คุณหนูสี่ สตรีเปื้อนเลือด - ตอนที่ 309 ดาราคนดัง
“เฮ้อ มันแย่ชะมัด!”
ภายในห้องหนึ่ง ซูเสี่ยวจวิ้นมองฉินอวี้โม่และตบบ่านางเบาๆด้วยสีหน้าที่อับจนปัญญา
“ใช่ มันแย่จริงๆ เมื่อครู่นี้คนเหล่านั้นเข้ามารุมล้อมฉินอวี้โม่อย่างกับคนเสียสติ หากเราไม่รีบหนีออกมาล่ะก็ เราคงถูกล้อมรอบจนไปไหนไม่ได้”
ฉีอวิ๋นเหล่ยก็อดถอนหายใจไม่ได้และมองฉินอวี้โม่พร้อมรอยยิ้มก่อนกล่าวออกมา “ฮ่าๆๆ อวี้โม่ เจ้ารู้สึกอย่างไรบ้าง? เมื่อครู่นี้มีคนมากมายจ้องมองเจ้าด้วยสายตาปรารถนาที่ราวกับจะลุกเป็นไฟ เจ้าสัมผัสได้รึไม่?”
ฉินอวี้โม่หมดคำพูดเมื่อได้ยินวาจาล้อเลียนของฉีอวิ๋นเหล่ย
นางไม่รู้ว่าคนพวกนั้นจะคลั่งไคล้นางราวกับคนเสียสติเช่นนั้น
ไม่ทราบได้ว่าสตรีคนใดเอ่ยออกมา ทว่าคนเหล่านั้นก็รีบปรี่เข้ามารุมล้อมคุณหนูสี่อย่างรวดเร็วและบ้าคลั่ง มันน่าสะพรึงกลัวยิ่งกว่าตอนได้เห็นบรรดาดาราชื่อดังจากชีวิตก่อนที่ถูกแฟนคลับรายล้อมเสียอีก
“หลังจากเหตุการณ์นี้ ข้าเกรงว่าชื่อของอวี้โม่จะแพร่กระจายไปทั่วดินแดน เมื่อถึงตอนนั้นคงมีคนเดินทางมาจากทุกสารทิศเพียงเพื่อหาโอกาสยลโฉมเจ้า”
ฉีอวิ๋นเหล่ยเริ่มคลี่ยิ้มกรุ้มกริ่มอีกครั้งราวกับกำลังจินตนาการถึงสถานการณ์ที่น่าสนใจ
เขาอยากเห็นภาพนั้นอย่างที่สุด ไม่ว่าฉินอวี้โม่ย่างกรายไปที่ใดก็คงมีคนมากมายมาห้อมล้อมไม่ห่าง
ฉินอวี้โม่รู้สึกอับจนปัญญาเช่นกัน ทว่านางก็ไร้ซึ่งความกังวลใดๆ อีกไม่นานก็จะถึงงานเลี้ยงของตระกูลเฟิงและงานชุมนุมวายุเมฆา ซึ่งในตอนนั้นสายตาผู้คนที่จดจ่อมาที่นางจะค่อยๆลดน้อยลงจนหายไป
ภายในเวลาเพียงสามวัน สิ่งที่เกิดขึ้นที่งานชุมนุมช่างหลอมได้แพร่สะพัดไปทั่วทั้งดินแดนและชื่อของ ‘’ฉินอวี้โม่’ ประกาศศักดาจนเลื่องลือไปทั่วดินแดนอ้างว้างอีกครั้ง
….
ณ ขุมกำลังเสื้อคลุมทมิฬ ภายในห้องโถงแห่งหนึ่ง
“ฮ่าๆๆ สมกับที่เป็นบุตรสาวของข้าฉินเทียนจริงๆ นางทั้งทะนงตนและเผด็จการเหมือนข้าไม่มีผิด ข้าอดชื่นชอบนางไม่ได้จริงๆ! ฮ่าๆ”
เมื่อฉินเทียนได้ฟังคำบอกเล่าของฉินจ้าน เขาก็อดหัวเราะอย่างภาคภูมิใจไม่ได้
กล่าวได้เพียงว่าสมกับที่ฉินอวี้โม่เป็นบุตรีของฉินเทียนและเสี่ยวอวิ๋นอย่างแท้จริง ทั้งสองทะนงตนและยึดถืออำนาจเผด็จการเหนือผู้อื่น อีกทั้งยังมีพรสวรรค์ที่โดดเด่นเหนือคนทั่วไป
“ท่านพ่อบุญธรรม ท่านไม่รู้สึกกังวลหรือขอรับ?”
ฉินจ้านมองกิริยาท่าทางของฉินเทียนและอดเอ่ยถามไม่ได้ เขาเองก็คิดว่าบิดาและบุตรสาวคู่นี้เหมือนกันมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในด้านลักษณะนิสัยของคนทั้งคู่ ไม่ต้องสงสัยเลยว่าทั้งสองมีความเกี่ยวข้องเป็นบิดาและบุตรสาวอย่างแน่นอน
อย่างไรก็ตาม เขารู้สึกกังวลเล็กน้อย แม้ว่าฉินอวี้โม่มีพรสวรรค์ที่โดดเด่นและมีพลังความแข็งแกร่งที่ยอดเยี่ยม ทว่าหากเปิดเผยพลังที่มีเร็วเกินไป มันจะไม่ก่อให้เกิดปัญหาตามมาอย่างนั้นหรือ?
ถึงอย่างไรแล้วข่าวที่พวกเขาได้รับมา พลังของฉินอวี้โม่ในปัจจุบันอยู่เพียงขอบเขตจ้าวพิภพเท่านั้น ต่อให้มีไพ่เด็ดซ่อนไว้มากมาย ทว่าหากต้องประจันหน้ากับยอดฝีมือที่แข็งแกร่ง นางก็จะตกอยู่ในอันตรายอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
“จะต้องกังวลอะไรกันเล่า? ในเมื่อเสี่ยวโม่เอ๋อร์กล้าทำเช่นนี้ นางก็ย่อมมั่นใจในการกระทำของตัวเอง อีกทั้งนางก็ยังมีข้าทั้งคน หากใครหน้าไหนคิดจะรังแกบุตรสาวของข้าฉินเทียนผู้นี้ มันผู้นั้นจะต้องชดใช้ด้วยเลือด!”
แม้ว่าฉินเทียนประกาศกร้าวเช่นนั้น หัวใจของเขาก็ยังเป็นกังวลอยู่เล็กน้อย
ทั้งขุมกำลังพญายมและตระกูลเฟิงไม่ใช่ศัตรูที่จะรับมือได้ง่ายๆ อีกทั้งขุมกำลังเมฆาทะยานเคยมีเรื่องบาดหมางผิดใจกับเขามาก่อน หากคนพวกนั้นทราบว่าฉินอวี้โม่คือบุตรแท้ๆของตนเอง เกรงว่าพวกเขาอาจทำอะไรคลุ้มคลั่งก็เป็นได้
ยิ่งไปกว่านั้น คราก่อนเขามุ่งหน้าไปถึงขุมกำลังพญายมเพื่อเตือนจูอวิ๋นชาง หากจูอวิ๋นชางคาดเดาและปะติดปะต่อเรื่องราวได้ว่าเสี่ยวโม่เอ๋อร์คือบุตรสาวของเขา ฉินเทียนก็หวั่นใจว่าจูอวิ๋นชางจะคิดแผนการชั่วร้ายอะไรขึ้นมา
เมื่อคิดเช่นนี้ ความกังวลในหัวใจของฉินเทียนก็เพิ่มมากขึ้นทันที
“จ้านเอ๋อร์ อีกไม่กี่วันเราจะเดินทางไปที่จวนตระกูลเฟิง เราได้บัตรเชิญจากตระกูลเฟิงมาแล้วไม่ใช่รึ? เราจะไปหาเสี่ยวโม่เอ๋อร์ที่นั่น ข้าเชื่อว่าเราจะได้พบนางที่นั่น หากใครหน้าไหนริอาจแตะต้องเสี่ยวโม่เอ๋อร์ของข้า ข้าจะสั่งสอนมันผู้นั้นให้รู้สำนึก!”
คำพูดของฉินเทียนเผด็จการและดุดันอย่างยิ่ง เขาแสดงเจตนารมณ์ที่จะปกป้องบุตรสาวของตนอย่างชัดเจน ฉินอวี้โม่คือบุตรสาวที่รักยิ่งของเขาและหากใครกล้ารังแกนาง นั่นก็ย่อมหมายความว่าคนผู้นั้นคิดจะประกาศสงครามกับฉินเทียนเช่นกัน ไม่ว่าจะเป็นขุมกำลังพญายมหรือตระกูลเฟิง ฉินเทียนก็ไม่ลังเลที่จะสั่งสอนให้คนเหล่านั้นได้รู้ถึงผลลัพธ์ของการรังแกหรือทำให้ฉินอวี้โม่ต้องเดือดร้อน
“รับทราบ ท่านพ่อ!”
ฉินจ้านพยักศีรษะอย่างเข้าใจ
เขาเองก็รอที่จะได้พบหน้า ‘น้องสาว’ ที่ชอบธรรมของตนเองเช่นกัน
“จะว่าไปแล้วก็ยังมีอีกเรื่อง ไม่ทราบว่าท่านพ่อบุญธรรมอยากจะฟังรึไม่”
เมื่อนึกถึงอีกเรื่องหนึ่ง ฉินจ้านก็อดลังเลไม่ได้
“หากมันเกี่ยวข้องกับเสี่ยวโม่เอ๋อร์ก็บอกข้ามาเถอะ”
ฉินเทียนไม่ลังเลแม้แต่น้อย เขาอยากรู้ทุกเรื่องที่เกี่ยวกับฉินอวี้โม่
“ท่านพ่อบุญธรรม ตอนนี้มีบุรุษมากหน้าหลายตาในดินแดนนี้ที่อยากจะแต่งงานกับเสี่ยวโม่เอ๋อร์ หลายคนถึงขั้นเดินทางไปที่เมืองไป๋อวี้ที่อยู่ห่างไกลเพียงเพื่อให้ได้ยลโฉมนางสักครา หากคนเหล่านั้นรู้ว่านางเป็นบุตรสาวของท่าน เกรงว่าพวกเขาจะมุ่งหน้ากันมาที่นี่จนก่อความวุ่นวายไปทั้งขุมกำลังเสื้อคลุมทมิฬเป็นแน่!”
ฉินจ้านกล่าวอย่างปลงตก เขาไม่คิดเลยว่าน้องสาวของตนจะงดงามจนดึงดูดใจผู้คนได้มากมายเพียงนี้
“ฮ่าๆๆ บุรุษพวกนั้นมีสายตาที่เฉียบแหลมทีเดียว”
ฉินเทียนยิ้มอย่างมีชัย เขารู้ดีว่าบุตรสาวของตนเองงดงามเป็นที่สุด
“เพียงแต่ไม่ใช่ทุกคนที่จะปรารถนาหมายปองเสี่ยวโม่เอ๋อร์ได้ ข้าเชื่อว่านางจะต้องมีทางของตัวเองในการรับมือกับเรื่องนี้ และข้าก็ได้ยินมาว่ามีบุรุษเดินทางมาที่นี่พร้อมกับนาง หากข้าเดาไม่ผิดเขาก็น่าจะเป็นคู่หมั้นของนางที่มีนามว่าหานโม่ฉือ”
“นั่นเป็นความจริง จากข่าวที่ข้าได้ยินมา หานโม่ฉือและฉินอวี้โม่เดินทางมาที่ดินแดนอ้างว้างด้วยกัน ทว่าระหว่างข้ามผ่านค่ายกลเคลื่อนย้ายได้เกิดพลังแทรกแซงที่แยกทั้งสองออกจากกัน ทว่าจนถึงตอนนี้ข้าก็ยังไม่ได้ยินข่าวของหานโม่ฉือเลย ราวกับเขาหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย”
ฉินจ้านพยักศีรษะและเมื่อกล่าวถึงหานโม่ฉือผู้นี้ เขาเองก็สงสัยใคร่รู้เช่นกัน
“น่าสนใจจริงๆ ตอนนี้ไม่มีใครรู้ว่าหานโม่ฉืออยู่ที่ใด”
ฉินเทียนยิ้มและกล่าว “คนที่เสี่ยวโม่เอ๋อร์ตกลงปลงใจจะต้องไม่ธรรมดาแน่ พรสวรรค์ของนางโดดเด่นอย่างยิ่ง หานโม่ฉือผู้นั้นก็คงจะพิเศษไม่เหมือนใครจนทำให้นางสนใจในตัวเขาได้ สืบข่าวเรื่องของหานโม่ฉือต่อไป ข้าเชื่อว่าหากเขาเริ่มเคลื่อนไหวออกมา มันจะต้องสะเทือนไปทั่วดินแดนอย่างแน่นอน”
“ขอรับ ท่านพ่อบุญธรรม”
ฉินจ้านพยักศีรษะตอบรับก่อนปลีกตัวออกไปดำเนินเรื่องต่างๆ
ฉินเทียนมองไปในทิศทางหนึ่งและถอนหายใจเบาๆพลางกล่าว “เสี่ยวอวิ๋นเอ๋อร์ บุตรสาวของเราแข็งแกร่งยิ่งนัก ข้าเชื่อว่าในอีกไม่นานเราจะได้อยู่พร้อมหน้าพร้อมตากันอีกครั้ง เจ้าจงรอจนกว่าเราทั้งสองจะไปรับเจ้ามาจากดินแดนเทพมายา”
….
ณ อีกสถานที่หนึ่งภายในอาณาเขตของขุมกำลังพญายม จูอวิ๋นชางมีสีหน้าที่ไม่สู้ดีนัก
“บัดซบ เจ้าฉินอวี้โม่นั่นหลุดรอดไปได้อีกแล้ว!”
ใบหน้าทั้งหมดของจูตี๋ราวกับกระจุกเข้ามารวมกันด้วยความโมโห
เขาไม่มีวันลืมฉินอวี้โม่ผู้นั้นเพราะจูอวิ๋นชางย้ำเตือนเขาอยู่ตลอดเวลา เพียงแค่การเอ่ยถึงชื่อของฉินอวี้โม่ก็มากพอที่จะทำให้เขากัดฟันได้แล้ว
“ท่านพ่อ ข้าควรทำอย่างไร? เราจะปล่อยให้ฉินอวี้โม่นั่นยโสโอหังต่อไปไม่ได้!”
จูตี๋มองผู้เป็นบิดาด้วยสีหน้าหม่นพลางกล่าวออกมา
สีหน้าของจูอวิ๋นชางบิดเบี้ยวเล็กน้อย เมื่อนึกย้อนไปถึงการต่อสู้กันก่อนหน้านี้และเหตุการณ์ตอนที่ฉินเทียนมาหาเรื่องเขาถึงที่นี่
ในตอนนั้นฉินเทียนประกาศกร้าวไว้ว่าใครหน้าไหนที่รังแกบุตรสาวของเขาจะต้องชดใช้
เมื่อไตร่ตรองซ้ำในตอนนี้ หากเขาเดาไม่ผิด ฉินอวี้โม่จะต้องเป็นบุตรสาวของฉินเทียนอย่างแน่นอน!
เมื่อนึกถึงความเป็นไปได้นี้ สีหน้าของผู้นำขุมกำลังพญายมก็บิดเบี้ยวหนักกว่าเดิม
เพียงแค่ฉินเทียนผู้นั้นก็เป็นศัตรูที่รับมือได้ยากอย่างที่สุด และฉินอวี้โม่ก็ไม่ต่างกันมากนัก หากว่านางเป็นบุตรสาวของฉินเทียนจริง ในอนาคตข้างหน้า ดินแดนอ้างว้างแห่งนี้คงจะตกไปอยู่ในกำมือของบิดาและบุตรสาวคู่นั้นเป็นแน่
สีหน้าของเขาเหยเกมากขึ้นเรื่อยๆก่อนที่เขาจะตัดสินใจออกมา
“ส่งคนไปจับตาดูฉินอวี้โม่ไว้เผื่อว่ามีข่าวความคืบหน้าอะไรในช่วงนี้ ข้าจะไปที่จวนตระกูลเฟิงเพื่อดูว่าข้าจะช่วยเฟิงอู๋ครองตำแหน่งผู้นำตระกูลได้รึไม่ หากเราผนึกกำลังกับตระกูลเฟิง เราอาจมีความมั่นใจมากขึ้นในการจัดการกับขุมกำลังเสื้อคลุมทมิฬ”
จูอวิ๋นชางลุกขึ้นยืนและเตรียมตัวเดินทางไปจวนตระกูลเฟิงด้วยตัวเอง
อีกหนึ่งเดือนข้างหน้าจะเป็นงานเลี้ยงของตระกูลเฟิงและเขาต้องช่วยเฟิงอู๋คว้าตำแหน่งผู้นำตระกูลมาให้จงได้ ด้วยวิธีนี้ ขุมกำลังพญายมของเขาจะสามารถทัดเทียมกับขุมกำลังเสื้อคลุมทมิฬและอีกสองขุมกำลังได้
อีกอย่าง เฟิงอู๋ได้ให้สัญญากับเขาไว้ว่าหากได้เป็นผู้นำตระกูลเฟิง เฟิงอู๋จะมอบสิ่งนั้นให้กับเขา ตราบใดที่เขามีสิ่งนั้น เขาก็เชื่อว่าตนเองจะสามารถเอาชนะฉินเทียนได้
“รับทราบ ท่านพ่อ”
จูตี๋พยักศีรษะตอบรับก่อนลุกขึ้นยืนและกลับออกไป
สีหน้าของจูอวิ๋นชางไม่สู้ดีนัก ทว่าเขาก็ไม่ได้พูดอะไรและกลับไปที่ห้องของตนเองเพื่อเตรียมความพร้อม
…
“ฮ่าๆๆ น่าสนใจจริงๆ ไม่คิดเลยว่าเจ้าหนุ่มนั่นแท้จริงแล้วคือฉินอวี้โม่”
ณ ขุมกำลังหนึ่งนภา เฟิงอู๋เฉินก็ได้รับข่าวอย่างรวดเร็วและรู้สึกสนใจอย่างมาก
“ท่านพ่อ..”
บุรุษเยือกเย็นที่แผ่กลิ่นอายของสงครามอย่างแรงกล้าซึ่งยืนอยู่ข้างเฟิงอู๋เฉินเอ่ยขึ้นเบาๆ
บุรุษผู้นี้คือผู้ครองอันดับหนึ่งของทำเนียบรุ่นเยาว์ นายน้อยแห่งขุมกำลังหนึ่งนภา–เฟิงอู๋ชาง
“ชางเอ๋อร์ พลังของเจ้าในตอนนี้จัดอยู่ในทำเนียบพิภพแล้ว ทว่ายังมียอดฝีมือรุ่นเยาว์อีกหลายคนในดินแดนนี้ เจ้าหนุ่มเหวินซื่อชู่จากขุมกำลังไร้คู่เปรียบ ฉีอวิ๋นเหล่ยจากขุมกำลังราชาสวรรค์ และฉินจ้านจากขุมกำลังเสื้อคลุมทมิฬ พวกเขาล้วนไม่ธรรมดาเลย ส่วนเฟิงอู๋จากตระกูลเฟิง ต่อให้เขาไม่ฉลาดนัก ความแข็งแกร่งของเขาก็ประมาทไม่ได้เช่นกัน ส่วนฉินอวี้โม่ พลังของนางในตอนนี้อาจจะไม่มากเท่าเจ้า แต่หากนางใช้ไพ่ตายที่ซ่อนไว้ ไม่มีพวกเจ้าคนใดที่จะเอาชนะนางได้ เพราะเหตุนั้น เจ้าจะต้องระวังตัวให้มากขึ้นในอนาคตเมื่อออกเดินทางไปทั่วดินแดน”
เฟิงอู๋เฉินมองบุตรชายผู้เก่งกาจของตนด้วยความพึงพอใจและภาคภูมิใจเป็นที่สุด พรสวรรค์และลักษณะนิสัยของเฟิงอู๋ชางทำให้เขาพึงพอใจอย่างมาก เพียงแต่บุตรชายของเขาดูก้าวร้าวและชื่นชอบการต่อสู้เกินไปสักหน่อย หากไม่เจอเรื่องที่ยากลำบาก เกรงว่าเขาจะคิดว่าพรสวรรค์ของตนเองไร้เทียมทาน
“ข้าเข้าใจขอรับ”
เฟิงอู๋ชางพยักศีรษะพร้อมเอ่ยตอบทว่าแววตาของเขาไม่สั่นไหวใดๆ
“สำหรับงานเลี้ยงที่ตระกูลเฟิง เจ้าก็ไปด้วยตัวเองเถอะ ข้าไม่ต้องการเข้าร่วมงานนั้นและยังมีเรื่องที่ต้องสะสางอีกมาก”
เฟิงอู๋เฉินกล่าวพร้อมรอยยิ้ม เขาไม่คิดที่จะเข้าร่วมงานเลี้ยงของตระกูลเฟิง
“ขอรับ”
เฟิงอู๋ชางพยักศีรษะและเอ่ยตอบเพียงสั้นๆ
เขายินดีเข้าร่วมงานเลี้ยงดังกล่าว เพราะไม่เพียงแต่จะได้พบปะหารือกับเหวินซื่อชู่และฉีอวิ๋นเหล่ยเท่านั้น ทว่าเขาก็จะได้ทำความรู้จักกับฉินอวี้โม่ผู้เลื่องชื่อด้วยเช่นกัน
ต้องกล่าวเลยว่าแม้แต่คนอย่างเฟิงอู๋ชางที่ไม่สนใจเรื่องชาวบ้านชาวช่องก็ยังอยากรู้เกี่ยวกับตัวตนที่แท้จริงของฉินอวี้โม่ผู้นี้
ฉินอวี้โม่ผู้นี้จะเป็นคนอย่างไรกัน?
ในสถานที่อื่นๆ ชื่อของฉินอวี้โม่ก็ยังคงถูกพูดถึงอย่างแพร่หลาย เรียกได้ว่างานชุมนุมช่างหลอมครั้งนี้ทำให้ชื่อเสียงเรียงนามของนางกระจายไปทั่วดินแดนอ้างว้าง ในตอนนี้ความเจิดจรัสและเป็นที่จับตามองของนางเหนือยิ่งกว่าขุมกำลังที่ยิ่งใหญ่อย่างเสื้อคลุมทมิฬและเอกพิภพเสียอีก
อย่างไรก็ตาม หานโม่ฉือผู้ซึ่งฝึกวิชาอยู่ในเมืองเฟิงอวิ๋นไม่ได้รับรู้ถึงเรื่องนี้ หากเขาได้รู้ เขาก็คงรอไม่ไหวและรีบปรี่ไปหาฉินอวี้โม่ในทันที
“ช่างมันเถอะ รอบอกนายท่านทีหลังจะดีกว่า”
เมื่อมองดูหานโม่ฉือที่อยู่ในช่วงเก็บตัวบ่มเพาะ อสูรมายาของเขาก็ไตร่ตรองครู่ใหญ่และตัดสินใจที่จะไม่รบกวนผู้เป็นนาย ถึงอย่างไรงานชุมนุมวายุเมฆาก็ใกล้เข้ามาเต็มทีและเมื่อถึงตอนนั้นหานโม่ฉือจะได้รู้อย่างแน่นอน