าสาวไม่รู้จักคนเหล่านี้ อย่างไรก็ตาม ไม่ทราบเช่นกันว่าเพราะเหตุใดคนแปลกหน้าเหล่านี้จึงมีท่าทีเหมือนจะรู้จักนาง
“ไม่ต้องแปลกใจไปหรอก ในช่วงเวลาที่ผ่านมานี้ ข่าวของยอดฝีมือผู้ลึกลับที่อยู่ใกล้ตัวพวกข้าทั้งสองได้แพร่สะพัดไปทั่วเมืองไป๋อวี้แล้ว เพราะเหตุนั้นทุกคนจึงสงสัยเกี่ยวกับตัวเจ้าและต้องการรู้ว่าเจ้าเป็นใคร ถึงแม้เจ้าไม่รู้จักพวกเขา แต่ชื่อเสียงของเจ้าก็แพร่กระจายไปทั่วแล้วและหลายๆคนก็รับรู้ถึงเรื่องนี้”
ฉีอวิ๋นเหล่ยกระซิบเบาๆและอธิบายสถานการณ์เพื่อให้นางไม่แปลกใจกับสิ่งที่เกิดขึ้น
ฉินอวี้โม่พยักศีรษะเล็กน้อย เมื่อได้ยินวาจาของฉีอวิ๋นเหล่ย นางก็พอจะเข้าใจอะไรบางอย่างมากขึ้น
ในขณะที่สนทนากันอยู่นั้น ฉินอวี้โม่และคณะก็สังเกตเห็นร่างที่คุ้นหน้าคุ้นตาหลายคน
ไม่ว่าจะเป็นเฟิงอู๋จากตระกูลเฟิง คุณชายใหญ่จากขุมกำลังพญายม—จูตี๋ ผู้นำขุมกำลังเมฆาทะยาน—ไห่ป้าหวัง สหายอู๋และปรมาจารย์ช่างหลอมอย่างหวังซั่วที่มีเรื่องบาดหมางกับกลุ่มของนาง พวกเขาทั้งหมดกำลังมุ่งหน้าตรงมาทางนี้
“หึ ฉีอวิ๋นเหล่ย เหวินซื่อชู่ ได้พบกันอีกแล้ว!”
เฟิงอู๋แค่นเสียงเย็นชาและจงใจเมินฉินอวี้โม่ที่ยืนข้างคนทั้งสอง
“ใช่ มันน่ารังเกียจจริงๆ เหตุใดข้าจึงต้องเห็นคนน่ารังเกียจอย่างเจ้าอยู่ตลอดเวลา”
ฉีอวิ๋นเหล่ยและเหวินซื่อชู่ยังไม่ทันเอ่ยปาก ทว่าซูเสี่ยวจวิ้นก็อดกลั้นไม่ไหวและเอ่ยออกไปด้วยน้ำเสียงถากถาง
เมื่อได้ยินวาจาของเด็กสาว ใบหน้าของเฟิงอู๋ก็บิดเบี้ยวไปทันที
ทว่าเขาไม่ได้แสดงท่าทางโกรธแค้นฉุนเฉียวแต่กลับยิ้มอย่างยียวน “ฮ่าๆๆ ซูเสี่ยวจวิ้น ข้าจะปล่อยให้เจ้าปากดีต่อไปก่อน ครานี้เรามาที่เมืองไป๋อวี้เพื่อเข้าร่วมงานชุมนุม การตัดสินผู้ชนะที่แท้จริงก็ขึ้นอยู่กับฝีมือในการหลอม ข้าจะรอดูสีหน้าของพวกเจ้าตอนที่รู้ว่าได้อันดับรั้งท้าย ฮ่าๆๆ”
จากนั้นเฟิงอู๋ก็เมินคนทั้งกลุ่มและหันหลังเดินจากไปในทิศทางอื่นอย่างไม่สบอารมณ์
ฉีอวิ๋นเหล่ยและทุกคนไม่ได้สนใจคำพูดแสลงหูของเฟิงอู๋และท่าทางดูแคลนของคนอื่น พวกเขาเพียงยิ้มเล็กน้อยและไม่เก็บมาใส่ใจ
“คนพวกนี้หยิ่งยโสไม่เคยเปลี่ยน พวกเขาคงคิดว่าหวังซั่วมีโอกาสชนะจริงๆสินะ”
ซูเสี่ยวจวิ้นกล่าวอย่างรังเกียจ นางไม่พอใจกับคนเหล่านั้นมาก
เมื่อฉินอวี้โม่และคณะเดินได้วาจาหงุดหงิดของเด็กสาว ทั้งหมดก็หัวเราะเบาๆโดยไม่เอ่ยอะไร
ถึงอย่างไรหวังซั่วก็เป็นช่างหลอมมากฝีมือจริงๆและเขาก็หนึ่งในผู้เข้าแข่งขันที่แข็งแกร่งที่สุดในงานชุมนุมช่างหลอมนี้ การที่เฟิงอู๋และคนอื่นๆจะมั่นใจอย่างเต็มเปี่ยมเช่นนี้ก็ไม่ใช่เรื่องที่แปลกแต่อย่างใด
เพียงแต่ในบางครั้งจะเอ่ยวาจามากเกินไปไม่ได้ ไม่เช่นนั้นอาจจะเสียหน้าโดยที่ไม่รู้ตัว
“ดูนั่นสิ ปรมาจารย์กู่หยวนก็มาแล้ว”
ในขณะที่พูดคุยกันอยู่นั้น ฉินอวี้โม่และคนอื่นๆก็ได้ยินใครบางคนอุทานออกมา เมื่อมองไปตามทิศทางของเสียงนั้น นางก็เห็นบุรุษวัยกลางคนในอาภรณ์สีเขียวที่มีท่าทางเคร่งขรึมและไม่ยิ้มแย้มปรากฏตัวท่ามกลางสายตาของทุกคน
บุรุษผู้นี้คือช่างหลอมอันดับหนึ่งในตำนานของดินแดนแห่งนี้—กู่หยวน
เขามีอายุหลายร้อยปีแล้ว ทว่าเป็นเพราะสภาวะพลังและความแข็งแกร่ง เขาจึงดูไม่แก่ชราและดูเหมือนบุรุษวัยกลางคนคนหนึ่งเท่านั้น
ใบหน้าของเขาไร้รอยยิ้มและดูราวกับว่าเขาไม่แยแสสิ่งใด มีเพียงทักษะการหลอมอาวุธเท่านั้นที่จะทำให้เขาสนใจได้อย่างแท้จริง
เขาเป็นแขกผู้มีเกียรติประจำของงานชุมนุมช่างหลอมซึ่งจะพบเห็นในงานชุมนุมได้ทุกครั้ง หากแต่ทุกครั้งที่ผ่านมาเขามักเข้าร่วมในฐานะกรรมการผู้ตัดสิน
และในงานชุมนุมช่างหลอมครั้งนี้ เขาจะเข้าร่วมแข่งขันในฐานะช่างหลอมคนหนึ่ง การเปลี่ยนแปลงอย่างไม่คาดคิดนี้ทำให้ทุกคนสงสัยใคร่รู้และมีความคาดหวังอยู่ไม่น้อย
สีหน้าของกู่หยวนไม่เปลี่ยนแปลงแม้แต่น้อยเมื่อได้ยินเสียงฮือฮาของผู้คนโดยรอบ เขาก้าวเดินอย่างเนิบช้าตรงไปข้างหน้าและหยุดยืนหน้าเวทีสำหรับการแข่งขันโดยไม่เอ่ยปากพูดอะไร
“ปรมาจารย์กู่หยวนก็เข้าร่วมการแข่งขันครั้งนี้ด้วย ข้าคงไม่สงสัยแล้วว่าใครจะเป็นผู้คว้าชัยชนะของงานครั้งนี้ แผนที่ซากปรักหักพังของยอดฝีมือขอบเขตเซียนจะต้องตกเป็นของเขาเป็นแน่”
ใครบางคนอดกระซิบกระซิบเสียงเบาไม่ได้ เขาเชื่อว่ายอดฝีมือในตำนานอย่างกู่หยวนจะเป็นผู้คว้าชัยชนะในปีนี้อย่างแน่นอน
“ข้าก็คิดแบบนั้น แต่ถึงแม้ว่าความแข็งแกร่งของปรมาจารย์กู่หยวนจะถือว่าเหนือชั้นไร้เทียมทาน เขาก็แทบไม่เคยแสดงความสามารถที่แท้จริงออกมา ยิ่งไปกว่านั้น กฎในการแข่งขันครั้งนี้ก็น่าสนใจทีเดียว ไม่แน่อาจจะมีใครที่เจิดจรัสขึ้นมาก็เป็นได้”
อีกคนพยักศีรษะเห็นด้วย ทว่าเมื่อนึกถึงกฎเกณฑ์ในการแข่งขันของงานชุมนุมประจำปีนี้ที่เปลี่ยนไปจากเดิมอย่างสิ้นเชิง เขารู้สึกว่าชัยชนะของกู่หยวนอาจไม่แน่นอนเท่าไหร่นัก
“ใช่แล้วล่ะ เฟิงเสวี่ยเฉินจากขุมกำลังหนึ่งนภาก็ไม่ธรรมดาเลย อีกทั้งสภาวะพลังของเขาก็แข็งแกร่งมาก บางทีเขาอาจเป็นคนที่คว้ารางวัลอันดับหนึ่งไปครอง”
ใครบางคนกล่าวความคิดเห็นของตนเองออกมา พวกเขาเชื่อว่าเฟิงเสวี่ยเฉินผู้แกร่งกล้าก็มีโอกาสเป็นผู้ชนะเช่นกัน
ขณะสนทนากัน ฉินอวี้โม่ก็มองเห็นกลุ่มคนที่มีเจ็ดถึงแปดคนเดินตรงเข้ามา
คนที่เดินนำหน้าเป็นบุรุษวัยกลางคนที่ดูเป็นมิตรมีเมตตาและแผ่บรรยากาศอ่อนโยนดุจสายลมในฤดูใบไม้ผลิไปยังผู้คนรอบข้าง ถัดจากเขาคือบุรุษสวมอาภรณ์สีขาวสะอาดตาที่มีท่าทีเฉยเมยและมีอายุประมาณสามสิบปี
ความแข็งแกร่งของทุกคนในกลุ่มนี้น่าสะพรึงกลัวและยากเกินจะหยั่งถึง ทันทีที่พวกเขาปรากฏตัวก็ตกเป็นเป้าสายตาของทุกคนทั่วลานจัตุรัส
“นั่นคือผู้นำขุมกำลังหนึ่งนภา—เฟิงอู๋เฉิน คนที่อยู่ถัดจากเขาคือหัวหน้าช่างหลอมแห่งขุมกำลังหนึ่งนภา—เฟิงเสวี่ยเฉิน เขาคู่ควรแก่การเป็นจุดสนใจในงานชุมนุมครั้งนี้จริงๆ”
ฉีอวิ๋นเหล่ยกระซิบบอกข้างหูฉินอวี้โม่เพราะรู้ว่านางไม่เคยเห็นหน้าคนเหล่านี้
ฉินอวี้โม่พยักศีรษะเบาๆ ต่อให้ฉีอวิ๋นเหล่ยไม่อธิบาย นางก็คาดเดาตัวตนของคนกลุ่มนี้ได้ไม่ยาก
พวกเขามีความแข็งแกร่งที่ไม่สามารถมองข้ามได้เลยจริงๆ ในดินแดนนี้คงไม่มีใครแข็งแกร่งไปกว่าพวกเขาอีก
“ท่านลุงเฟิง”
เมื่อเฟิงอู๋เฉินเดินตรงเข้ามาหาคณะเดินทางของฉินอวี้โม่ ฉีอวิ๋นเหล่ย เหวินซื่อชู่และซูเสี่ยวจวิ้นก็ก้าวออกไปข้างหน้าและกล่าวทักทายอย่างเคารพนอบน้อม
“โอ้ พวกเจ้าก็มากันครบเลย น้องซูและน้องฉีเป็นอย่างไรบ้าง?”
เฟิงอู๋เฉินพยักศีรษะให้กับบรรดาเด็กรุ่นเยาว์ เขาดูจะมีความสัมพันธ์ที่ดีกับทั้งสามคน
“ทั้งสองท่านสบายดีเจ้าค่ะ เดิมทีบิดาของข้าและลุงฉีตั้งใจจะมาที่งาน แต่มีเรื่องบางอย่างเกิดขึ้นติดพันจนพวกเขามาไม่ได้ ทั้งสองท่านก็ฝากทักทายท่านลุงเฟิงด้วยเจ้าค่ะ”
ซูเสี่ยวจวิ้นเอ่ยตอบและอธิบายอย่างคร่าวๆ
“แล้วพี่ชางล่ะเจ้าคะ?”
แน่นอนว่าผู้ที่ซูเสี่ยวจวิ้นกล่าวถึงคือยอดฝีมืออันดับหนึ่งของทำเนียบรุ่นเยาว์และเป็นบุตรชายของเฟิงอู๋เฉิน
“ชางเอ๋อร์กำลังเก็บตัวฝึกฝนเพื่อเตรียมพร้อมสำหรับงานชุมนุมวายุเมฆา เมื่อถึงตอนนั้น เจ้าจะได้พบเขาแน่”
เฟิงอู๋เฉินยิ้มอย่างมีความสุข เมื่อกล่าวถึงบุตรชายหัวแก้วหัวแหวน เขาไม่สามารถซ่อนสีหน้าแห่งความภาคภูมิใจไว้ได้เลย
“นี่คือผู้ที่มีข่าวลือหนาหูในช่วงนี้สินะ ผู้ใช้ข่ายอาคมที่ที่มีนามว่าอวี๋โม่”
เฟิงอู๋เฉินเลื่อนสายตามองไปที่ฉินอวี้โม่ซึ่งอยู่ด้านข้างพร้อมพยักศีรษะและเอ่ยถาม
เมื่อได้ยินคำถามของผู้นำขุมกำลังหนึ่งนภา คุณหนูสี่ตระกูลฉินในคราบบุรุษก็ก้าวออกไปข้างหน้าและยิ้มอย่างสุภาพ “ข้าน้อยอวี๋โม่คารวะท่านผู้นำขุมกำลังหนึ่งนภาขอรับ”
“ฮ่าๆๆ ไม่ต้องมีพิธีรีตองอะไรหรอก เรียกข้าว่าลุงเฟิงเหมือนที่เสี่ยวจวิ้นและคนอื่นๆเรียกเถอะ”
เฟิงอู๋เฉินยิ้มอย่างเป็นมิตรและกล่าวกับนาง
เมื่อได้ยินเช่นนั้น ฉินอวี้โม่ก็ไม่ได้เอ่ยพูดอะไรต่อ เพียงแต่พยักหน้าอย่างว่าง่ายเท่านั้น
“เหวินเอ๋อร์ ในช่วงเวลาที่ผ่านมานี้ เจ้าได้พัฒนาทักษะการหลอมของตนเองรึไม่?”
เฟิงเสวี่ยเฉินซึ่งอยู่ด้านข้างมองเหวินซื่อชู่และเอ่ยถามพร้อมรอยยิ้ม
“พัฒนากว่าแต่ก่อนมากขอรับและอาเฟิงจะได้เห็นหลังจากนี้”
เหวินซื่อชู่ยกยิ้มมุมปากขณะกล่าวตอบ ดูเหมือนว่าเขาจะมีความสัมพันธ์ที่ดีกับเฟิงเสวี่ยเฉินเช่นกัน
เหวินซื่อชู่เป็นคนเย็นชาอยู่เสมอ ไม่ว่าซูเสี่ยวจวิ้นและฉีอวิ๋นเหล่ยสาดวาจาโต้ตอบกันมากเพียงใด เขาก็แทบไม่เคยยิ้มแย้ม วันนี้เขาถึงกับยิ้มให้เห็น นั่นแสดงให้เห็นว่าความสัมพันธ์ระหว่างเขาและเฟิงเสวี่ยเฉินเป็นไปในทางที่ดีอย่างมาก
“ฮ่าๆๆ เจ้าหนู เจ้านี่รู้จักการทำให้ผู้อื่นตั้งตารอคอยจริงๆ”
เฟิงเสวี่ยเฉินหัวเราะเบาๆก่อนกล่าวต่อ “การแข่งขันในงานปีนี้ดุเดือดมาก เจ้าจะต้องแสดงฝีมืออย่างเต็มที่ อย่าทำให้ขุมกำลังไร้คู่เปรียบเสียหน้าล่ะ”
เหวินซื่อชู่พยักศีรษะโดยไม่ตอบอะไร
เฟิงอู๋เฉินคุยกับฉีอวิ๋นเหล่ยต่ออีกเล็กน้อยก่อนเดินตรงไปทางเวทีเพื่อไปยังที่นั่งสำหรับกรรมการตัดสิน
ส่วนเฟิงเสวี่ยเฉินก็ยืนข้างฉีอวิ๋นเหล่ยและคนอื่นๆขณะสนทนาพาทีกันอย่างสนุกสนาน
ไม่นานหลังจากนั้น จู่ๆกลิ่นอายทรงพลังจำนวนหนึ่งก็แผ่ออกจากตรงกลางเวทีก่อนที่กลุ่มคนหลายคนจะปรากฏตัวขึ้น
“ฮ่าๆๆ น้องเฟิง เจ้ามาก่อนเวลาทีเดียว”
เมื่อคนผู้นั้นเห็นเฟิงอู๋เฉินซึ่งเดินเข้ามานั่งบนเวที เขาก็ยิ้มออกมาและกล่าวทักทาย
“นั่นเป็นเรื่องที่แน่นอน ใครจะกล้ามาสายเมื่อได้รับคำเชิญจากท่านเยว่เล่า”
เฟิงอู๋เฉินยิ้มและกล่าวติดตลก
คนผู้นั้นไม่ใช่ใครอื่นหากแต่เป็นประธานสมาคมช่างหลอม ช่างหลอมที่ทรงอิทธิพลที่สุดในดินแดนอ้างว้าง—เยว่ชิง
เยว่ชิงมีอายุหลายร้อยปีเช่นกันทว่าเขาดูเหมือนบุรุษอายุห้าสิบหรือหกสิบปีเท่านั้น เขามีรอยยิ้มประดับบนใบหน้าเสมอซึ่งทำให้เขาดูเข้าถึงง่ายราวกับบุรุษชราซุกซน
“ฮ่าๆๆ น้องเฟิง เจ้าไปเรียนรู้การพูดตลกแบบนี้มาตั้งแต่เมื่อไหร่กัน ฮ่าๆๆ”
เยว่ชิงอดหัวเราะกับวาจาของเฟิงอู๋เฉินไม่ได้
“ข้าไม่ได้เรียนรู้มาจากท่านเยว่ก็แล้วกัน”
เฟิงอู๋เฉินยิ้มตอบ ดูเหมือนว่าคนทั้งสองจะสนิทสนมกันพอสมควร
“จะว่าไปแล้ว ข้าจะแนะนำคนอื่นๆให้ได้รู้จัก แต่คิดว่าทุกคนก็น่าจะรู้จักกันอยู่แล้ว
เยว่ชิงยิ้มเล็กน้อยและชี้ไปที่สามคนรอบตัวพร้อมกล่าว “นี่คือประธานเย่าเหยียนแห่งสมาคมโอสถ ประธานซางเสวียนแห่งสมาคมทหารรับจ้างและประธานหลี่เอินแห่งสมาคมผู้ฝึกสัตว์อสูร”
เฟิงอู๋เฉินจำพวกเขาเหล่านี้ได้ดี ทว่าหลังจากเยว่ชิงแนะนำสถานะของทั้งสามคน เขาก็ยังยิ้มให้กับคนเหล่านั้นและทักทายทีละคนอย่างสุภาพ
“ฮ่าๆๆ ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่จะรวมตัวพวกเราหลายคนในงานชุมนุมช่างหลอมนี้ได้”
เยว่ชิงยิ้มเล็กน้อยและกล่าวต่อ “ขอบคุณทุกคนมากที่มากันอย่างพร้อมหน้าพร้อมตา”
เฟิงอู๋เฉินและคนอื่นๆหัวเราะด้วยกันโดยไม่ได้เอ่ยพูดอะไรอีก
“ขออภัยด้วย ดูเหมือนว่าข้าจะมาช้าไปหน่อย”
ขณะที่พวกเขาพูดคุยกันอยู่นั้น เสียงเบาทว่าชัดเจนเสียงหนึ่งดังขึ้นในหูของทุกคน จากนั้นร่างบางก็ปรากฏตัวบนเวที
.