คุณหนูสี่ สตรีเปื้อนเลือด - ตอนที่ 296 อุปกรณ์ระดับวิจิตรขั้นพิภพ
ลำแสงที่ส่องสว่างเจิดจ้าอย่างกะทันหันทำให้ทุกคนชะงักค้างไปชั่วขณะก่อนมองไปที่แท่นสูงซึ่งเป็นแหล่งที่มาของแสงนั้นอย่างพร้อมเพรียงกัน
สิ่งที่ทุกคนมองเห็นคือเตาหลอมตรงหน้าบุรุษวัยกลางคนแผ่รังสีเรืองรองเป็นประกายแวววับ
มีสีสันรวมทั้งหมดสี่สีซึ่งประกอบไปด้วยสีแดง สีส้ม สีเหลืองและสีเขียวปรากฏอยู่รอบเตาหลอมของเขาและดูโดดเด่นสะดุดตาเป็นที่สุด
“อุปกรณ์ระดับวิจิตรขั้นสูง!”
ใครคนหนึ่งโพล่งออกไปด้วยน้ำเสียงเจือความอัศจรรย์ใจและไม่อยากเชื่อ
การปรากฏของลำแสงสว่างไสวรอบๆเตาหลอมจะเกิดขึ้นก็ต่อเมื่อหลอมอุปกรณ์ตั้งแต่ระดับวิจิตรขั้นกลางขึ้นไปได้สำเร็จเท่านั้น
และการที่เตาหลอมนี้ส่องแสงสี่สีออกมานั้น มันก็ควรจะเป็นอุปกรณ์ในระดับวิจิตรขั้นสูง
แม้ไม่ใช่ช่างหลอม ทุกคนในที่นี้ต่างก็เคยได้ยินว่าลำแสงที่น้อยกว่าสามสีหมายถึงอุปกรณ์ระดับวิจิตรขั้นกลาง มากกว่าสามสีหมายถึงอุปกรณ์ระดับวิจิตรขั้นสูงและลำแสงมากกว่าห้าสีหมายถึงอุปกรณ์ระดับวิจิตรขั้นพิภพเป็นอย่างต่ำ และเมื่อลำแสงทั้งเจ็ดสีครบสมบูรณ์ แน่นอนว่านั่นคืออุปกรณ์ระดับวิจิตรขั้นสุริยะซึ่งเป็นขั้นสูงสุดในระดับวิจิตร
“อุปกรณ์ระดับวิจิตรขั้นสูงชิ้นแรกปรากฏแล้ว คนที่หลอมอุปกรณ์ระดับสูงเช่นนี้ได้จะต้องเป็นช่างหลอมระดับปรมาจารย์เป็นอย่างต่ำ”
หลังจากชะงักค้างเพราะความประหลาดใจไปชั่วครู่หนึ่ง ทุกคนก็กลับสู่สภาวะปกติ
พวกเขาทั้งหมดเข้าใจดีว่ายิ่งใช้เวลาในการหลอมมากเท่าไหร่ ระดับของสิ่งหลอมก็จะสูงขึ้นมากเช่นนั้น
อย่างไรก็ตาม แม้ว่าช่างหลอมผู้นี้จะหลอมอุปกรณ์ในระดับวิจิตรขั้นสูงออกมาได้ มันก็ไม่ใช่เป็นเรื่องที่เรื่องวิเศษวิโสมากนัก เพราะในงานชุมนุมช่างหลอมครั้งนี้ ผู้ชนะสุดท้ายยังคงอยู่ในหมู่ช่างหลอมที่กำลังหลอมอุปกรณ์ของตนเองอยู่บนแท่นสูง
และก็แน่นอน อีกหนึ่งก้านธูปต่อมา ช่างหลอมผู้นั้นก็หยิบอุปกรณ์ระดับวิจิตรขั้นสูงที่เป็นผลงานของเขาออกมาและมันคือกระบี่ที่ดูงดงามอย่างยิ่ง
ร่างของเขากะพริบมาปรากฏตรงหน้าผู้อาวุโสหลัวหลินอย่างรวดเร็ว เมื่อเห็นว่ายังมีอีกหลายคนที่ยังคงหลอมผลงานของตนเอง ช่างหลอมผู้นั้นก็ไม่ได้มีท่าทีผิดหวังใดๆ ในทางตรงกันข้าม สีหน้าของเขาเปี่ยมด้วยความพึงพอใจและเขามีความสุขกับผลงานของตนเองอย่างมาก
“ฮ่าๆๆ ท่านสามารถหลอมอุปกรณ์ระดับวิจิตรขั้นสูงชิ้นแรกของงานปีนี้ได้ ความสามารถของท่านยอดเยี่ยมจริงๆ”
หลัวหลินกล่าวพร้อมรอยยิ้มกับช่างหลอมที่ดูมีอายุไม่เกินหนึ่งร้อยปีตรงหน้าของเขาและอดกล่าวชมไม่ได้
หากว่าช่างหลอมระดับปรมาจารย์มีอายุไม่ถึงหนึ่งร้อยปี มันก็แสดงให้เห็นว่าทักษะการหลอมและพรสวรรค์ของเขาน่าทึ่งอย่างมาก
แม้แต่หลิวหลัวในตอนนี้ก็ยังเป็นช่างหลอมระดับปรมาจารย์ และเยว่ชิงผู้เป็นประธานสมาคมช่างหลอมก็บรรลุถึงระดับปรมาจารย์ได้ในตอนที่อายุเกือบหนึ่งร้อยปี
ในอนาคตข้างหน้า ช่างหลอมระดับปรมาจารย์ตรงหน้าเขาน่าจะพัฒนาได้อีกมากทีเดียว
“ขอบคุณท่านอาวุโสหลัวหลินสำหรับคำชม จะว่าไปแล้ว นี่ก็เป็นครั้งแรกที่ข้าหลอมอุปกรณ์ระดับวิจิตรขั้นสูงได้สำเร็จ”
ช่างหลอมผู้นี้ความสุขเปี่ยมล้นและวาจาเปี่ยมไปด้วยความตื่นเต้นอย่างไม่ปิดบัง
เขาเพิ่งพัฒนาเข้าสู่ระดับปรมาจารย์และยังไม่เคยประสบความสำเร็จในการหลอมอุปกรณ์ระดับวิจิตรขั้นสูง ในงานชุมนุมช่างหลอมครั้งนี้เป็นความบังเอิญที่เขาหลอมอาวุธระดับสูงเช่นนี้ได้และมันถือเป็นผลงานดีสำหรับเขามาก
หลัวหลินบันทึกข้อมูลคุณสมบัติของอุปกรณ์ระดับวิจิตรขั้นสูงอย่างรวดเร็วและถามชื่อของช่างหลอมเจ้าของผลงานรวมถึงทดสอบอายุของเขาด้วยลูกบอลแสง
และก็เป็นอย่างที่เขาคาดไว้ บุรุษผู้นี้มีอายุไม่ถึงห้าสิบปีด้วยซ้ำและมีอายุเพียงสี่สิบหกปีเท่านั้น เขามีนามว่าจูโยวหรานและเป็นช่างหลอมอิสระ
“ฮ่าๆๆ กลับไปพักผ่อนก่อนเถอะ เราจะประกาศผลหลังจากที่ทุกคนส่งผลงานเสร็จสิ้น”
หลัวหลินยิ้มและบอกให้บุรุษตรงหน้ากลับไปพักผ่อนตามอัธยาศัย
อุปกรณ์ระดับวิจิตรขั้นสูงที่หลอมโดยจูโยวหรานไม่ได้มีคุณสมบัติที่ดีนัก ทว่าด้วยอายุของเขา หากพิจารณาในกลุ่มอายุระหว่างยี่สิบถึงหนึ่งร้อยปี มันก็ถือเป็นหนึ่งในผลงานที่ดีที่สุด
“ขอรับ”
จูโยวหรานพยักศีรษะก่อนผละออกไปยังมุมหนึ่งของลานและยืนชมฝีมือการหลอมของฉินอวี้โม่และคนอื่นๆ
เมื่อผ่านไประยะหนึ่ง หลายคนหลอมอุปกรณ์ของตนเองเสร็จสิ้นโดยมีหลายคนที่หลอมอุปกรณ์ระดับวิจิตรขั้นสูงได้เช่นเดียวกับจูโยวหราน ทว่ามีช่างหลอมคนหนึ่งโชคร้ายและเกิดอุบัติเหตุขึ้นระหว่างกระบวนการหล่อแบบส่งผลให้การหลอมของเขาล้มเหลว
แม้ว่ายังมีเวลาสำหรับการแข่งขันอีกมากกว่าหนึ่งวัน ช่างหลอมคนนั้นก็ไม่มีวัสดุเหลือสำหรับเริ่มหลอมสิ่งที่ต้องการใหม่ ท้ายที่สุดเขาก็ทำได้เพียงหลอมอุปกรณ์ระดับวิจิตรขั้นต้นเท่านั้น
เมื่อตะวันตกดินในวันที่สอง แท่นสูงสำหรับผู้เข้าแข่งขันเกือบทั้งหมดก็ว่างเปล่า บัดนี้เหลือเพียงฉินอวี้โม่ หวังซั่ว กู่หยวนและเฟิงเสวี่ยเฉินเท่านั้นที่ยังคงทำการหล่อหลอมอย่างใจเย็น
อีกคืนผ่านไปอย่างเงียบ และผลงานของทั้งสี่คนยังไม่เสร็จสมบูรณ์ แม้ว่าทั้งสี่ดูผ่อนคลายลงกว่าก่อน ทว่าเตาหลอมของพวกเขาก็ยังไม่แสดงปฏิกิริยาใดๆ
บัดนี้โครงสร้างอย่างคร่าวๆของคฤหาสน์ของฉินอวี้โม่ก็เสร็จสิ้นแล้วและเหลือเพียงขั้นตอนหล่อสุดท้าย
ภายในหนึ่งวันนี้ นางมั่นใจเต็มเปี่ยมว่าจะหลอมคฤหาสน์ที่ต้องการได้เสร็จสมบูรณ์ก่อนพระอาทิตย์ตกดิน
ช่างหลอมอีกสามก็ยังคงใจเย็นเช่นกันราวกับว่าพวกเขาก็ดำเนินมาถึงขั้นตอนสุดท้ายแล้วและในไม่ช้าผลงานก็จะเสร็จสมบูรณ์
เมื่อเวลาครึ่งวันผ่านไป เสียงกรอบเบาๆก็ดังขึ้นจากเตาหลอมของฉินอวี้โม่
เมื่อได้ยินเสียงนั้น หลายคนที่พอจะเข้าใจศาสตร์การหลอมก็หันไปมองที่ฉินอวี้โม่ทันที
เพราะมันคือเสียงที่มักดังขึ้นก่อนการลุกไหม้
“เขากำลังจะล้มเหลวงั้นรึ?”
ช่างหลอมบางคนอดพึมพำออกมาเบาๆไม่ได้ขณะมองไปที่ฉินอวี้โม่อย่างตึงเครียด
เยว่ชิงและเย่าเหยียนก็สังเกตเห็นสิ่งที่เกิดขึ้นเช่นกัน ทั้งสองเกิดความกังวลเกาะกุมในหัวใจทันที
“เกิดอะไรขึ้น?”
ซูเสี่ยวจวิ้นไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้นทว่านางอดเอ่ยถามออกไปด้วยความสับสนไม่ได้เมื่อเห็นทุกคนมองไปที่ฉินอวี้โม่อย่างพร้อมเพรียง
“เกรงว่าสิ่งหลอมของเขาอาจจะลุกไหม้”
เหวินซื่อชู่ขมวดคิ้วมุ่นพลางกล่าวตอบ ถึงแม้ว่าเขาไม่อยากจะเชื่อ ทว่าด้วยประสบการณ์ในศาสตร์การหลอมของเขา เสียงที่ดังขึ้นเมื่อครู่ก็เป็นเสียงที่มักจะดังขึ้นก่อนเกิดการลุกไหม้จริงๆ
“นี่มันเป็นไปได้อย่างไร?!”
เมื่อได้ยินวาจาของบุรุษยิ้มยาก สีหน้าของซูเสี่ยวจวิ้นก็เหยเกไปทันทีขณะมองไปที่ฉินอวี้โม่ด้วยแววตาวิตกกังวล
ฉีอวิ๋นเหล่ยเองก็กังวลเช่นกัน เดิมทีเขาก็มีความมั่นใจในตัวของคุณหนูสี่ตระกูลฉินมาก หากแต่ไม่คาดคิดว่าจะเกิดเหตุการณ์เช่นนี้
“หึ ข้าก็นึกว่าเจ้าจะเก่งกาจจริงๆ ที่ไหนได้..มีดีเพียงถ้อยคำโอ้อวดคุยโวเท่านั้น”
หวังซั่วแค่นเสียงและกล่าวเย้ยฉินอวี้โม่อย่างสาแก่ใจ
อดีตนักฆ่าสาวไม่สนใจอีกฝ่ายแม้แต่น้อยขณะขมวดคิ้วมุ่น บัดนี้หัวใจของนางก็เกิดความกังวลขึ้นมาเช่นกัน
เห็นได้ชัดว่าตอนนี้ยังไม่มีอะไรเกิดขึ้น แล้วเหตุใดจึงมีเสียงที่เป็นลางเช่นนั้นดังขึ้นมาได้?
“นายหญิง ไม่ต้องกังวล สิ่งที่ท่านต้องการหลอมได้คืบหน้าไปไกลเกินกว่าข้อสันนิษฐานของท่านแล้ว มันจึงเกิดเหตุการณ์เช่นนี้ขึ้น”
เสียงของมารยาดังขึ้นในห้วงจิตของฉินอวี้โม่เพื่อบอกให้นางวางใจ
เมื่อได้ยินคำอธิบายจากมารยา ฉินอวี้โม่ก็คลายกังวลและถอนหายใจเบาๆพลางคิดหาทางแก้ไขอย่างรวดเร็ว
ทว่าในขณะที่นางนิ่งใช้ความคิดอยู่นั้น กลิ่นอายเยือกเย็นก็แผ่มาจากร่างของนางและพุ่งตรงเข้าหาเตาหลอมเสมือนจริงตรงหน้าอย่างรวดเร็ว
“โปรดวางใจเถอะ”
น้ำเสียงอันทรงพลังและน่าเกรงขามของซิวดังขึ้นในโสตประสาทของนางและเตาหลอมเสมือนจริงตรงหน้าก็สงบเงียบในทันที เสียงลางร้ายที่ดังขึ้นเมื่อครู่ก็หายไปอย่างไร้ร่องรอย
อย่างไรก็ตาม กลิ่นอายเยือกเย็นที่มารยาแผ่ออกมายังคงห้อมล้อมรอบเตาหลอมราวกับกำลังปกป้องบางสิ่งบางอย่าง
เมื่อเสียงที่ได้ยินที่เงียบลง ทุกคนก็ผ่อนคลายลงเช่นกัน
การที่เสียงนั้นเงียบหายไปบ่งบอกว่าวิกฤตการณ์ลุกไหม้ได้หายไปแล้ว บัดนี้เหลือเพียงรอให้สิ่งหลอมของนางเสร็จสมบูรณ์เท่านั้น
“เย้ พี่อวี๋โม่เก่งที่สุดเลย!”
ซูเสี่ยวจวิ้นตะโกนด้วยความดีใจ
ใบหน้าของฉีอวิ๋นเหล่ยก็ประดับด้วยรอยยิ้มเช่นกันและความกังวลเกี่ยวกับฉินอวี้โม่เมื่อครู่ก็อันตรธานหายไปพร้อมเสียงนั้น
เหวินซื่อชู่และฉีป่ายเฉาถอนหายใจด้วยความโล่งอกขณะมองไปในทิศทางของฉินอวี้โม่ด้วยความคาดหวังอย่างเต็มเปี่ยม
พวกเขาอยากรู้เป็นที่สุดว่าฉินอวี้โม่กำลังหลอมสิ่งใดและเหตุใดจึงเกิดปฏิกิริยาเช่นนั้นได้
ยิ่งไปกว่านั้น สำหรับช่างหลอมทั่วไป มันเป็นเรื่องยากที่จะแก้ไขสถานการณ์ของการลุกไหม้ ทว่าการที่ฉินอวี้โม่สามารถแก้ไขวิกฤตนี้และทำให้เตาหลอมสงบลงเช่นเดิมได้ถือว่าไม่ใช่เรื่องธรรมดาเลยจริงๆ
“พ่อหนุ่มคนนี้น่าสนใจจริงๆ”
ผู้ที่อ่อนแอจะไม่สามารถทำความเข้าใจสิ่งที่เกิดขึ้น ทว่าผู้แกร่งกล้าอย่างเยว่ชิงมองเห็นได้อย่างทะลุปรุโปร่ง
กลิ่นอายเยือกเย็นที่แผ่ออกมาเมื่อครู่ทำให้เตาหลอมเย็นลงและช่วยให้ฉินอวี้โม่ผ่านพ้นวิกฤตมาได้
ในชั่วพริบตานั้น ฉินอวี้โม่คิดหาวิธีแก้ไขเช่นนั้นขึ้นมาได้ ทว่าก็ไม่คาดคิดว่าร่างกายของนางจะมีกลิ่นอายที่เย็นยะเยือกเช่นนั้นซึ่งดูไม่ธรรมดาเลย
“ใช่ ข้าก็ยิ่งคาดหวังมากขึ้นเรื่อยๆแล้วว่าบุรุษลึกลับนั่นจะหลอมสิ่งใดออกมา”
เย่าเหยียนอดกล่าวออกไปไม่ได้ แม้ว่าเขาเป็นผู้หลอมโอสถ เขาก็มั่นใจในพรสวรรค์ของฉินอวี้โม่อย่างเต็มเปี่ยม
ยิ่งไปกว่านั้น เขารู้สึกเสียดายและหมดหนทางเล็กน้อย หากว่ายอดฝีมือเช่นนี้ฝึกฝนศาสตร์การหลอมโอสถ พรสวรรค์ของ ‘อวี๋โม่’ จะยิ่งหย่อนไปกว่าการหลอมอาวุธอุปกรณ์หรือไม่?
ช่างน่าเสียดายที่เขาไม่มีวันได้รู้
ขณะนี้สีหน้าของหวังซั่วบิดเบี้ยวจนแทบดูไม่ได้
ทุกครั้งที่เขาคิดจะเย้ยหยันซ้ำเติมฉินอวี้โม่ นางก็ผ่านช่วงวิกฤตได้อย่างรวดเร็วซึ่งไม่ต่างจากการตบหน้าเขาฉาดใหญ่ ทว่าอย่างไรเขาก็ไม่มีทางเลือก
วิธีการมากมายที่ฉินอวี้โม่แสดงให้เห็นทำให้เขารู้สึกริษยาอย่างที่สุด หากเขาแทรกแซงขัดขวางนาง เกรงว่าสถานการณ์จะจบลงไม่สวยนัก
เขาอดรู้สึกผิดขึ้นมาไม่ได้ เหตุใดเขาจึงมีเรื่องบาดหมางกับนางก่อนหน้านี้? และเหตุใดจึงตั้งตัวเป็นศัตรูกับนางอย่างเปิดเผย? การมีศัตรูที่เก่งกาจเช่นนี้ถือเป็นเรื่องที่เลวร้ายอย่างที่สุด
สำหรับเฟิงอู๋และคนอื่นๆ สีหน้าของพวกเขาก็บิดเบี้ยวไม่ต่างกัน พวกเขาไม่คิดเลยว่าฉินอวี้โม่จะเป็นเหมือนกับสัตว์ประหลาดเช่นนี้ หากรู้ล่วงหน้าว่าอีกฝ่ายทรงพลังถึงเพียงนี้ เฟิงอู๋ก็คงไม่มีทางหาเรื่องและดูแคลนนาง หากแต่จะเลือกพยายามผูกมิตรเอาชนะใจ
ถ้าหากเขาทาบทามช่างหลอมที่มากฝีมืออย่างฉินอวี้โม่มาได้ ตำแหน่งของเขาในตระกูลเฟิงก็จะมั่นคงอย่างแน่นอนและไม่จำเป็นต้องกลัวเด็กสาวที่เพิ่งมาใหม่คนนั้นอีก!
“นายน้อยเฟิงไม่ต้องกังวลหรอก ต่อให้รอดจากวิกฤตเมื่อครู่ได้ เจ้าเด็กนั่นก็ไม่มีทางทัดเทียมกับปรมาจารย์หวังซั่ว ฝีมือในการหลอมของท่านปรมาจารย์เหนือชั้นกว่าเขามาก”
ไห่ป้าหวังกระซิบข้างหูเฟิงอู๋อย่างประจบประแจงเพื่อไม่ให้เขากังวลใจ
“ข้าเพียงคิดว่าในอนาคตจะต้องจับตามองเจ้าชายคนนั้นให้มากขึ้น”
เฟิงอู๋กล่าวเบาๆและเลื่อนสายตาไปที่หวังซั่ว ตอนนี้เขาทำได้เพียงฝากความหวังไว้ที่ปรมาจารย์ช่างหลอมผู้หยิ่งทะนงด้วยความหวังว่าเขาจะคว้าชัยชนะและได้ครอบครองในสิ่งที่พวกเขาต้องการ
หากว่าเฟิงอู๋ได้แผนที่ซากปรักหักพังมาครอง เขาก็จะถือไพ่เหนือกว่าคนอื่นๆในตระกูลเฟิง เมื่อถึงเวลานั้น ตำแหน่งผู้นำตระกูลเฟิงจะไม่หลุดมือเขาไปอย่างแน่นอน
เวลาอีกครึ่งชั่วยามผ่านไปและในที่สุดแสงระยิบยับก็แผ่มาจากเตาหลอมของคนทั้งสี่บนแท่นสูง
และเตาหลอมแรกที่เปล่งเสียงออกมาคือเตาหลอมของหวังซั่ว
ลำแสงหลากสีห้อมล้อมรอบเตาหลอมของหวังซั่วและทุกคนเห็นได้อย่างชัดเจนว่าผลงานของปรมาจารย์ช่างหลอมผู้ยโสคืออุปกรณ์ระดับวิจิตรขั้นพิภพ!
.