คุณหนูสี่ สตรีเปื้อนเลือด - ตอนที่ 315 การเสียสละของฉู่เจี๋ย
“พวกเจ้าเป็นใคร?!”
เมื่อเห็นกลุ่มชายชุดดำโผล่มาอย่างกะทันหัน หัวใจของสมาชิกฝ่ายตระกูลฉู่ก็เกิดความกังวลขึ้นมา
บุรุษที่ถูกเรียกว่า ‘ลุงสอง’ ลุกยืนหน้าฉู่เจี๋ยทันทีและขยิบตาส่งสัญญาณให้ลุงสี่ในเวลาเดียวกัน
‘ลุงสี่’ เข้าใจความหมายของอีกฝ่ายและรีบเดินตรงไปอยู่ใกล้ฉู่เจี๋ยพร้อมคว้าแขนของเขาไว้ทันที
“ฮ่าๆๆ อย่าคิดหนีเลย พวกเจ้าไม่สามารถหนีไปไหนได้”
ค้างคาวโลหิตที่เป็นหัวหน้าสังเกตเห็นท่าทางของอีกฝ่ายและทราบถึงเจตนาของพวกเขาได้ในแวบแรก มันยิ้มอย่างเยือกเย็นและเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่เปี่ยมด้วยความมั่นใจ
ก่อนหน้าที่ค้างคาวโลหิตจะพบกลุ่มคนของตระกูลฉู่ เนื่องจากงานชุมนุมช่างหลอมที่เพิ่งผ่านพ้นไป ในช่วงเวลาหลายวันนี้จึงมีผู้คนมากมายที่เดินทางสัญจรข้ามผ่านผืนป่านี้อยู่บ่อยครั้งและเป็นเพราะมีผู้คนอยู่มากมายเกินไป พวกมันจึงหวั่นกลัวไม่กล้าโผล่หน้าออกมาและไม่ได้กินเลือดมนุษย์อย่างที่ต้องการ
ทว่าในที่สุดหลังจากผ่านระยะเวลามาช่วงหนึ่ง จำนวนผู้คนก็ลดน้อยลงมากและมันก็บังเอิญสังเกตเห็นกลุ่มคนของตระกูลฉู่เหล่านี้ ในเมื่อเหยื่ออยู่ใกล้แค่เอื้อม พวกมันจะพลาดโอกาสนี้ได้อย่างไร?
ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น วันนี้พวกมันจะต้องได้ดื่มเลือดมนุษย์จนหนำใจ
ค้างคาวโลหิตเป็นอสูรชั่วร้ายอย่างยิ่งและเจ้าเล่ห์จอมวางแผนมากกว่าอสูรชนิดอื่นๆ ‘ลุงสี่’ ยังไม่ได้แสดงท่าทีอะไรอย่างชัดเจนทว่ามันก็คาดเดาจุดประสงค์ของเขาได้อย่างแม่นยำ
ในตอนแรกพวกมันไม่ทันสังเกตเห็นฉู่เจี๋ยเพราะเขาเป็นคนที่อ่อนแอที่สุดในกลุ่มนี้ ทว่าตอนนี้โลหิตของเขากลับเป็นสิ่งที่ล่อตาล่อใจพวกมันมากที่สุด ไม่ว่าอย่างไรพวกมันก็ไม่มีทางปล่อยบุรุษผู้นี้ให้หลุดรอดไปได้
“เหอะ พวกเจ้าเป็นใคร? พวกเราไม่เคยมีเรื่องบาดหมางอะไรกับพวกเจ้าและเราไม่ได้ทำอะไรขัดแข้งขัดขาพวกเจ้า เหตุใดพวกเจ้าจึงเข้ามาหาเรื่องพวกเรา?”
เมื่อสัมผัสได้ถึงเจตนาร้ายที่แผ่มาจากค้างคาวโลหิตอย่างแรงกล้า ลุงสองก็แค่นเสียงในลำคอและพร้อมประจันหน้าเต็มที
“น้องสี่ ปกป้องชายรองไว้ พาเขาหลบหนีออกไปก่อน”
ขณะบอกกับลุงสี่ ใบหน้าของเขาก็แสดงความระแวดระวังอย่างชัดเจน
“ลุงสอง ลุงสี่ พวกท่านไม่ต้องเป็นห่วงข้า หากเราต้องตกอยู่ในอันตรายจริงๆ พวกท่านโปรดหนีไปก่อนเถอะ”
ใบหน้าของฉู่เจี๋ยเปี่ยมไปด้วยความแน่วแน่และเขารู้สึกได้ว่าศัตรูตรงหน้าไม่ได้ธรรมดาเลย เมื่อมองหัวหน้าค้างคาวโลหิตในร่างมนุษย์ เขาก็รู้สึกอึดอัดใจและเป็นกังวลมาก
ถึงอย่างไรเขาก็มีเวลาในชีวิตเหลือเพียงไม่มาก หากสถานการณ์ยากที่จะแก้ไขจริงๆ เขาก็หวังว่ากลุ่มคนที่ปฏิบัติต่อเขาเป็นอย่างดีมาเสมอจะได้หลบหนีเอาตัวรอดไปก่อน
“ข้าบอกว่าจะไม่มีใครหนีไปไหนได้ทั้งนั้น!”
ค้างคาวโลหิตที่เป็นหัวหน้าหัวเราะออกมาอย่างบ้าคลั่งและมันขยิบตาส่งสัญญาณให้กับลูกน้อง อึดใจต่อมา ค้างคาวโลหิตนับสิบตัวก็เปลี่ยนกลับเป็นร่างเดิมของพวกมันและอสูรขนาดเท่ากับเหยี่ยวที่มีดวงตาสีแดงก่ำและปกคลุมด้วยแสงสีเขียวก็ปรากฏกายตรงหน้าฉู่เจี๋ยและคณะเดินทาง
“ค้างคาวโลหิต!”
เมื่อเห็นรูปลักษณ์ที่น่าเกรงกลัวของค้างคาวโลหิต บุรุษที่ถูกเรียกว่าลุงสองก็อุทานออกไปทันที
เขาไม่คิดเลยว่าจะถูกล้อมรอบโดยค้างคาวโลหิตชั่วร้ายที่กินเลือดมนุษย์เป็นอาหาร
“รอบรู้ทีเดียว”
หัวหน้าค้างคาวโลหิตไม่ได้เปลี่ยนกลับเป็นร่างเดิมและเอ่ยขึ้นเบาๆขณะมองกลุ่มคนตรงหน้าด้วยแววตาเป็นประกายราวกับกำลังมองอาหารอันโอชะ
สีหน้าของบรรดาสมาชิกของตระกูลฉู่ก็บิดเบี้ยวทันที หากเป็นมนุษย์หรืออสูรชนิดอื่น พวกเขาก็ยังพอมีโอกาสรับมือ ทว่าเมื่อศัตรูที่เผชิญหน้าคือค้างคาวโลหิตที่ขึ้นชื่อในเรื่องความชั่วร้าย เมื่อใดที่ถูกพวกมันกัด เหยื่อจะทำได้เพียงหลับตารอความตายเท่านั้น
เมื่อนึกถึงความน่ากลัวนี้ สีหน้าของพวกเขาก็เหยเกมากขึ้นเรื่อยๆ
อย่างไรก็ตาม พวกเขาไม่มีความคิดที่จะล่าถอยหรือหลบหนี สมาชิกตระกูลฉู่ยังคงเปี่ยมไปด้วยความมุ่งมั่นและแน่วแน่ขณะยืนข้างหน้าฉู่เจี๋ยอย่างกล้าหาญ
ในเมื่อพวกเขารับผิดชอบในการพาฉู่เจี๋ยออกมาจากจวนตระกูล พวกเขาก็ต้องดูแลให้มั่นใจว่าเขาจะปลอดภัย ต่อให้ต้องแลกด้วยชีวิตของตนเอง พวกเขาก็ไม่ลังเลแม้แต่น้อย
คนของตระกูลฉู่โบกมือเพื่อเรียกอสูรมายาของตนเองออกมา ในขณะที่จ้องมองค้างคาวโลหิตตรงหน้าตาเขม็ง ทุกคนก็แผ่จิตวิญญาณแห่งการต่อสู้อันแรงกล้า
แม้ว่าค้างคาวเหล่านี้เป็นอสูรที่รับมือได้ยาก พวกเขาก็ไม่ยอมจำนนอย่างง่ายดาย หากคิดที่จะทำร้ายพวกเขา ค้างคาวโลหิตพวกนี้ก็จะต้องชดใช้เช่นกัน
เมื่อสัมผัสได้ถึงจิตวิญญาณนักสู้อันแกร่งกล้าที่แผ่มาจากฝ่ายตระกูลฉู่ หัวหน้าค้างคาวโลหิตก็นิ่วหน้าเล็กน้อย
ในอดีต ค้างคาวโลหิตเหล่านี้เป็นฝูงอสูรมายาที่ทรงพลังอย่างมาก ทว่าตลอดช่วงหลายปีที่ผ่านมานี้ จำนวนของพวกมันก็ลดน้อยลงอย่างต่อเนื่อง เรียกได้ว่าในดินแดนอ้างว้างแห่งนี้หลงเหลือเพียงค้างคาวโลหิตฝูงนี้เท่านั้น
เมื่อพิจารณาจากสีหน้ามุ่งมั่นกล้าหาญของสมาชิกตระกูลฉู่ ดูเหมือนว่าพวกเขาจะไม่มีทางยอมแพ้และจะสู้อย่างหัวชนฝาแม้ตัวตาย
หัวหน้าค้างคาวโลหิตไม่อยากให้ฝ่ายของมันต้องเกิดการสูญเสีย แม้เสียค้างคาวไปเพียงตัวเดียว มันก็ถือเป็นความสูญเสียครั้งยิ่งใหญ่ และหากพวกมันทั้งหมดตายไป ค้างคาวโลหิตคงถึงคราวสูญพันธุ์
เมื่อคิดเช่นนี้ หัวหน้าค้างคาวก็เกิดความลังเลเล็กน้อย
“สหายพี่น้องทั้งหลาย มาเถอะ เราจะสั่งสอนให้ค้างคาวพวกนี้ได้รู้ว่าการหาเรื่องพวกเราจะต้องเจอกับผลลัพธ์อย่างไร!”
ลุงสองของตระกูลฉู่เอ่ยขึ้นและร่างของเขากำลังจะพุ่งออกไปทันที
“ช้าก่อน!”
จู่ๆหัวหน้าค้างคาวโลหิตก็เอ่ยบอกเพื่อหยุดลุงสองจากการกระทำอันบุ่มบ่าม
“ฮ่าๆๆ เจ้าพูดถูกแล้ว เราไม่เคยมีเรื่องบาดหมางต่อกันมาก่อนแต่ความสัมพันธ์ระหว่างอสูรมายาและมนุษย์ก็เป็นเช่นนี้มาเสมอ วันนี้สาเหตุที่พวกเราพี่น้องล้อมรอบพวกเจ้าไว้เป็นเพราะพวกเราหิวโหยมากและต้องการอาหาร เอาเป็นว่า..หากพวกเจ้าทิ้งสมาชิกไว้คนหนึ่ง เราจะปล่อยพวกเจ้าที่เหลือไป”
หัวหน้าค้างคาวชำเลืองสายตามองทุกคนก่อนบรรจบลงที่ฉู่เจี๋ย
“แค่เขาคนเดียวก็พอแล้ว เลือดของเด็กหนุ่มนั่นน่าอร่อยและดีกับพวกข้าที่สุด ตราบใดที่เขาอยู่ที่นี่ พวกเจ้าที่เหลือก็เชิญไปได้เลย”
เดิมทีฉู่เจี๋ยก็สัมผัสได้ว่าแววตาที่หัวหน้าค้างคาวโลหิตมองมาที่เขานั้นซ่อนความปรารถนาบางอย่างไว้และตอนนี้เขาก็พอจะคาดเดาได้เล็กน้อยแล้วเช่นกัน
การที่ค้างคาวโลหิตเอ่ยเช่นนี้ก็ทำให้เขายิ้มบางๆออกมา
“ตกลง ข้าจะอยู่ที่นี่ แต่เจ้าต้องปล่อยพวกเขาไป”
ฉู่เจี๋ยไม่รอช้าและตอบตกลงทันที
ถึงอย่างไรเขาก็ใกล้ตายเต็มที แม้ต้องตกเป็นอาหารของค้างคาวโลหิต ทว่าการได้ช่วยชีวิตของสมาชิกตระกูลฉู่เหล่านี้ก็ถือว่าเป็นการแลกเปลี่ยนที่คุ้มค่า
ยิ่งไปกว่านั้น เขาก็มีความสุขและภาคภูมิใจที่ได้ทำอะไรสักอย่างเพื่อตระกูล
“ไม่มีทาง!”
ทันทีที่สิ้นเสียงของฉู่เจี๋ย หลายคนจากฝ่ายตระกูลฉู่ก็โพล่งออกมาอย่างพร้อมเพรียงกันด้วยน้ำเสียงแข็งกร้าว
“เราให้สัญญากับท่านผู้นำไว้แล้วว่าจะปกป้องเจ้าและพาเจ้ากลับไปที่ตระกูลอย่างปลอดภัย ต่อให้วันนี้พวกเราจะต้องตายก็ไม่มีทางปล่อยให้ใครแตะต้องเจ้าได้แน่”
ลุงสองกล่าวอย่างไม่เห็นด้วยและคัดค้านสิ่งที่ฉู่เจี๋ยเอ่ยออกไปเมื่อครู่
พวกเขาให้สัญญาอย่างแน่วแน่ไว้กับผู้นำตระกูลฉู่ว่าจะปกป้องฉู่เจี๋ยอย่างดีที่สุด นอกจากนี้พวกเขาก็ได้เฝ้ามองดูเด็กหนุ่มเติบโตมาตลอดหลายปีที่ผ่านมานี้ ต่อให้ผู้นำตระกูลไม่รับสั่งอะไร พวกเขาก็จะปกป้องฉู่เจี๋ยอย่างสุดความสามารถอยู่แล้ว
“ลุงสอง ตอนนี้ข้าก็ไม่ต่างจากคนตายและมันคงดีไม่น้อยหากข้าจะได้เสียสละชีวิตของตัวเองเพื่อช่วยให้พวกท่านทั้งหลายรอดชีวิตออกไป ยิ่งไปกว่านั้น ข้าก็เป็นตัวถ่วงของตระกูลมาโดยตลอด ข้าไม่เคยได้ทำอะไรเพื่อตระกูลฉู่ของเราเลย มันไม่ง่ายเลยที่ข้าจะมีโอกาสทำเพื่อตระกูลบ้าง ปล่อยให้ข้าทำสิ่งนี้เถอะ”
ฉู่เจี๋ยกล่าวออกมาอย่างหนักแน่น เขาได้ตัดสินใจแล้ว
หลายคนตรงหน้าเขาคือผู้อาวุโสของตระกูลฉู่และพวกเขาเหล่านี้ปฏิบัติต่อเขาอย่างดีมาเสมอ แม้ว่าเขาไม่สามารถฝึกทักษะยุทธ์ได้ ฉู่เจี๋ยก็รู้ว่าค้างคาวโลหิตตรงหน้านี้ทรงพลังเพียงใด
หากเขาสามารถแลกชีวิตตัวเองเพื่อช่วยผู้มีพระคุณมากมาย มันก็เป็นสิ่งที่คุ้มค่าอย่างยิ่ง
“อย่าพูดจาเหลวไหล ใครกันที่บอกว่าเจ้าไม่ต่างจากคนตาย!”
ลุงสี่เอ่ยด้วยน้ำเสียงดุดัน
“อย่าพูดอะไรเลย พวกเราจะหาทางพาเจ้าออกไปจากที่นี่ให้ได้ พวกเราไม่มีทางปล่อยให้เจ้าสละชีวิตเพื่อให้เราหลบหนี!”
ลุงสี่กล่าวอย่างหนักแน่นซึ่งเป็นน้ำเสียงที่ฉู่เจี๋ยไม่มีทางโต้แย้งได้เลย
พวกเขาซาบซึ้งใจในสิ่งที่บุรุษหนุ่มประกาศกร้าว ทว่าพวกเขาไม่สามารถทอดทิ้งฉู่เจี๋ยไว้และหลบหนีเอาตัวรอด
ยิ่งไปกว่านั้น พวกเขาไม่คิดว่าฉู่เจี๋ยกำลังจะตาย ตลอดหลายปีที่ผ่านมาพวกเขาพยายามวิเคราะห์และหาทางไขปริศนาความลับของร่างกายฉู่เจี๋ย หากแก้ไขเรื่องนี้ได้ พวกเขาเชื่อว่าฉู่เจี๋ยผู้อ่อนแอจะได้มีชีวิตที่ยืนยาวเหมือนกับคนอื่นๆอย่างแน่นอน
“ฮ่าๆๆ ช่างน่าซาบซึ้งใจจริงๆ”
หัวหน้าค้างคาวได้ยินบทสนทนาระหว่างฉู่เจี๋ยและหัวเราะถากถางออกมา
“เรามีความอดทนที่จำกัด พวกเจ้ารีบตัดสินใจมาเร็วเข้า ระหว่างยอมแลกเพียงคนเดียวหรือพวกเจ้าทั้งหมดจะเป็นอาหารของพวกเรา? จงเลือกมา”
ถึงอย่างไรพวกมันก็หันหลังกลับไปไม่ได้แล้ว หากว่าคนตระกูลฉู่ต้องการใช้ไม้แข็ง พวกมันก็พร้อมจะสนองให้
“เหอะ พวกค้างคาวโลหิต ไม่จำเป็นต้องพูดอะไรให้มากความ หากพวกเจ้าอยากจะสู้กับเราก็เชิญเลย ข้าเองก็อยากรู้นักว่าค้างคาวชั่วร้ายอย่างพวกเจ้าจะเก่งกาจสักแค่ไหน!”
ลุงสองไม่ลังเลอีกต่อไปและไม่รีรอให้ฉู่เจี๋ยพูดอะไรอีก ร่างของเขาพุ่งตรงเข้าไปหาหัวหน้าค้างคาวอย่างรวดเร็ว
อีกสามคนที่เหลือก็พุ่งตรงไปหาค้างคาวโลหิตตัวอื่นๆที่ล้อมรอบอย่างไม่รอช้า
ลุงสี่คว้าแขนของฉู่เจี๋ยไว้และกระโดดขึ้นบนอสูรมายาของเขาซึ่งก็คือเสือชีตาร์ จากนั้นเขาก็เตรียมหลบหนีออกไปจากที่นี่โดยเร็ว
อย่างไรก็ตาม พวกค้างคาวโลหิตมีจำนวนมากกว่าฝ่ายของพวกเขา ก่อนที่จะได้หลบหนีอย่างที่ตั้งไว้ใจ ลุงสี่และฉู่เจี๋ยก็ถูกขัดขวางไว้โดยค้างคาวสองตัว
ขณะนี้ลุงสองก็กำลังรับมือกับหัวหน้าค้างคาวโลหิตในขณะที่คนอื่นๆแต่ละคนรับมือกับค้างคาวสองตัว
ค้างคาวโลหิตที่เหลือสองตัวเข้ามาขวางตรงหน้าลุงสี่และฉู่เจี๋ยด้วยท่าทางที่กระตือรือร้น
“เสี่ยวเจี๋ย หลบหนีออกไปกับอสูรของข้าก่อน มันจะพาเจ้าไปที่ปลอดภัย”
หลังจากกล่าวกับฉู่เจี๋ยและถ่ายทอดคำสั่งให้กับอสูรมายาของตนเอง ลุงสี่ก็ไม่รอช้าขณะหยิบกระบี่ยาวออกมาและโจมตีตรงไปที่ค้างคาวตรงหน้า
“ลุงสี่!”
เมื่อฉู่เจี๋ยมองเห็นคณะเดินทางของตนสู้กับค้างคาวชั่วร้าย สีหน้าของเขาก็ฉายแววความกังวลอย่างชัดเจน
“คุณชายรอง หากท่านไม่อยากให้พวกเขากังวลก็รีบหลบหนีไปกับข้าก่อนเถิด”
อสูรมายาของลุงสี่เอ่ยเบาๆ จากนั้นร่างของมันก็กะพริบพุ่งออกไปในทิศทางของฉินอวี้โม่
“หึ เจ้าคิดว่าจะหนีไปได้ง่ายๆงั้นรึ!”
หัวหน้าค้างคาวโลหิตสังเกตเห็นสถานการณ์นั้น มันยิ้มอย่างเยือกเย็นและค้างคาวโลหิตสามตัวบินออกมาอย่างไม่มีที่มาและโจมตีตรงไปที่ฉู่เจี๋ยและอสูรมายาที่เป็นยานพาหนะของเขา
“บัดซบ!”
ลุงสองมีสีหน้าเหยเกและปล่อยการโจมตีที่ทรงพลังออกไป เขาต้องการกำจัดหัวหน้าค้างคาวและเข้าไปปกป้องฉู่เจี๋ยโดยเร็วที่สุด
ลุงสี่ของตระกูลและคนอื่นๆก็มองเห็นสิ่งที่เกิดขึ้นเช่นกันและสีหน้าของพวกเขาบิดเบี้ยวไม่ต่างกัน
เพียงแต่ค้างคาวโลหิตเหล่านี้เป็นอสูรที่กำจัดได้ยากมาก พวกเขารับมือกับค้างคาวที่ตนเองเผชิญหน้าอยู่ตอนนี้ไม่ได้ด้วยซ้ำ
ใบหน้าของฉู่เจี๋ยซีดเผือดลงทว่าเขาไม่ได้แสดงท่าทีหวาดกลัวใดๆ
“ลุงสอง ลุงสี่ พวกท่านหนีไปซะ”
เมื่อกล่าวจบ ฉู่เจี๋ยก็หยุดดิ้นรนขัดขืนและหลับตารอคอยความตาย
อย่างไรก็ตาม ความเจ็บปวดที่คิดไว้ไม่ได้เกิดขึ้น เมื่อฉู่เจี๋ยลืมตาขึ้นมา เขาก็มองเห็นบุคคลลึกลับสวมหน้ากากคนหนึ่งยืนอยู่ข้างหน้าตนเอง