คุณหนูสี่ สตรีเปื้อนเลือด - ตอนที่ 359 หายนะมาถึง
“โปรดทราบ บัดนี้จูตี๋และพวกพ้องไปถึงชั้นที่หกแล้วและคะแนนพื้นฐานของพวกเขาเพิ่มเป็นเก้าคะแนน!”
ขณะเดียวกันกับที่หันหน้าเพื่อไปมองกลุ่มคนที่กำลังมุ่งหน้าเข้ามา เสียงประกาศก็ดังขึ้น
เมื่อได้ยินเช่นนี้ แม้ไม่ต้องหันไปมองก็รู้ได้ทันทีว่าผู้มาใหม่คือใคร
“พี่อวี้โม่ นั่นมันจูตี๋และพวกนี่นา!”
ซูเสี่ยวจวิ้นผู้ซึ่งทำตามคำสั่งของฉินอวี้โม่และฉีอวิ๋นเหล่ยที่ให้ไปหลบซ่อนตัวห่างจากการต่อสู้เป็นคนแรกที่มองเห็นจูตี๋และคณะ นางรีบวิ่งปรี่ตรงเข้ามาหาฉินอวี้โม่พร้อมกล่าวอย่างรวดเร็ว
ร่างของฉีอวิ๋ยเหล่ยก็พุ่งออกไปและปรากฏตัวถัดจากฉินอวี้โม่ด้วยสีหน้าบิดเบี้ยวเล็กน้อย
กลุ่มของจูตี๋ในตอนนี้มีสมาชิกรวมสิบคนและทั้งหมดน่าจะเป็นสหายพวกพ้องของเขา
ฉินอวี้โม่และสหายทั้งสองไม่รู้เลยว่าจูตี๋และคนอื่นๆรวมตัวกันได้อย่างไร เพียงแต่มีลางสังหรณ์ตงิดในใจว่ามันต้องเกิดปัญหาขึ้นแน่
“ฮ่าๆๆ ช่างบังเอิญซะจริง ไม่คิดเลยว่าจะได้พบพวกเจ้าที่นี่!”
จูตี๋เดินนำกลุ่มของเขาตรงเข้าไปใกล้กลุ่มฉินอวี้โม่พร้อมรอยยิ้มมุมปากเล็กๆที่เต็มไปด้วยเจตนาชั่วร้ายอย่างชัดเจน
เดิมทีพวกเขาผ่านค่ายกลเคลื่อนย้ายของชั้นที่ห้าและมาถึงชั้นที่หก ทว่าก็ไม่คาดคิดว่าจะได้ยินเสียงการต่อสู้ทันทีที่มาถึงชั้นนี้
หลังจากไตร่ตรองเพียงชั่วขณะ พวกเขาก็รู้ว่าการต่อสู้นี้จะต้องมาจากฉินอวี้โม่และสหายอย่างแน่นอน เพราะเหตุนั้นจูตี๋จึงรีบตรงเข้ามาในทิศทางนี้อย่างไม่ลังเล
พวกเขามองหาโอกาสมาที่จะได้พบกับฉินอวี้โม่และคนอื่นๆมาโดยตลอดเพื่อที่จะกำจัดคู่อริที่บาดหมางกันมานานเหล่านี้ บัดนี้โอกาสของพวกเขาก็มาถึงแล้ว
ภายในชั้นที่หกแห่งนี้มีเพียงกลุ่มพวกเขาและฝ่ายฉินอวี้โม่เท่านั้นโดยไม่มีผู้ใดสามารถเรียกอสูรพันธสัญญาออกมาสมทบได้ ด้วยจำนวนนับสิบคน แน่นอนว่าพวกเขาเป็นฝ่ายที่ได้เปรียบอย่างมาก
“เต่ามังกร เกรงว่าการประชันฝีมือของเราคงจะต้องหยุดลงเป็นการชั่วคราว เรามีเรื่องบาดหมางกับคนพวกนี้มาก่อนและพวกเขาจะต้องโจมตีเราแน่ เช่นนั้นแล้วการต่อสู้ของเราคงต้องรอก่อน”
ฉินอวี้โม่กล่าวกับเต่ามังกรข้างหลัง นางเชื่อว่าเต่ามังกรเป็นอสูรนิสัยดีและมั่นใจว่ามันจะไม่ทำร้ายผู้คนลับหลังอย่างแน่นอน
“ตกลง ถ้างั้นข้าจะกลับก่อน หลังจากที่ทุกอย่างสิ้นสุดลง ข้าจะออกมาหาเจ้าอีกครั้ง”
เต่ามังกรพยักหน้าตกลง มันเองก็รู้สึกได้ว่าจูตี๋ดูจะไม่ใช่คนดี ยิ่งไปกว่านั้น พวกพ้องของเขาก็มองกลุ่มสามคนของฉินอวี้โม่ด้วยแววตาท่าทางอาฆาตมาดร้ายอย่างชัดเจน
เต่ามังกรไม่อยากเข้าไปยุ่งเกี่ยวและไม่อยากอยู่ตรงนี้อีกต่อไป มันต้องการกลับไปยังรังของมันและพักผ่อนสักหน่อย
“ช้าก่อน เต่ามังกร ข้าจะขอความช่วยเหลือบางอย่างจากเจ้าได้รึไม่?”
เมื่อได้ยินว่าอสูรยักษ์ใหญ่กำลังจะกลับไป ฉินอวี้โม่ก็เอ่ยรั้งมันไว้ทันที นางต้องการให้เต่ามังกรตัวนี้ช่วยอะไรบางอย่าง
“ว่ามาสิ”
เต่ามังกรชะงักไปเล็กน้อยทว่ามันก็เอ่ยถามด้วยความอยากรู้
มันรู้สึกถูกชะตากับมนุษย์ตัวน้อยทั้งสามอย่างมาก มันจึงอยากได้ยินว่าฉินอวี้โม่จะขอความช่วยเหลือในสิ่งใด
“ช่วยพาเสี่ยวจวิ้นไปที่รังของเจ้าและให้นางหลบซ่อนตัวอยู่ที่นั่นสักพัก เจ้าค่อยพานางออกมาหลังจากเราสะสางปัญหาที่นี่เสร็จสิ้น”
ฉินอวี้โม่ไม่รอช้าและกล่าวสิ่งที่วางแผนไว้โดยตรง
“พี่อวี้โม่ ข้าจะไม่ไป!”
ก่อนจะพูดจบ ซูเสี่ยวจวิ้นก็ปฏิเสธทันควัน
“เราเป็นสหายร่วมทางกันและควรต่อสู้ด้วยกันไปตลอด หากพวกท่านเผชิญหน้ากับศัตรูอยู่ที่นี่และให้ข้าหลบหนีเอาตัวรอดไปคนเดียว มันจะทำให้ข้ารู้สึกอึดอัดใจมาก!”
เด็กสาวยึดมั่นมาเสมอว่านางและพี่ทั้งสองเป็นสหายที่ดีที่สุดต่อกันและควรต่อสู้เคียงบ่าเคียงไหล่กันไม่ว่าจะเกิดสิ่งใด หากนางหลบหนีไปเช่นนี้และปล่อยให้ฉินอวี้โม่และฉินอวิ๋นเหล่ยเผชิญกับสถานการณ์ลำบากเพียงสองคน นางจะรู้สึกว่าตนเองไร้ประโยชน์อย่างยิ่ง
“เสี่ยวจวิ้นเอ๋ย เชื่อพี่อวี้โม่ของเจ้าเถอะ เจ้าก็รู้ว่าพวกของจูตี๋มีพลังเหนือกว่าเจ้ามาก หากเจ้ายืนกรานจะอยู่ที่นี่ เจ้าก็มีแต่จะเป็นตัวถ่วงของพวกเรา ตามเต่ามังกรไปซ่อนตัวเถอะ เมื่อฝั่งของเราปลอดภัย เจ้าก็ค่อยออกมา”
ฉีอวิ๋นเหล่ยกล่าวด้วยน้ำเสียงเปี่ยมไปด้วยความมุ่งมั่น
พลังความแข็งแกร่งของซูเสี่ยวจวิ้นในตอนนี้ยังอ่อนแอมาก
ฝ่ายจูตี๋มีจำนวนมากกว่า หากสมาธิของทั้งสองต้องวอกแวกเพราะพะวงเรื่องความปลอดภัยของซูเสี่ยวจวิ้น สถานการณ์ของฉินอวี้โม่และฉีอวิ๋นเหล่ยก็จะเลวร้ายยิ่งกว่าเดิม
“ข้าให้คำมั่นว่าจะช่วยปกป้องเด็กน้อยคนนี้ ทว่าพวกเจ้าต้องสะสางปัญหาให้ได้โดยเร็ว”
เต่ามังกรมองมนุษย์ทั้งสามพร้อมพยักหน้า
มันรู้สึกถูกชะตากับกลุ่มฉินอวี้โม่และสหายทั้งสองนี้มาก อีกทั้งมันยังแอบภาวนาอยู่ในใจว่าทั้งสองคนจะเอาชนะฝ่ายตรงข้ามได้สำเร็จ
เมื่อได้ยินวาจาของฉีอวิ๋นเหล่ย ซูเสี่ยวจวิ้นยังคงลังเลเล็กน้อย ทว่าเมื่อหันไปมองฝ่ายของจูตี๋ที่มองมาราวกับพยัคฆ์ร้ายที่จ้องมองเหยื่อ เด็กสาวก็พยักศีรษะตอบตกลงอย่างรวดเร็ว
“พี่อวี้โม่ พี่อวิ๋นเหล่ย ระวังตัวด้วยนะ ข้าจะรอฟังข่าวดี”
ซูเสี่ยวจวิ้นกัดฟันข่มอารมณ์และเดินตรงไปหาอสูรยักษ์ใหญ่
เต่ามังกรส่งสัญญาณให้ซูเสี่ยวจวิ้นขึ้นไปบนหลังของมันก่อนที่นางจะค่อยๆปีนขึ้นไปแต่โดยดี
จากนั้นเต่ามังกรก็พยักหน้าให้กับฉินอวี้โม่และฉีอวิ๋นเหล่ยก่อนที่ชั้นพลังงานจะปรากฏบนตัวของมัน จากนั้นอสูรมหึมาก็พาซูเสี่ยวจวิ้นดำดิ่งลงในทะเลสาบที่อยู่ข้างหลัง
จูตี๋และสหายมองเห็นการกระทำของเต่ามังกรอย่างชัดเจนและต้องการขัดขวางมัน เพียงแต่พวกเขาก็พบว่าเต่ามังกรพาซูเสี่ยวจวิ้นลงไปในทะเลสาบแล้ว
“เหอะ ปล่อยให้ซูเสี่ยวจวิ้นหนีไปก่อน!”
จูตี๋มองฉินอวี้โม่และฉีอวิ๋นเหล่ยด้วยแววตามุ่งร้าย สีหน้าของเขาเหยเกไปเล็กน้อยทว่ากลับสู่ปกติอย่างรวดเร็ว
เป้าหมายตั้งแต่ต้นของเขาคือฉินอวี้โม่และฉีอวิ๋นเหล่ย พลังของซูเสี่ยวจวิ้นยังไม่ถึงระดับที่ยอดเยี่ยมนัก เมื่อจัดการกับสองคนนี้ได้ การที่จะจัดการกับซูเสี่ยวจวิ้นในภายหลังก็ไม่ใช่เรื่องยาก เขาจึงปล่อยให้นางหลบหนีออกไปก่อน
“ฉินอวี้โม่ ฉีอวิ๋นเหล่ย ถึงเวลาที่เราต้องสะสางความแค้นก่อนหน้านี้แล้ว พวกเจ้าช่างโชคร้ายเหลือเกินที่มาพบกับพวกข้า วันนี้..มิติพิเศษชั้นหกแห่งนี้จะเป็นหลุมฝังศพของพวกเจ้า!”
หลังจากกล่าวจบ จูตี๋ก็โบกมือและพวกพ้องเกือบทั้งหมดของเขาก็เข้าล้อมรอบทั้งสองไว้ทันที มีเพียงคนเดียวเท่านั้นที่ยังยืนนิ่งไม่ขยับเขยื้อนร่างกายและมองฉินอวี้โม่ด้วยแววตาสงสัยใคร่รู้
เมื่อสัมผัสได้ถึงสายตาอยากรู้ของคนผู้นั้น ฉินอวี้โม่ก็ขมวดคิ้วเล็กน้อย ความรู้สึกที่เกิดขึ้นจากสายตาและกลิ่นอายจากบุคคลลึกลับทำให้นางรู้สึกถึงแรงกดดันที่เลือนราง
ดูเหมือนว่าบุคคลลึกลับคนนี้เป็นผู้ที่ทรงพลังที่สุดในฝ่ายของจูตี๋
อย่างไรก็ตาม นางไม่เคยได้ยินข้อมูลใดเกี่ยวกับบุคคลนี้ จูตี๋มีพวกพ้องเป็นคนที่ทรงพลังมากเพียงนี้ตั้งแต่เมื่อใดกัน?
“พี่อวิ๋นเหล่ย ระวังตัวด้วยล่ะ”
ฉินอวี้โม่และฉีอวิ๋นเหล่ยยืนหันหลังชนกัน แม้ว่าฝ่ายจูตี๋มีสมาชิกมากกว่า สีหน้าของทั้งสองก็ไม่มีความกลัวเกรงปรากฏให้เห็นแม้แต่น้อย
แน่นอนว่าฉินอวี้โม่และฉีอวิ๋นเหล่ยสามารถเลือกที่จะหักป้ายหยกและออกไปจากสถานการณ์ยากลำบากนี้ได้ในทันที ทว่านั่นก็หมายความว่าทั้งสองยอมแพ้และสละสิทธิ์จากการแข่งขันนี้ไปโดยปริยาย อันดับคะแนนของทั้งสองก็จะเป็นโมฆะทันที เพราะเหตุนั้น ก่อนที่จะเข้าตาจนและไม่มีทางเลือกอื่น ทั้งฉินอวี้โม่และฉีอวิ๋นเหล่ยไม่ต้องการเลือกทางนั้น
ยิ่งไปกว่านั้น นอกเหนือจากบุคคลลึกลับที่ยืนนิ่งไม่ไหวติง ต่อให้ฝ่ายจูตี๋มีคนมากกว่า จอมยุทธ์ทั้งสองก็ไม่เกรงกลัวแม้แต่น้อย
“เหอะ ฉินอวี้โม่ เจ้าไม่รอดแน่!”
จูตี๋แค่นเสียงในลำคอก่อนที่กระบี่ยาวเล่มหนึ่งปรากฏขึ้นในมือและก็พุ่งตรงไปโจมตีฉินอวี้โม่ทันที
จูฉีเองก็มีเพียงความชิงชังต่อฉินอวี้โม่อยู่เต็มหัวใจ แน่นอนว่าเขาก็เลือกลงมือโจมตีฉินอวี้โม่พร้อมกับจูตี๋อย่างไม่ลังเล
คนอื่นๆอีกหลายคนก็ไม่รอช้าและโจมตีฉีอวิ๋นเหล่ยอย่างพร้อมเพรียงกัน
ฉินอวี้โม่สบตากับฉีอวิ๋นเหล่ยครู่หนึ่งก่อนที่กระบี่ปีกจักจั่นปรากฏขึ้นในมือของนาง
อดีตนักฆ่าสาวผู้เก่งกาจไม่รอช้าและประจันหน้ากับสองพี่น้องตระกูลจูทันที
หลังจากไม่ได้พบกันระยะหนึ่ง พลังของพี่น้องใจคดคู่นี้พัฒนาขึ้นอย่างเห็นได้ชัด คราก่อนที่ต่อสู้กัน พลังของจูฉียังไม่ถึงขอบเขตจ้าวพิภพและจูตี๋อยู่ในขอบเขตจ้าวพิภพขั้นต้น บัดนี้สภาวะพลังของจูฉีเข้าสู่ขอบเขตจ้าวพิภพขั้นต้นอย่างมั่นคงและจูตี๋มีพลังในขอบเขตจ้าวพิภพขั้นกลางที่แกร่งกล้า
ระดับพลังของฉินอวี้โม่บัดนี้ก็อยู่ในขอบเขตจ้าวพิภพซึ่งพลังการต่อสู้ก็ไม่ได้แตกต่างไปจากสองพี่น้องนี่มากนัก
อย่างไรก็ตาม ประสบการณ์การต่อสู้ของนางเหนือชั้นกว่าทั้งจูตี๋และจูฉีมาก เพราะเหตุนั้นนางจึงไม่เสียเปรียบคนทั้งสองแม้แต่น้อย
เนื่องจากไม่สามารถเรียกอสูรมายาออกมาในมิติพิเศษแห่งนี้และฉินอวี้โม่ก็ส่งอสูรทั้งหมดที่สยบในชั้นก่อนๆเข้าไปในคฤหาสน์เฟิงหัวแล้ว ในตอนนี้นางจึงอดเสียดายไม่ได้ที่ส่งพวกมันเข้าไปทั้งหมด
ถึงแม้อสูรมายาที่แข็งแกร่งที่สุดในชั้นก่อนๆจะมีพลังอยู่เพียงระดับจ้าวพิภพ ทว่าหากมีพวกมันอยู่ก็จะช่วยเหลือนางได้เป็นอย่างมาก
อย่างไรก็ตาม เมื่อเปรียบเทียบกับฉินอวี้โม่ ฉีอวิ๋นเหล่ยเผชิญกับความกดดันที่มากกว่า
นอกเหนือจากสองพี่น้องตระกูลจูและบุรุษผู้หนึ่งที่ยืนนิ่งอยู่กับที่ คนอื่นๆที่เหลือก็รวมกำลังกันห้อมล้อมโจมตีฉีอวิ๋นเหล่ย
แม้ว่าคนเหล่านั้นต่างก็อ่อนแอว่านายน้อยแห่งขุมกำลังราชาสวรรค์ พวกเขาก็มีจำนวนรวมถึงเจ็ดคนด้วยกัน
ภายใต้การร่วมมือกันโจมตีของคนทั้งเจ็ด แม้ว่าฉีอวิ๋นเหล่ยจะแข็งแกร่งพอสมควร มันก็ยังเป็นสถานการณ์ที่ตึงมือไม่น้อยเลย
อย่างไรก็ตาม ฉีอวิ๋นเหล่ยมีอาวุธที่ดีพอสมควรซึ่งน่าจะเป็นอาวุธระดับวิญญาณขั้นสูงที่แข็งแกร่ง เพราะเหตุนั้นเขาจึงจะไม่เสียเปรียบไปอีกพักใหญ่
“ฉินอวี้โม่ เจ้าคงไม่คิดสินะว่าจะมีวันนี้!”
จูตี๋กล่าวขึ้นอย่างเย็นชาในขณะที่โจมตีฉินอวี้โม่ สีหน้าท่าทางของเขาเปี่ยมไปด้วยความโอหัง
ในตอนที่เผชิญหน้ากันก่อนหน้านี้ ฉินอวี้โม่หยามเกียรติเขาหลายครั้งหลายคราและทำให้เขาเสียหน้าต่อหน้าธารกำนัล ในที่สุดวันนี้เขาก็ได้โอกาสหยามเกียรติเอาคืนสตรีผู้นี้
“จูตี๋ ถึงแม้พลังของเจ้าจะพัฒนาขึ้นมากในช่วงที่ผ่านมา เจ้าก็ไม่มีทางเอาชนะข้าได้หรอก!”
ฉินอวี้โม่เอ่ยขึ้นอย่างไม่แยแสและมือของนางขยับอย่างรวดเร็วขณะโจมตีจูฉีผู้ซึ่งอ่อนแอกว่าเล็กน้อย
จูฉีกำลังคิดหาจังหวะโจมตีฉินอวี้โม่ ไม่คิดเลยว่าอีกฝ่ายจะเริ่มโจมตีเขาเสียก่อนแล้ว
จูฉีขยับทั้งแขนขาอย่างพัลวันเพื่อขัดขวางกระบี่ของอีกฝ่ายไว้ได้อย่างฉิวเฉียด
อย่างไรก็ตาม ก่อนที่เขาจะได้ถอนหายใจด้วยความโล่งอก จูฉีก็มองเห็นรอยยิ้มประหลาดบนใบหน้าของฉินอวี้โม่
จากนั้น จู่ๆเข็มบินก็พุ่งตรงเข้าหาหน้าผากของเขา
สีหน้าของจูฉีเปลี่ยนไปทันที เขาไม่ทันสังเกตเห็นเข็มบินตอนที่มันปรากฏขึ้นด้วยซ้ำ
เขาขยับร่างอย่างรวดเร็วเพื่อหลบเลี่ยงจากเข็มดังกล่าว ทว่าเข็มบินยังคงแทงทะลุไหล่ขวาของเขาอย่างจังส่งผลให้มือของเขาไร้เรี่ยวแรงและกระบี่หลุดมือร่วงลงสู่พื้น
“น้องรอง เจ้าเป็นอะไรหรือไม่?!”
จูตี๋สังเกตเห็นสิ่งที่เกิดขึ้นและในขณะที่เขาเป็นห่วงและเป็นกังวลจูฉีอยู่นั้น เขาก็ปลดปล่อยการโจมตีรุนแรงตรงไปที่ฉินอวี้โม่ในเวลาเดียวกัน
เขาไม่คิดเลยว่าฉินอวี้โม่จะทรงพลังถึงเพียงนี้ ภายในพริบตา นางสามารถสลัดการโจมตีของเขาได้อย่างรวดเร็วและจู่โจมจูฉีโดยตรง
“จูฉี เจ้าลืมบทเรียนที่ข้าสั่งสอนเมื่อครั้งก่อนไปแล้วรึ?!”
ฉินอวี้โม่ขวางคมกระบี่ของจูตี๋ไว้ได้ทันและกล่าววาจาเย็นชากับจูฉีที่ล้มกองอยู่บนพื้น
เมื่อได้ยินคำพูดของอริ สีหน้าของจูฉีก็เหยเกทันที เขาจะลืมเรื่องที่เกิดขึ้นคราก่อนได้อย่างไร? ความอัปยศอดสูเช่นนั้นเป็นสิ่งที่เขาไม่มีทางลืมเลือนไปตลอดทั้งชีวิต!
“ฉินอวี้โม่ เจ้ามันน่ารังเกียจเกินไป!”
ทันใดนั้น คลื่นพลังของจูตี๋ก็แกร่งกล้าขึ้นและพลังงานสีดำประหลาดปรากฏในมือของเขาราวกับว่าเขากำลังเตรียมการโจมตีครั้งใหญ่!
.