คุณหนูสี่ สตรีเปื้อนเลือด - ตอนที่ 324 สถานการณ์ของตระกูลเฟิง
เมื่อเห็นสีหน้าเรียบเฉยของฉินอวี้โม่ เสี่ยวเหยียนก็เบะปากอีกครั้ง
“ท่านพี่ อันที่จริงแล้วไม่ใช่บิดาของข้าหรอกที่ทิ้งพวกเราไว้ที่หมู่บ้านจันทรา แต่เขาและมารดาของข้าพลัดพรากจากกันโดยบังเอิญ”
นางรู้เรื่องราวเหล่านี้จากคำบอกเล่าของเฟิงจิงเทียน ในตอนที่ผู้เป็นบิดาเล่าเรื่องราวทั้งหมด ความรู้สึกผิดและการโทษตัวเองที่แสดงออกมาทางสีหน้าไม่ใช่การเสแสร้งแกล้งทำอย่างแน่นอน เสี่ยวเหยียนจึงไม่คลางแคลงใจในคำพูดของเขา
มารดาของเสี่ยวเหยียนเป็นเพียงสตรีธรรมดาทั่วไป เมื่อเฟิงจิงเทียนออกไปท่องโลกเพื่อฝึกปรือฝีมือ เขาก็เผชิญกับเคราะห์ร้ายโดยที่ถูกคนตามล่าและถูกทำร้ายจนได้รับบาดเจ็บสาหัส
ในตอนนั้นอาการของเขาทรุดหนัก ทว่ากลับถูกช่วยชีวิตไว้โดยมารดาของเสี่ยวเหยียนที่ออกไปเก็บสมุนไพรในป่าและพบเจอเข้าโดยบังเอิญ
ด้วยการดูแลของนาง อาการบาดเจ็บของเฟิงจิงเทียนจึงค่อยๆฟื้นตัวอย่างต่อเนื่องและทั้งสองก็ใกล้ชิดกันจนเกิดเป็นความรักและพัฒนาความสัมพันธ์ต่อกันขึ้นมา
ทั้งสองตกลงใช้ชีวิตร่วมกัน เฟิงจิงเทียนตั้งใจที่จะพามารดาของเสี่ยวเหยียนกลับไปที่จวนตระกูลเฟิงด้วยกัน
อย่างไรก็ตาม เคราะห์ร้ายซ้ำซาก ระหว่างเดินทางผ่านเมืองลั่วหยาง พวกเขาก็พบเข้ากับกลุ่มคนที่ไล่ล่าเฟิงจิงเทียนในทีแรก
ในตอนนั้นมารดาของเสี่ยวเหยียนกำลังตั้งครรภ์ แม้ว่าพลังของเฟิงจิงเทียนถือว่าไม่อ่อนแอ ทว่าความแข็งแกร่งของกลุ่มคนที่ตามล่าเขาก็เหนือกว่าอย่างเห็นได้ชัด
ในสภาวะเข้าตาจน เขาก็พามารดาของเสี่ยวเหยียนไปที่ผืนป่านอกเมืองลั่วหยางและให้นางซ่อนตัวไว้ก่อนกลับไปล่อกลุ่มคนร้ายไปในทิศทางอื่น
แม้ว่ามารดาของเสี่ยวเหยียนต้องการอยู่เคียงข้างเฟิงจิงเทียน นางก็รู้ดีว่าตนเองกำลังตั้งครรภ์และคงช่วยอะไรเขาไม่ได้ นางจึงซ่อนตัวอยู่เงียบๆพร้อมลูกน้อยในครรภ์ด้วยจิตใจที่เป็นกังวลและเป็นห่วงความปลอดภัยของชายผู้เป็นที่รัก
แต่ทว่า.. หลังจากเฟิงจิงเทียนหายลับสายตาไปในครานั้น เขาก็ไม่กลับมาอีกเลย
ป่าผืนนั้นเต็มไปด้วยอสูรชั่วร้ายมากมายซึ่งเป็นอันตรายอย่างยิ่ง ในตอนที่มารดาของเสี่ยวเหยียนถูกอสูรมายาหลายตัวรุมล้อม นางก็ถูกช่วยชีวิตไว้โดยหัวหน้าหมู่บ้านจันทรา—หลัวซิงที่บังเอิญผ่านไปที่นั่น
มารดาของเสี่ยวเหยียนไร้บ้านและไม่รู้ตัวตนที่แท้จริงของเฟิงจิงเทียน นางจึงจำต้องพาลูกน้อยไปที่หมู่บ้านจันทราเพื่อตั้งหลัก
เมื่อไปถึงหมู่บ้านจันทรา การตามหาเฟิงจิงเทียนก็เป็นไปได้ยากอย่างที่สุด สำหรับสตรีธรรมดาไร้ความสามารถอย่างนาง มันก็เป็นเรื่องยากที่นางจะออกท่องยุทธภพเพียงลำพังได้
ด้วยความสิ้นหวังและไร้หนทาง มารดาของเสี่ยวเหยียนจึงทำได้เพียงขอให้หลัวซิงสืบข่าวเรื่องของเฟิงจิงเทียนในขณะที่นางพักอยู่ในหมู่บ้านจันทรา
หลังจากให้กำเนิดเสี่ยวเหยียน สถานการณ์ก็บีบบังคับให้การออกจากหมู่บ้านจันทราเป็นเรื่องยากมากขึ้น จากนั้นเวลาก็ล่วงเลยไปเรื่อยๆ
หลัวซิงไม่เคยได้ทราบข่าวเกี่ยวกับเฟิงจิงเทียน ทว่ามารดาของเสี่ยวเหยียนก็เกิดป่วยหนักจนเสียชีวิตไปในตอนที่เสี่ยวเหยียนอายุไม่ถึงสิบปีด้วยซ้ำ
ก่อนสิ้นใจ มารดาของเสี่ยวเหยียนได้มอบจี้หยกชิ้นหนึ่งไว้ให้นางและบอกว่ามันเป็นของชิ้นเดียวที่บิดาของนางทิ้งไว้ให้
แม้ว่าเด็กสาวต้องการตามหาบิดา นางก็อ่อนแอเกินไปและไม่กล้าออกจากหมู่บ้านจันทรา นางจึงใช้ชีวิตอยู่ที่นั่นในขณะที่เวลาล่วงเลยไป
สำหรับเฟิงจิงเทียน หลังจากเขาพยายามล่อคนร้ายกลุ่มนั้นออกห่างจากสตรีคนรัก เขาก็ได้รับบาดเจ็บสาหัส เมื่อคนที่เฟิงหรูเซียวส่งออกไปพบตัวเขา ในตอนนั้นเฟิงจิงเทียนก็อยู่ในสภาวะที่อ่อนแออย่างมากและใช้พลังมายาไปจนหมด
เฟิงหรูเซียวส่งคนออกไปรับตัวบุตรชายกลับมาที่จวนโดยเร็วที่สุด จากนั้นเฟิงจิงเทียนก็หมดสติอยู่นานครึ่งเดือนก่อนฟื้นคืนสติขึ้นมาอีกครั้ง
หลังจากลืมตาตื่นขึ้นมา เขาก็เล่าเรื่องบุตรและสตรีคนรักให้เฟิงหรูเซียวทราบและเขาต้องการตามหายอดดวงใจทั้งสองด้วยตัวเอง
อย่างไรก็ตาม เฟิงจิงเทียนในตอนนั้นใช้พลังมายามากเกินไปและเขาสูญเสียพลังไปมากจนระดับพลังลดลงเหลือเพียงขอบเขตทูตสวรรค์เท่านั้น
แน่นอนว่าเฟิงหรูเซียวไม่ต้องการให้บุตรชายออกไปตามหาทั้งสองด้วยตัวเอง เขาจึงส่งคนออกไปเป็นจำนวนมากเพื่อตามหาลูกสะใภ้และหลานสาว
หมู่บ้านจันทราตั้งอยู่ทางตอนเหนือของดินแดนอ้างว้างและมีป่าขนาดใหญ่ที่อยู่ระหว่างเมืองลั่วหยางและหมู่บ้านแห่งนั้น ไม่ว่าคนตระกูลเฟิงจะพยายามตามหาอย่างไร พวกเขาก็ไม่เคยพบหมู่บ้านจันทรา พวกเขาจึงไม่เคยได้ข่าวเกี่ยวกับทั้งสองไปโดยปริยาย
ตลอดสิบกว่าปีที่ผ่านมานี้ ตระกูลเฟิงก็ตามหาสองแม่ลูกมาตลอดโดยที่ไม่ย่อท้อ ทว่าก็ไม่เคยพบข่าวคราวใดๆเลย
เมื่อร่างกายของเฟิงจิงเทียนค่อยๆฟื้นตัวขึ้นอย่างต่อเนื่อง เขาก็หมั่นเพียรฝึกยุทธ์ใหม่และในที่สุดก็ทะลวงพลังถึงระดับเดิมซึ่งก็คือขอบเขตจ้าวพิภพขั้นสูงสุดได้
ครั้งสุดท้ายที่เขาเดินทางไปที่เมืองลั่วหยาง เขาเพียงต้องการหาเบาะแสเกี่ยวกับหญิงคนรักและบุตรสาวที่พลัดพราก
ไม่คิดเลยว่าเลยเขาจะได้พบกับเสี่ยวเหยียนโดยบังเอิญ ในที่สุดบิดาและบุตรีก็ได้พบหน้าและเชื่อมสายสัมพันธ์ต่อกัน
เมื่อได้รู้ว่ามารดาของเสี่ยวเหยียนเสียชีวิตไปเมื่อหลายปีก่อน เฟิงจิงเทียนก็เศร้าโศกอย่างมาก เขาตั้งแท่นสำหรับระลึกถึงวิญญาณของนางไว้ที่จวนตระกูลเฟิงและคุกเข่านานสามวันสามคืนเพื่อแสดงความรู้สึกผิดต่อสตรีคนรัก
เสี่ยวเหยียนรู้สึกดีใจอย่างที่สุดเมื่อได้พบเฟิงจิงเทียน บิดาที่ไม่เคยได้พบหน้า
นอกจากนี้นางยังได้รู้ว่าเฟิงจิงเทียนไม่ได้แต่งงานกับใครอื่นเพราะยังรอสตรีคนรักและบุตรสาวของตนเองอยู่เสมอซึ่งเป็นสิ่งที่ทำให้เสี่ยวเหยียนตื้นตันใจมากยิ่งขึ้น นางรอคอยความรักของครอบครัวมาเนิ่นนานเหลือเกินและรู้สึกว่าเฟิงจิงเทียนและเฟิงหรูเซียวต่างก็ดีกับนางมาก นางจึงตัดสินใจกลับมาอยู่ในจวนตระกูลเฟิงและยอมรับตัวตนของตนเอง
หลังจากได้ฟังคำบอกเล่าของเสี่ยวเหยี่ยว ฉินอวี้โม่และคนอื่นๆก็พยักศีรษะไปตามๆกัน
จากสิ่งที่ได้ฟัง เฟิงจิงเทียนเป็นบุคคลที่ลุ่มหลงในความรักอย่างไม่เปลี่ยนแปลง ทว่าบางสิ่งบางอย่างก็เป็นสิ่งที่โชคชะตากำหนดไว้แล้วและไม่มีสิ่งใดที่ควบคุมมันได้
“แล้วตอนนั้นมารดาของเจ้าไม่รู้หรือว่าบิดาของเจ้าเป็นใคร?”
ฉีอวิ๋นเหล่ยเอ่ยถามด้วยความอยากรู้ เขาแปลกใจอย่างยิ่งที่ได้ยินว่ามารดาของเด็กสาวไม่ทราบว่าเฟิงจิงเทียนคือนายน้อยตระกูลเฟิง
“มารดาของข้ารู้แค่ว่าบิดาของข้าชื่อเฟิงจิงเทียนและไม่รู้เลยว่าเขาเป็นสมาชิกของตระกูลเฟิง หัวหน้าหมู่บ้านจันทราพยายามสืบหาข้อมูลเกี่ยวกับบิดาของข้าแต่ก็ไม่เคยค้นพบว่าเขาเป็นใคร บอกตามตรง หากวันนั้นข้าไม่พบบิดาของข้าโดยบังเอิญและแอบตามเขามาถึงจวนตระกูลเฟิง ข้าก็คงไม่เชื่อว่าบิดาของข้าคือบุตรชายเพียงคนเดียวของผู้นำตระกูลเฟิง”
เสี่ยวเหยียนส่ายศีรษะให้กับความรู้สึกไม่คาดคิดในตอนนั้น แซ่เฟิงมีน้อยและพบได้ยากอย่างยิ่ง หากนึกถึงตระกูลเฟิงตั้งแต่เนิ่นๆก็คงไม่เกิดเรื่องวุ่นวายมากขนาดนี้
ในตอนนั้นที่หลัวซิงสืบหาข้อมูลเกี่ยวกับเฟิงจิงเทียน เขาไม่เคยแม้แต่จะนึกถึงความไปได้นั้น เขาจึงไม่ได้สืบลึกเข้าไปในตระกูลเฟิง
ในขณะเดียวกัน สมาชิกตระกูลเฟิงก็ออกตามหามารดาและบุตรสาวและสืบหาข่าวในทั่วบริเวณเมืองลั่วหยาง ทว่าพวกเขาก็ไม่เคยพบหมู่บ้านจันทรา
ต้องกล่าวเลยว่าโชคชะตาช่างเล่นตลกจริงๆ
“น่าเสียดาย…ที่มารดาของข้าไม่ได้พบหน้าบิดาก่อนตายด้วยซ้ำ”
เสี่ยวเหยียนอดถอนหายใจไม่ได้
“แม้ว่าข้าไม่เคยพบนาง ข้าเชื่อว่าหากนางได้รู้ว่าบิดาของเจ้ารักนางมากเพียงใดและเจ้าได้มีชีวิตที่ดีแล้ว นางจะต้องมีความสุขและดีใจไปกับเจ้าอย่างแน่นอน”
ซูเสี่ยวจวิ้นอดเดินเข้ามาไม่ได้ นางกล่าวและสวมกอดเสี่ยวเหยียนอย่างปลอบประโลม
“ข้าเข้าใจ ขอบคุณท่านมากที่ปลอบใจข้า”
เสี่ยวเหยียนพยักหน้าหงึกๆพร้อมยิ้มกว้าง
“เด็กโง่เอ๋ย ดีแล้วที่เจ้าได้พบบิดาและได้รู้ประวัติความเป็นมาของตัวเอง เรื่องอื่นผ่านไปแล้ว อย่าคิดให้หนักใจเลย”
ฉินอวี้โม่แตะศีรษะของเสี่ยวเหยียนเบาๆ ทว่ารอยยิ้มบางๆก็ปรากฏบนใบหน้าของนาง
ทั่วดินแดนอ้างว้างแห่งนี้ หมู่บ้านจันทราเป็นที่แรกที่นางมาถึงและเสี่ยวเหยียนเป็นคนแรกที่นางรู้จัก แม้ว่าเป็นช่วงเวลาเพียงสั้นๆ ฉินอวี้โม่ก็มองเด็กสาวตรงหน้าเป็นน้องสาวอย่างแท้จริง
แน่นอนว่าฉินอวี้โม่มีความสุขและยินดีที่นางได้พบกับครอบครัวและมีความสุขเช่นนี้
“พี่อวี้โม่ พี่ไม่โกรธข้าหรือ?”
เสี่ยวเหยียนยิ้มเมื่อได้ยินคำพูดของฉินอวี้โม่และนางเอ่ยถามอย่างอยากรู้
“ข้าบอกตอนไหนล่ะว่าข้าโกรธ”
ฉินอวี้โม่ยิ้มบางๆ นางเพียงเป็นห่วงน้องสาวอย่างมาก แล้วนางจะโกรธเด็กสาวน่ารักน่าเอ็นดูคนนี้ได้อย่างไร?
เมื่อได้ยินเช่นนั้น เสี่ยวเหยียนก็กระโดดด้วยความดีใจ ไม่คิดเลยว่าหลังจากที่ไม่ได้พบกันเสียนาน ฉินอวี้โม่จะมีอารมณ์ขันมากขึ้นเรื่อยๆ
อย่างไรก็ตาม ต่อให้ฉินอวี้โม่จะไม่พูดอะไร นางก็สัมผัสได้ว่าพี่สาวคนนี้เป็นห่วงนางมากจริงๆ
อันที่จริงนางก็รู้สึกผิดไม่น้อย นางปล่อยให้ฉินอวี้โม่ต้องกังวล และเมื่อพี่สาวเผชิญปัญหาอะไร นางก็ไม่สามารถช่วยได้เลย
“เอาล่ะ อย่าพูดเรื่องนั้นเลย ตอนนี้เรามาคุยเรื่องสถานการณ์ของตระกูลเฟิงกันก่อนเถอะ”
เมื่อรู้สึกได้ว่าบรรยากาศเริ่มหนาแน่น ฉีอวิ๋นเหล่ยก็ยิ้มและกล่าวออกมา “กลุ่มคนที่ตามล่าบิดาของเจ้าในตอนนั้นมีอะไรเกี่ยวข้องกับเฟิงอู๋รึไม่?”
ทันทีที่เสี่ยวเหยียนเอ่ยถึงเรื่องนี้ เขาก็เกิดข้อสันนิษฐานในใจ ในตระกูลใหญ่อย่างตระกูลเฟิง การลอบสังหารส่วนใหญ่ล้วนมีใครบางคนได้ประโยชน์จากมัน
ในตอนแรก เฟิงจิงเทียนเพียบพร้อมทั้งสภาวะพลังและพรสวรรค์อันยอดเยี่ยม เขาเป็นบุคคลที่เหมาะสมที่สุดที่จะรับช่วงต่อในฐานะผู้นำตระกูล เมื่อเขาออกไปฝึกฝนสั่งสมประสบการณ์ เขาก็ถูกไล่ล่าเกือบที่จะพลาดท่าเสียชีวิตไป มีความเป็นไปได้สูงว่าใครบางคนที่ใฝ่ฝันอยากเป็นผู้นำตระกูลต้องการกำจัดเขา
ฉินอวี้โม่เองก็เกิดข้อสงสัยนี้เช่นกัน เมื่อฉีอวิ๋นเหล่ยเอ่ยถาม นางก็มองเสี่ยวเหยียนด้วยความอยากรู้เช่นกันและรอดูว่าเด็กสาวจะตอบอย่างไร
“ท่านรู้ได้อย่างไร?”
เมื่อได้ยินคำถามของบุรุษผู้อ่อนโยน เสี่ยวเหยียนก็ตกใจเล็กน้อยด้วยความสงสัยว่าเขาทราบเรื่องนี้ได้อย่างไร
“ตระกูลใหญ่ๆก็มักจะเป็นแบบนี้ไม่ใช่รึ ? ถึงแม้ว่าเรื่องเช่นนี้จะไม่เกิดขึ้นกับพวกเรา มันก็พอจะคาดเดาได้”
ฉีอวิ๋นเหล่ยยิ้มมุมปากเล็กน้อย เขาไม่ได้รู้สึกแปลกใจใดๆ
“มันเกี่ยวข้องกับเฟิงอู๋จริงๆ งานเลี้ยงตระกูลเฟิงก็เพื่อเรื่องนี้”
เสี่ยวเหยียนพยักศีรษะและไม่ปิดบังแผนการจากฉินอวี้โม่และคนอื่นๆ
เสี่ยวเหยียนไว้ใจฉินอวี้โม่อย่างมาก และสหายของนางก็ไว้ใจได้เช่นกัน แม้ว่าเรื่องนี้ถูกเก็บเป็นความลับ เสี่ยวเหยียนก็รู้สึกว่าควรบอกให้ฉินอวี้โม่และสหายได้ทราบ
“ในงานเลี้ยงตระกูลเฟิงครั้งนี้ ผู้นำตระกูลเฟิงต้องการจะสละตำแหน่งและก็กำจัดเฟิงอู๋และคนอื่นๆไปในขณะเดียวกันใช่รึไม่?”
ซูเสี่ยวจวิ้นเอ่ยขึ้น นางเป็นคนฉลาดมากและนางเข้าใจเรื่องทั้งหมดได้ในทันที
“ใช่แล้ว เฟิงอู๋ทำตัวเกินควบคุมมากขึ้นเรื่อยๆ ท่านปู่ของข้ากังวลว่าตระกูลเฟิงจะต้องตกอยู่ในมือของเขา เดิมทีท่านบิดาและข้าไม่ได้สนใจตำแหน่งผู้นำตระกูลอะไรนี่ แต่เฟิงอู๋ก็เป็นบุคคลที่ก้าวร้าวรุนแรงเกินไป เราไม่มีทางเลือกนอกจากสู้กับเขาไปจนถึงที่สุด”
เสี่ยวเหยียนพยักศีรษะและอธิบาย ทั้งนางและเฟิงจิงเทียนไม่ใช่คนทรงพลัง หากว่าเฟิงจิงเทียนต้องการเป็นผู้นำตระกูลเฟิงตั้งแต่แรก ตำแหน่งนั้นก็คงจะตกเป็นของเขาอย่างแน่นอน
เพียงแต่เฟิงอู๋มักใช้วิธีชั่วร้ายและเล่ห์เพทุบายลับหลังเขามาตลอดระยะเวลาหลายปีที่ผ่านมานี้ ยิ่งไปกว่านั้น ขุมกำลังที่เขาเข้าไปผูกมิตรด้วยก็ไม่ได้มีชื่อเสียงในทางที่ดีเท่าไหร่นัก
แน่นอนว่าเฟิงหรูเซียวไม่ต้องการมอบตำแหน่งผู้นำตระกูลให้กับคนอย่างเฟิงอู๋ เขาจึงวางแผนที่จะแต่งตั้งเสี่ยวเหยียนเป็นผู้นำตระกูลเฟิงคนต่อไป
หลายคนในตระกูลเฟิงไม่เห็นด้วยกับเรื่องนี้เพราะเสี่ยวเหยียนเป็นสตรี ทว่าหากเฟิงหรูเซียวยืนกรานและตัดสินใจแล้วนั้น ก็ไม่มีใครที่จะสามารถคัดค้านได้
งานเลี้ยงของตระกูลเฟิงในครานี้จะเกิดเรื่องที่น่าสนใจมากมายอย่างแน่นอน ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายเฟิงหรูเซียวหรือเฟิงอู๋ พวกเขาเตรียมความพร้อมไว้เป็นอย่างดี
เมื่อถึงตอนนั้น เกรงว่าจะมีการปะทะเกิดขึ้นอย่างเลี่ยงไม่ได้…
ฉินอวี้โม่และสหายมองหน้ากันโดยไม่เอ่ยปากพูดอะไร พวกเขาพอจะรู้จักตระกูลที่มีเรื่องแบบนั้นเกิดขึ้น ในอดีต ฉินเทียนก็ถูกใส่ร้ายโดยสมาชิกคนอื่นในตระกูลซึ่งนำไปสู่เหตุการณ์ที่ฉินเทียนต้องแยกกับตระกูลของเขา
สำหรับเรื่องนี้ ฉินอวี้โม่สนับสนุนการตัดสินใจของเสี่ยวเหยียนอย่างเต็มที่
“นายหญิง มีคนกำลังมา”
จู่ๆเสียงของมารยาก็ดังขึ้นในโสตประสาทของฉินอวี้โม่
“เสี่ยวเหยียน มีคนกำลังมาทางนี้ เจ้าออกไปก่อนเถอะ ข้ายังไม่อยากเปิดเผยตัวในตอนนี้ หากเจ้ามีอะไรและอยากพบข้าก็มาหาข้าที่จวนตระกูลฉู่ได้ทุกเมื่อ”
ฉินอวี้โม่ยิ้มและกล่าวพร้อมส่งเสี่ยวเหยียนออกไป
ทันทีที่เด็กสาวออกไปข้างหน้าก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น
.