คุณหนูสี่ สตรีเปื้อนเลือด - ตอนที่ 348 บุปผาแห่งความมืด
พลับพลึงแดงค่อยๆเข้าไปใกล้ต้นไม้ใหญ่ทีละก้าวขณะที่สีหน้าตึงเครียดอย่างมาก
มันสัมผัสได้ว่าต้นไม้ใหญ่ต้นนี้มีแรงกดดันที่ทรงพลังแผ่ออกมาจนทำให้มันรู้สึกอึดอัดอย่างยิ่ง ต้องกล่าวเลยว่าพลับพลึงแดงเป็นอสูรพฤกษาที่ฝึกฝนบ่มเพาะพลังมานานหลายพันปีก่อนที่จะจำแลงร่างเป็นมนุษย์ได้ พืชที่ทำให้มันรู้สึกอึดอัดได้ถือว่ามีน้อยมากจริงๆ
เมื่อเดินใกล้เข้าไป พลับพลึงแดงก็ค่อยๆยกมือขึ้นสัมผัสมันเบาๆ
ฉินอวี้โม่และคนอื่นๆก็มองการกระทำของพลับพลึงแดงด้วยความกังวล จากลักษณะท่าทางของอสูรพฤกษาตัวนี้ พวกเขาก็พอจะคาดเดาได้ว่าต้นไม้นี้มิใช่ต้นไม้ธรรมดาอย่างแน่นอน
พวกเขาสงสัยใคร่รู้อย่างยิ่งว่าพลับพลึงแดงค้นพบสิ่งใด ต้นไม้นี้คือสิ่งใดกันแน่?
“ฮ่าๆๆ ขอบใจเจ้ามาก หากไม่มีเจ้า ข้าก็คงหาบุปผาแห่งความมืดนี่ไม่พบ”
ทันใดนั้น เสียงหัวเราะอันชั่วร้ายก็ดังขึ้นในโสตประสาทของทุกคน จากนั้นเงาร่างสีดำทะมึนก็ปรากฏกายถัดจากเสี่ยวม่านและลงมือโจมตีมันทันที
เมื่อครู่พลับพลึงแดงสัมผัสได้ถึงบางสิ่งบางอย่าง ทว่าในขณะที่มันกำลังจะเอ่ยปาก มันก็รู้สึกถึงกลิ่นอายของความชั่วร้าย และในขณะเดียวกันนั้นมันก็รู้สึกว่ามีใครบางคนกำลังจะโจมตีมัน
พลับพลึงแดงหลบเลี่ยงการโจมตีนั้นอย่างไม่รอช้า ร่างของมันหายวับไปครู่หนึ่งและกลับมาปรากฏตรงหน้าฉินอวี้โม่และคนอื่นๆ
“เจ้าเป็นใคร?!”
การปรากฏกายอย่างกะทันหันของศัตรูผู้นี้ทำให้ฉินอวี้โม่และคนอื่นๆสะดุ้งตกใจขึ้นมา จากนั้นฉู่เหิงก็ขมวดคิ้วและกล่าวพร้อมสีหน้าบึ้งตึง
คนผู้นี้แอบตามพวกเขามาตลอดโดยที่พวกเขาไม่สามารถสัมผัสได้ อีกทั้งยังเข้ามาในเขตตระกูลฉู่ได้โดยไม่มีสัญญาณเตือนใดๆ ยิ่งไปกว่านั้น เมื่อผู้มาใหม่ปรากฏตรงหน้า ฉู่เหิงก็สัมผัสได้ถึงสภาวะพลังจากอีกฝ่ายที่คลุมเครือและไม่ชัดเจน ซึ่งดูน่าสะพรึงกลัวมากจริงๆ
“ยังต้องถามอีกรึ?”
บุรุษลึกลับกล่าวพร้อมรอยยิ้มมุ่งร้าย
“ขอบคุณพวกเจ้ามาก หากไม่มีพวกเจ้า ข้าก็คงไม่ทราบถึงตำแหน่งที่แน่ชัดของบุปผาแห่งความมืด”
บุรุษลึกลับผู้นี้สวมเสื้อคลุมสีดำบดบังทุกส่วนจนมองไม่เห็นรูปลักษณ์ที่แท้จริง สิ่งที่มองเห็นมีเพียงดวงตาสีดำสนิทล้ำลึกเกินหยั่งถึงและน้ำเสียงของเขาก็แหบพร่าจนฟังดูราวกับเป็นเสียงโลหะถูกัน
“นายหญิง สิ่งที่อยู่ข้างในต้นไม้ใหญ่นี้คือบุปผาแห่งความมืด อย่าปล่อยให้คนลึกลับนี่ฉวยเอามันไปได้ มิฉะนั้นมันจะเกิดปัญหาใหญ่ตามมา!”
พลับพลึงแดงตอบสนองและกล่าวอย่างกระตือรือร้น
บุปผาแห่งความมืดคือสิ่งที่ชั่วร้ายที่สุด และมองเพียงแวบแรกก็เห็นได้ว่าบุรุษลึกลับผู้นี้ก็ไม่ใช่คนดี หากเขาฉวยเอามันไปได้ก็ไม่อาจรู้ได้เลยว่าจะเกิดอะไรขึ้นต่อไป
แม้ว่าพวกเขาไม่ทราบว่าบุปผาแห่งความมืดคืออะไร ทว่าเมื่อได้ยินคำพูดของพลับพลึงแดง ฉินอวี้โม่และคนอื่นๆก็ไม่รอช้าและพุ่งตรงออกไปโจมตีบุรุษชุดดำทันที
“ฮ่าๆๆ สายไปแล้ว!”
บุรุษชุดดำหัวเราะเสียงดัง มือของเขาเปลี่ยนกลายเป็นภาพเงาเอื้อมตรงไปที่ต้นไม้ใหญ่ทันที จากนั้นดอกไม้สีดำเล็กๆที่มีแสงสลัวส่องสว่างออกมาก็ปรากฏในมือของเขา
“มิติมืด!”
ทันใดนั้น ทั้งสี่คนก็รู้สึกถึงความมืดมิดที่เข้าปกคลุมอย่างกะทันหันราวกับถูกกักขังอยู่ในหมอกมืดเป็นวงกว้างและไม่สามารถมองเห็นสิ่งใดได้อย่างชัดเจน
ฟึ่บ!
เปลวเพลิงจุดประกายขึ้นจากปลายนิ้วมือของฉินอวี้โม่อย่างรวดเร็วส่งผลให้หมอกสีดำทะมึนที่ปกคลุมรอบตัวอันตรธานหายไปอย่างไร้ร่องรอย
เพียงแต่บุรุษชุดดำก็หายวับไปกับตาเช่นกันและดูเหมือนว่าเขาจะจากไปแล้ว
อย่างไรก็ตาม ฉินอวี้โม่ไม่ได้คิดเช่นนั้น นางไม่เชื่อว่าบุรุษชุดดำลึกลับเมื่อครู่จะเคลื่อนไหวได้รวดเร็วเหนือเทพปานนั้น
“เพลิงจักรพรรดิ!”
ทันใดนั้น เสียงบางอย่างก็ดังขึ้นข้างหูของฉินอวี้โม่
ฉินอวี้โม่ก็ไม่ได้ลังเลแต่อย่างใด ชั่วพริบตาต่อมา ฝ่ามือวายุพร้อมด้วยพลังเกือบทั้งหมดของนางก็ฟาดออกไปในทิศทางต้นเสียงนั้นทันที
แม้ว่ามองไม่เห็นร่างใดในทิศทางนั้น อดีตนักฆ่าสาวแห่งยุคก็เชื่อมั่นในสัญชาตญาณของตนเอง
“โอ๊ย!”
พร้อมด้วยเสียงร้องอู้อี้ คนผู้หนึ่งก็ถูกฟาดด้วยฝ่ามือของฉินอวี้โม่และกลิ่นอายที่เขาซ่อนไว้ก็ค่อยๆปรากฏออกมาเล็กน้อย
อย่างไรก็ตาม เพียงครู่เดียวก็ไม่สามารถสัมผัสถึงเขาได้อีกต่อไปและไร้ซึ่งความผันผวนใดๆในอากาศ
“นายหญิง ร่างกายของชายชุดดำนั่นดูจะมีบางอย่างไม่ธรรมดา ข้าสัมผัสถึงกลิ่นอายของเขาไม่ได้เลย”
พลับพลึงแดงขมวดคิ้วมุ่นและกล่าวทันที บุรุษชุดดำคนนั้นเป็นบุคคลที่ลึกลับและซับซ้อนจริงๆ
เมื่อได้ยินเช่นนั้น ฉินอวี้โม่ก็พยักศีรษะเบาๆ นางรู้ว่าบุรุษลึกลับนั้นจากไปแล้ว ทว่าด้วยฝ่ามือของนางโจมตีถูกเป้าหมายเมื่อครู่ เขาก็คงจะได้รับบาดเจ็บพอสมควร
ขณะนี้อีกสามคนก็ฝ่าออกจากหมอกมืดได้สำเร็จและสีหน้าของพวกเขาบิดเบี้ยวอย่างยิ่งเมื่อพบกับสวนที่ว่างเปล่าไร้เงาบุรุษชุดดำ
“ต้องขออภัยด้วยที่ข้าปล่อยเขาหลุดมือไป”
ฉินอวี้โม่โบกมือและกล่าวอย่างปลงตก
“ไม่ นี่เป็นความผิดของเราเอง การป้องกันของตระกูลฉู่อ่อนแอเกินไป”
ฉู่เฟยหยางยอมรับผิดและกล่าวโทษตัวเองกับสิ่งที่เกิดขึ้น
“ตอนนี้ไม่ใช่เวลามาโทษตัวเอง เรายังต้องค้นหาความจริงให้ได้ว่าคนผู้นั้นเป็นใครและบุปผาแห่งความมืดคือสิ่งใด”
ฉินเทียนเอ่ยถึงประเด็นที่สำคัญที่สุดที่พวกเขาต้องทำในตอนนี้
ตู้ม!
ทันทีที่สิ้นเสียงของเขา เสียงสนั่นก็ดังขึ้นในหูของทุกคน
ทุกคนหันไปและพบว่าต้นไม้ใหญ่ที่แผ่กิ่งก้านไปทั่วบริเวณเริ่มร่วงโรยอย่างรวดเร็ว ภายในเวลาเพียงไม่นาน ต้นไม้ใหญ่ก็กลายเป็นเถ้าลอยละล่องและพัดพาหายไปในอากาศ
“ชายชุดดำคนนั้นเอาบุปผาแห่งความมืดไปแล้วและพลังงานที่ช่วยพยุงต้นไม้ใหญ่นี้ก็หายไปจนหมดสิ้น เพราะเหตุนั้นต้นไม้จึงหายไปเช่นกัน”
พลับพลึงแดงอธิบายด้วยสีหน้างุนงงและเหยเก
“เสี่ยวม่าน บุปผาแห่งความมืดนี่คืออะไรกัน?!”
ฉินอวี้โม่มองพลับพลึงแดงที่มีสีหน้าเหยเกอย่างเห็นได้ชัดและเอ่ยถามด้วยความสงสัยอย่างที่สุด นางเข้าใจลักษณะนิสัยของเสี่ยวม่านเป็นอย่างดีและมันไม่เคยสนใจสิ่งใดเป็นพิเศษ ทว่าตอนนี้บุปผาแห่งความมืดกลับทำให้อสูรตรงหน้ามีสีหน้าที่ไม่สู้ดีเช่นนี้ บุปผาแห่งความมืดคือสิ่งใดและมีความพิเศษอย่างไรกันแน่?
“ไปที่เรือนและค่อยๆคุยกันให้เป็นเรื่องเป็นราวเถอะ”
ฉินเทียนเอ่ยขึ้นเพื่อให้ทุกคนกลับไปที่เรือนก่อน เขารู้สึกได้ว่าบุปผาแห่งความมืดจะต้องไม่ใช่สิ่งที่ธรรมดาอย่างแน่นอน
และตัวตนของบุรุษชุดดำเมื่อครู่ พวกเขาไม่จำเป็นต้องคิดสงสัยเลยสักนิด เขาจะต้องเป็นสมาชิกของขุมกำลังมารร้ายอย่างแน่นอน
พลังของบุรุษผู้นั้นก็แข็งแกร่งพอสมควร ยิ่งไปกว่านั้นเขาก็น่าจะมีสมบัติที่ไม่ธรรมดาบางอย่างติดตัวอยู่หรือไม่ก็ฝึกฝนวิชาที่พิเศษบางอย่างมา เขาจึงล่องหนและซ่อนปกปิดกลิ่นอายของตนเองได้อย่างแนบเนียนเช่นนี้ เพราะเหตุนั้น แม้ด้วยพลังความแกร่งกล้าของฉินเทียนและฉู่เหิง พวกเขาจึงไม่สามารถค้นพบอีกฝ่ายได้
จากนั้นคนทั้งสี่และเสี่ยวม่านก็กลับไปที่ห้องโถงในจวนและนั่งลง
สายตาสงสัยใคร่รู้ของทุกคนจับจ้องที่พลับพลึงแดงเป็นจุดเดียวและรอให้มันอธิบายทุกอย่าง
“นายหญิง บุปผาแห่งความมืดเป็นอสูรหายากในบรรดาอสูรพฤกษาของพวกเรา มันเป็นหนึ่งในสามอสูรพฤกษาที่ทรงพลังที่สุด หากมันจำแลงเป็นร่างมนุษย์ แม้แต่ข้าเองก็ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของมันเลย”
พลับพลึงแดงอธิบายทุกอย่างที่มันรู้อย่างไม่ปิดบัง
บุปผาแห่งความมืด บุปผาแห่งแสงและต้นโพธิ์คือสามอสูรพฤกษาที่ทรงพลังที่สุด พวกมันเป็นพืชที่พบได้ยากมากในรอบหลายพันปี หากในชีวิตนี้มีผู้ใดที่ได้พบแม้หนึ่งในนั้นก็ถือว่าเป็นโชคดีอย่างที่สุด
ในบรรดาอสูรพฤกษาเหล่านี้ บุปผาแห่งแสงเป็นอสูรพฤกษาที่มีพลังแสงทรงพลังซึ่งสามารถช่วยพัฒนาความแข็งแกร่งทางร่างกายของจอมยุทธ์ ช่วยฟื้นฟูร่างกายหรือแม้กระทั่งฟื้นคืนชีพจากความตายได้
ส่วนต้นโพธิ์นั้น ทุกส่วนของมันล้วนเป็นทรัพยากรของฟ้าดินที่ล้ำค่า ยิ่งไปกว่านั้น มันยังสามารถมอบโอกาสให้กับจอมยุทธ์ได้โดยจะขึ้นอยู่กับความสามารถส่วนตัวของคนนั้นๆ เพราะเหตุนั้นมันจึงถูกเรียกขานว่า ‘พฤกษาแห่งโอกาส’
ทว่าบุปผาแห่งความมืดคือพฤกษาประเภทที่ชั่วร้ายและมีพลังทำลายล้างมากที่สุด
บุปผาแห่งความมืดมีพลังวิญญาณและพลังการควบคุมที่ทรงพลังที่สุด ซึ่งเมื่อบุปผาแห่งความมืดจำแลงร่างมนุษย์ มันสามารถควบคุมอสูรพฤกษาส่วนใหญ่และสั่งการพวกมันได้อย่างง่ายดาย
ยิ่งไปกว่านั้น คลื่นพลังมายาที่แผ่จากบุปผาแห่งความมืดก็มีฤทธิ์ที่สามารถกัดกร่อนร่างของมนุษย์หรืออสูรส่งผลให้สิ่งมีชีวิตเหล่านั้นตายไปโดยที่ไม่รู้ตัว
สิ่งที่น่าสะพรึงกลัวยิ่งกว่านั้นคือพลังความมืดที่อยู่ในบุปผาแห่งความมืดเป็นสมบัติล้ำค่าสำหรับผู้ที่ฝึกวิชาพลังมายาประเภทกัดกร่อน พลังมายาธาตุมืดและพลังมายาประเภทพิษ
หากคนเหล่านั้นได้ฝึกวิชาอยู่ในบริเวณใกล้กับบุปผาแห่งความมืด ความเร็วในการฝึกยุทธ์ของพวกเขาจะพัฒนาขึ้นมากและอาจมากถึงนับพันเท่า
อย่างไรก็ตาม พลับพลึงแดงไม่ได้กังวลเกี่ยวกับสิ่งเหล่านี้ สิ่งที่มันกังวลมากที่สุดคือหากว่าบุปผาแห่งความมืดก่อตัวสมบูรณ์และจำแลงร่างมนุษย์ได้โดยที่ฉินอวี้โม่และพวกยังตามหาบุปผาแห่งแสงและต้นโพธิ์ไม่พบนั้น มันจะสามารถควบคุมอสูรพฤกษาทั้งหมดอย่างไม่มีทางหลีกเลี่ยงได้ เมื่อถึงเวลานั้นทรัพยากรและสมุนไพรทั้งหมดจะกลายเป็นพิษร้ายและวัสดุดิบสำหรับหลอมโอสถเพื่อฟื้นฟูร่างกายก็จะกลายเป็นฝันร้ายสำหรับจอมยุทธ์
เมื่อถึงตอนนั้น โอสถที่หลอมมาได้จะไม่ใช่ยาบำรุงอีกต่อไป หากแต่จะเป็นยาพิษโดยสมบูรณ์
เพราะเหตุนั้น หากบุปผาแห่งความมืดตกไปอยู่ในมือของคนชั่ว มันจะกลายเป็นภัยร้ายและหายนะต่อผู้คนทั่วทั้งดินแดนอย่างแน่นอน
หลังจากฟังคำอธิบายของเสี่ยวม่าน สีหน้าของฉินอวี้โม่และอีกสามคนก็ตึงเครียดอย่างยิ่ง
บุรุษชุดดำผู้นั้นเป็นสมาชิกของฝ่ายมารอย่างแน่นอน เขาได้บุปผาแห่งความมืดไปแล้วและไม่มีทางที่เขาจะคิดดีทำดี หากเป็นอย่างที่เสี่ยวม่านบอก เหตุการณ์ในวันนี้จะนำไปสู่หายนะในอนาคตเป็นแน่
“บัดซบ ที่แท้สาเหตุที่พวกขุมกำลังมารร้ายเล็งเป้าหมายมาที่ตระกูลฉู่ของพวกเราก็เป็นเพราะบุปผาแห่งความมืดนี่ ทว่าพวกเขารู้ได้อย่างไรว่าบุปผาแห่งความมืดซ่อนอยู่ในตระกูลฉู่ของเรา?!”
ฉู่เฟยหยางกล่าว เพียงนึกถึงสิ่งที่อาจเกิดขึ้นในอนาคตข้างหน้า เขาก็ปวดหัวตุบๆอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยง
อย่างไรก็ตาม เขาสงสัยเป็นอย่างยิ่งว่าฝ่ายมารร้ายรู้ได้อย่างไรว่าบุปผาแห่งความมืดอยู่ในการครอบครองของตระกูลฉู่?
“นี่ไม่ใช่เรื่องแปลก แม้ว่าบุปผาแห่งความมืดจะถูกซ่อนไว้อย่างดี สำหรับผู้ที่ฝึกพลังด้านมืดจนถึงระดับหนึ่ง พวกเขาจะสัมผัสได้ถึงพิกัดโดยคร่าวๆของมัน ข้าเชื่อว่าฝ่ายมารร้ายน่าจะมียอดฝีมือที่สามารถตรวจจับตำแหน่งของบุปผาแห่งความมืดได้ ก่อนหน้านี้พวกเขาโจมตีตระกูลฉู่หลายครั้งหลายคราเพื่อลองเชิง ยิ่งไปกว่านั้น ในตอนแรกพวกเขาอาจคิดว่าตระกูลฉู่รู้ความลับบางอย่างเกี่ยวกับบุปผาแห่งความมืด พวกเขาจึงต้องการเค้นข้อมูลมา ไม่คิดเลยว่าพวกเราเองที่เป็นฝ่ายช่วยตามหาบุปผาแห่งความมืดให้พวกเขาจนพบ”
เสี่ยวม่านอธิบายต่อ ตอนนี้สีหน้าของมันดีขึ้นเล็กน้อยและไม่บิดเบี้ยวเหมือนก่อนหน้านี้
จู่ๆมันก็นึกบางอย่างขึ้นมาได้และสิ่งต่างๆยังไม่เลวร้ายอย่างที่คิดไว้ในตอนแรก
“ไม่ต้องกังวลเกินไป บุปผาแห่งความมืดยังมีอายุที่น้อยมาก มันต้องใช้เวลาอย่างน้อยหลายสิบปีเพื่อพัฒนาจนมีพลังที่เพียงพอ ยิ่งไปกว่านั้น หากข้าจำไม่ผิด เมื่อบุปผาแห่งความมืดปรากฏออกมาแล้ว บุปผาแห่งแสงและต้นโพธิ์ก็จะต้องปรากฏออกมาเช่นกัน หากว่าเราตามหาอสูรพฤกษาทั้งสองนั้นพบ เราก็ไม่ต้องหวั่นกลัวบุปผาแห่งความมืดอีกต่อไป”
พลับพลึงแดงยิ้มและอธิบายต่อไป “อีกอย่าง เรายังมีเวลาอีกหลายทศวรรษ หากเราตามหาอสูรพฤกษาทั้งสองไม่พบ เราก็แค่ตามหาว่าพวกขุมกำลังมารร้ายตั้งรกรากอยู่ที่ใด จากนั้นก็ชิงเอาบุปผาแห่งความมืดมาและทำลายมันซะ ปัญหาก็จะจบลง”
ฉินอวี้โม่และทั้งสามคนโล่งใจเล็กน้อยเมื่อได้ยินเช่นนี้ อย่างไรก็ตาม เมื่อนึกถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น พวกเขาก็ยังขมวดคิ้วเป็นปม
สมาชิกของฝ่ายมารร้ายนั่นทั้งโหดเหี้ยมและน่าสะพรึงกลัวอย่างยิ่ง บัดนี้เมื่อพวกเขาพบบุปผาแห่งความมืดแล้ว กุญแจสำคัญคือพวกเขาเหล่านั้นเปรียบเหมือนความมืดมิด ในขณะที่ฉินอวี้โม่และคนอื่นๆเปรียบเหมือนแสงสว่าง เกรงว่าหลังจากนี้ดินแดนอ้างว้างแห่งนี้จะไม่สงบสุขอีกต่อไป…
.