คุณหนูสี่ สตรีเปื้อนเลือด - ตอนที่ 369 งานแต่งงาน
“พี่อวี้โม่ พี่อวิ๋นเหล่ย โชคดีจริงๆที่พวกท่านไม่เป็นอะไร”
ซูเสี่ยวจวิ้นปรี่ตรงเข้ามาเกาะแขนฉินอวี้โม่และเอ่ยด้วยความโล่งใจ
“เด็กโง่เอ๋ย ข้าไม่เป็นอะไรหรอก อีกอย่าง..ข้าพาใครบางคนมาด้วย”
ฉินอวี้โม่แตะศีรษะซูเสี่ยวจวิ้นและโยกหัวเบาๆก่อนส่งสัญญาณเรียกเต่ามังกรออกมาจากคฤหาสน์เฟิงหัว
“เจ้าเด็กน้อย เจ้ารู้หรือไม่ว่าข้าเป็นใคร?”
ร่างมนุษย์ของเต่ามังกรคือบุรุษหนุ่มเยาว์วัยที่ดูใสซื่อซึ่งคล้ายคลึงกับลักษณะนิสัยของมันมาก
“เต่ามังกรตัวโตรึ?!”
เมื่อได้ยินเสียงที่ฟังดูคุ้นหู ซูเสี่ยวจวิ้นก็ลังเลเล็กน้อยก่อนโพล่งออกมาด้วยความตกใจ
“สาวน้อย อย่าเรียกข้าว่าเต่ามังกรตัวโตเลย เรียกข้าว่าพี่เต่ามังกร”
เต่ามังกรยิ้มพร้อมยื่นมือออกไปแตะศีรษะของซูเสี่ยวจวิ้น
“พี่เต่ามังกร ท่านดูเด็กจังเลย ข้านึกว่าท่านจะเป็นชายแก่เสียอีก”
ซูเสี่ยวจวิ้นยิ้มพร้อมกล่าวขึ้นเบาๆ แม้ว่าเพิ่งรู้จักกันเพียงไม่นาน นางก็รู้สึกว่าเต่ามังกรตรงหน้ามีจิตใจที่ดีอย่างยิ่ง
คำพูดของซูเสี่ยวจวิ้นทำให้ทุกคนในบริเวณนั้นหัวเราะพรืดออกมาทันที บรรยากาศโดยรอบในเวลานี้อบอุ่นอย่างที่สุด
“จะว่าไปแล้ว เราจะจัดการคนพวกนี้อย่างไร?”
เมื่อหันไปมองจูอวิ๋นชางและคนอื่นๆที่แสดงสีหน้าบิดเบี้ยว เสี่ยวเหยียนก็เอ่ยถามเบาๆ
“ปล่อยให้ท่านจอมยุทธ์หยินหึนจัดการเถอะ ข้าเชื่อว่าเขาจัดการได้”
ฉินอวี้โม่ยิ้มให้ผู้นำขุมกำลังเอกพิภพ นางคิดว่าตนเองจะรู้สึกโล่งใจได้หากปล่อยให้เขาเป็นคนจัดการเรื่องนี้ต่อไป
“เอาล่ะ ถ้างั้นทุกคนไปพักผ่อนเถอะ ปล่อยให้เรื่องนี้เป็นหน้าที่ของข้าเอง”
หยินหึนยิ้มและไม่ปฏิเสธ เขารู้ว่าฉินอวี้โม่คงจะผ่านการต่อสู้อย่างดุเดือดภายในมิติพิเศษและตอนนี้คงจะเหนื่อยล้าอ่อนแรงอย่างเลี่ยงไม่ได้
“ท่านพ่อ กลับไปพักผ่อนกันเถอะเจ้าค่ะ ข้ามีบางอย่างจะแจ้งให้ท่านทราบด้วย”
ฉินอวี้โม่ยิ้มพร้อมกล่าวกับฉินเทียนทว่ายังคงไม่ปล่อยมือจากหานโม่ฉือ
“เข้าใจแล้ว เรากลับกันเถอะ”
ฉินเทียนกล่าวก่อนที่คนทั้งกลุ่มจะมุ่งหน้ากลับไปยังเรือนที่พักของตระกูลซู
“อวิ๋นเหล่ย เสี่ยวจวิ้น ซื่อชู่ พ่อของพวกเจ้าถูกกลุ่มคนดักลอบจู่โจม พวกเจ้าไม่ไปดูพวกเขาหน่อยรึ?”
เมื่อเห็นทั้งสามคนตามไปด้วย ฉินเทียนจึงเอ่ยย้ำพวกเขาอีกครา
“ไม่ต้องห่วงขอรับ คนธรรมดาๆอย่างพวกเราช่วยพวกเขาไม่ได้หรอก”
ฉีอวิ๋นเหล่ยและอีกสองคนไม่มีความคิดที่จะไปจากที่นี่ พวกเขายังคงติดลมกับบรรยากาศแห่งความสุขและคิดว่าจะต้องมีเรื่องดีเกิดขึ้นจึงไม่อาจทำใจออกไปในตอนนี้ได้
ส่วนเรื่องบิดาของพวกเขานั้น ทั้งสามเชื่อมั่นว่าจะไม่มีเรื่องร้ายเกิดขึ้น
ฉินเทียนถึงกับเหงื่อตกเมื่อได้ยินคำพูดของพวกเขา เขาไม่รู้เลยว่าหากบิดาของเด็กหนุ่มสาวเหล่านี้มาได้ยินเข้า พวกเขาจะทำหน้าอย่างไร
เมื่อมาถึงปลายทางซึ่งก็คือเรือนที่พักของตระกูลซู ทุกคนก็หาที่เหมาะๆและนั่งลง
“ท่านพ่อ ข้าอยากจัดงานแต่งงานที่เรียบง่ายกับโม่ฉือ ท่านพ่อจะอนุญาตหรือไม่เจ้าค่ะ?”
ฉินอวี้โม่ไม่รอช้าและไม่สนใจว่ามีคนอยู่มากมายขณะกล่าวความคิดของตนเองออกไปตามตรง
ฉินเทียนประหลาดใจเล็กน้อยเมื่อได้ยินเช่นนั้น เขามองหานโม่ฉือและบุตรสาวของตนเองพร้อมขมวดคิ้วมุ่น
“เสี่ยวโม่เอ๋อร์ การแต่งงานมิใช่เรื่องเล็กๆเลย เจ้าเป็นบุตรีที่ข้าภาคภูมิใจเป็นที่สุด แน่นอนว่าข้าต้องอยากจัดงานใหญ่ให้สมเกียรติ อีกอย่าง..ตระกูลของโม่ฉือก็ไม่ได้อยู่ที่นี่ นี่มันจะเป็นความคิดที่ดีหรือ?”
ฉินเทียนกล่าวความคิดเห็นของเขาทว่ามิได้คัดค้านความต้องการ เขาเพียงคิดว่าด้วยปัจจัยหลายอย่าง การจัดงานแต่งงานในเวลานี้อาจไม่ใช่เรื่องเหมาะสมนัก
“ท่านพ่อตาขอรับ มันไม่ใช่เรื่องใหญ่เลย เรื่องระหว่างข้าและโม่เอ๋อร์นั้น ทั้งตระกูลของข้าและโม่เอ๋อร์น่าจะรู้เรื่องนี้ทั้งหมดแล้ว เว้นเพียงแต่ท่านแม่ยายเท่านั้น สิ่งที่โม่เอ๋อร์หมายถึงคือการจัดงานเล็กๆและเรียบง่ายเท่านั้น ท่านพ่อตาวางใจได้เลยว่าหลังจากได้พบท่านแม่ยาย ข้าจะจัดงานใหญ่ให้สมฐานะของโม่เอ๋อร์ซึ่งจะทำให้ทั้งดินแดนเทพมายาต้องสะเทือนเลยขอรับ”
หานโม่ฉือยืนขึ้นและกล่าวอย่างหนักแน่น
“ท่านพ่อ โปรดอนุญาตด้วยเถอะ”
ฉินอวี้โม่ยิ้มให้บิดาพร้อมยืนขึ้นจับมือหานโม่ฉือไว้และคุกเข่าลงตรงหน้าฉินเทียน
“ท่านพ่อ ท่านก็รู้สถานการณ์ของข้าดี อีกไม่นานข้าอาจต้องพลัดพรากจากโม่ฉืออีกครั้ง ข้าและโม่ฉือรักกันจากใจจริง แม้ว่าท่านไม่เคยเห็นความสัมพันธ์ของเรามาก่อน ตอนนี้ท่านก็น่าจะได้เห็นแล้ว… ข้าเชื่อว่าท่านเข้าใจความคิดของเราทั้งสองดี”
ฉินอวี้โม่กล่าวด้วยความจริงใจ นางไม่สนใจสายตาตกตะลึงของคนอื่นๆ ทว่าถึงอย่างไรที่นี่ก็ไม่ใช่ยุคสมัยใหม่เหมือนโลกที่นางจากมา
“เอาล่ะ เจ้าทั้งสองลุกขึ้นเถอะ ข้าจะไม่อนุญาตได้อย่างไรเล่า?”
ฉินเทียนส่ายศีรษะเบาๆพร้อมบอกให้ทั้งสองลุกขึ้นโดยเร็ว
“ข้าคิดว่าเราควรจะใช้เวลาเตรียมความพร้อมสักสามวัน อีกสามวันข้างหน้า เราจะจัดงานแต่งงานเล็กๆในคฤหาสน์เฟิงหัวของเจ้า เจ้าคิดว่าอย่างไร?”
ฉินเทียนพิจารณาครู่หนึ่งและหลายสิ่งหลายอย่างต้องได้รับการเตรียมความพร้อมล่วงหน้า ในเมื่อฉินอวี้โม่และหานโม่ฉือต้องการแต่งงานกราบไหว้ฟ้าดินให้เป็นกิจจะลักษณะ เขาก็ไม่ขัดข้อง หากอวี๋เสี่ยวอวิ๋นได้รู้เรื่องนี้ นางก็จะต้องเห็นด้วยอย่างแน่นอน
“ขอบคุณท่านพ่อเจ้าค่ะ”
ฉินอวี้โม่และหานโม่ฉือยิ้มและหัวเราะอย่างมีความสุข
“ว้าว เยี่ยมไปเลย พี่อวี้โม่และพี่เขยโม่ฉือจะได้แต่งงานกันแล้ว!”
เสี่ยวเหยียนและซูเสี่ยวจวิ้นตะโกนอย่างมีความสุข ทั้งสองยังเยาว์วัยยิ่งนักและไม่มีโอกาสได้เห็นญาติพี่น้องหรือสหายที่แต่งงานมาก่อน
งานแต่งงานของฉินอวี้โม่และหานโม่ฉือที่จะมาถึง พวกนางก็จะต้องช่วยเตรียมการเช่นกัน
“ท่านลุงฉิน เราจะช่วยท่านจัดเตรียมงานเองขอรับ แม้ว่าอวี้โม่และโม่ฉือจะต้องการจัดงานเล็กๆ เราก็ต้องจัดเตรียมงานให้เป็นอย่างดี”
ฉีอวิ๋นเหล่ยและคนอื่นๆยิ้มอย่างมีความสุขเช่นกัน ใบหน้าของพวกเขาประดับด้วยรอยยิ้มยินดี พวกเขาย่อมยินดีที่จะได้เห็นสหายแต่งงานออกเรือน
“แน่นอน อีกสามวันข้างหน้า คาดว่าพ่อของพวกเจ้าก็น่าจะมาถึงแล้วเช่นกัน เมื่อถึงตอนนั้นเราทั้งหมดจะได้มาแบ่งปันความสุขร่วมกัน”
ฉินเทียนยิ้มและหันไปกล่าวกับบุตรสาว “เสี่ยวโม่เอ๋อร์ วางคฤหาสน์เฟิงหัวของเจ้าไว้ที่ห้องโถงนี้ตลอดสามวัน เจ้าต้องมอบอำนาจให้พวกเราเตรียมความพร้อมโดยที่เจ้าและหานโม่ฉือจะเข้าไปไม่ได้เด็ดขาด”
เขาจะต้องจัดเตรียมงานให้เป็นอย่างดี นี่คืองานแต่งงานของบุตรสาวของเขา
“ได้เลยเจ้าค่ะ!”
ฉินอวี้โม่พยักศีรษะอย่างแรง นางอยากรู้นักว่าบิดาจะเตรียมงานให้นางอย่างไร
“ยินดีด้วยนายท่าน ยินดีด้วยนายหญิง”
กิเลนอัคคีอดไม่ไหวและปรี่ออกมาจากมิติเชื่อมอสูรของหานโม่ฉือเพื่อแสดงความยินดีกับคนทั้งสอง
“ฮ่าๆๆ พวกเราทั้งหมดก็ขอแสดงความยินดีกับนายหญิงและว่าที่นายท่านเช่นกัน”
มารยาและอสูรมายาตัวอื่นๆก็ปรากฏออกมาเพื่อกล่าวแสดงความยินดีกับฉินอวี้โม่และหานโม่ฉือเช่นกัน
“พวกเจ้า…”
ฉินอวี้โม่และหานโม่ฉือเอ่ยขึ้นอย่างหมดคำพูด ทว่าปล่อยให้อสูรเหล่านั้นโลดเต้นตามต้องการ
“เอาล่ะ ในระหว่างสามวันนี้ พวกเจ้าจะไปที่ไหนก็ได้ที่พวกเจ้าต้องการ พวกเราทั้งหมดให้คำมั่นว่างานแต่งงานของพวกเจ้าในอีกสามวันข้างหน้าจะต้องออกมางดงามอย่างแน่นอน”
ฉินจ้านยิ้มพร้อมกล่าวเสริม
“ใช่แล้ว ไปท่องเที่ยวตามที่ต้องการเถอะ”
ทุกคนต่างก็เห็นด้วยและกล่าวสนับสนุนจนฉินอวี้โม่และหานโม่ฉือถึงกับพูดไม่ออก
“ในเมื่อทุกคนอยากให้พวกเราไป เราก็แยกตัวออกไปกันสักพักเถอะ”
หานโม่ฉือยิ้มออกมาทันทีและจับมือสตรีข้างกายก่อนหายวับไปต่อหน้าทุกคน
ฉินอวี้โม่ปล่อยให้หานโม่ฉือดึงแขนตนเองออกไปโดยไม่เอ่ยถามว่าไปที่ใด
ตราบใดที่มีหานโม่ฉืออยู่ข้างกาย นางก็ไม่สนใจว่าจะไปที่ใด
“อวี้โม่ ข้าจะพาเจ้าไปที่ทะเลไร้จุดจบ”
หานโม่ฉือยิ้มอย่างอบอุ่นก่อนแยกเปิดห้วงอวกาศและพาฉินอวี้โม่เข้าไป
เมื่อปรากฏตัวอีกครั้ง ทั้งสองก็มาอยู่เหนือท้องทะเลกว้างใหญ่แล้ว
“นี่คือทะเลไร้จุดจบ หากเป็นอย่างที่ข้าคิดไว้ มันน่าจะมีเกาะเล็กๆอยู่ตรงกลางทะเล คนจากฝ่ายมารก็น่าจะซ่อนตัวอยู่บนเกาะนั้น”
หานโม่ฉือและฉินอวี้โม่ขี่บนหลังกิเลนอัคคีขณะเขาโอบร่างบางของนางและชี้ตรงไปที่หนึ่งพร้อมกล่าวอธิบาย
“โม่ฉือ เจ้าเคยมาที่นี่แล้วใช่ไหม?”
ฉินอวี้โม่เดาได้ทันทีว่าเหตุใดหานโม่ฉือจึงดูเหมือนรู้จักที่นี่ นางจึงเอ่ยถามพร้อมยิ้มบางๆ
หานโม่ฉือไม่ปิดบังขณะพยักศีรษะพร้อมกล่าว “ตอนที่ข้าเข้าสู่สภาวะสังสารวัฏก่อนหน้านี้ ข้าได้มาที่ทะเลไร้จุดจบนี้เพื่อหาประสบการณ์และข้าได้พบราชาแห่งท้องทะเล—ฉลามขาว”
ในตอนนั้นเขาต่อสู้กับฉลามขาวเป็นเวลานานและได้รับบาดเจ็บสาหัสก่อนเอาชนะมันได้ในที่สุด
ฉินอวี้โม่ฟังหานโม่ฉือเล่าเรื่องอย่างใจเย็นและหันไปสบตาเขาก่อนคล้องคอและปิดปากเขาด้วยริมฝีปากของตนเอง
หานโม่ฉือชะงักไปชั่วขณะก่อนตอบสนองด้วยการรุกกลับอย่างรวดเร็ว
กิเลนอัคคีถึงกับพูดไม่ออก มันรู้ดีว่าตนเองได้กลายเป็นก้างขวางคอในสถานการณ์นี้แล้ว
หลังจากจุมพิตอย่างดูดดื่ม ทั้งสองก็ผละออกจากกันด้วยใบหน้าที่เปี่ยมไปด้วยความสุข
“โม่เอ๋อร์ ข้าอยากอยู่กับเจ้าไปตลอดชีวิตและไม่มีวันต้องแยกจากกันอีก”
หานโม่ฉือกอดร่างฉินอวี้โม่กระชับแน่นมากขึ้น เขาไม่ต้องการแยกจากสตรีคนรักเลยสักนิด
“ข้าก็เหมือนกัน บางคราข้าก็อยากจะเห็นแก่ตัวและไม่สนใจสิ่งอื่นใดในโลกนี้ จากไปในที่ที่เราทั้งสองจะได้อยู่กันลำพังและปราศจากความวุ่นวาย”
ฉินอวี้โม่ถอนหายใจเบาๆเช่นกัน ยังมีหลายสิ่งหลายอย่างที่ยังไม่ได้รับการสะสาง การที่ไม่ได้แยกจากกันคงเป็นเพียงความฝันที่เอื้อมไม่ถึง
“แต่หากทำเช่นนั้น เจ้าก็คงจะไม่ใช่โม่เอ๋อร์ของข้า”
หานโม่ฉือยิ้มบางๆ เขาจะไม่เข้าใจฉินอวี้โม่ได้อย่างไร หากคิดเห็นแก่ความสุขของตนเองก็คงจะไม่ใช่โม่เอ๋อร์ที่เขารัก
ฉินอวี้โม่มีลักษณะนิสัยเช่นนี้มาเสมอ หากนางและหานโม่ฉือไม่สะสางเรื่องราววุ่นวายทั้งหมดที่รออยู่ ต่อให้หนีไปไกลจากที่นี่ ทั้งสองก็คงไม่มีความสุข
ฉินอวี้โม่เอนพิงแขนของหานโม่ฉือและอดยิ้มออกมาไม่ได้
มันเป็นความรู้สึกที่ดียิ่งนักที่ได้มีคนที่รู้จักตัวตนของนางดีที่สุดและยินดีจับมือกันเพื่อฝ่าฟันอุปสรรคทุกเรื่องราว!
“โม่เอ๋อร์ เจ้ารู้ไหม? ก่อนหน้านี้ข้าคิดมาเสมอว่าขอบเขตเซียนคือจุดสูงสุดของการฝึกยุทธ์ ทว่าบัดนี้ข้ารู้แล้วว่ามันไม่ใช่เลย ยังมีขอบเขตที่สูงกว่าขอบเขตเซียนซึ่งรอให้เราทะลวงไปถึง และศัตรูที่เราต้องเผชิญในอนาคตอาจอยู่ในขอบเขตนั้น”
หานโม่ฉือกอดฉินอวี้โม่แนบแน่นยิ่งกว่าเดิม การทะลวงพลังครานี้ทำให้เขาค้นพบสิ่งใหม่ๆมากมาย
พลังความแข็งแกร่งในปัจจุบันของเขาถึงแม้กล่าวได้ว่าเป็นยอดฝีมือผู้แกร่งกล้าที่สุดในดินแดนอ้างว้าง ทว่าหากไปถึงที่ดินแดนเทพมายา เขาก็ยังถือว่าอ่อนแอ เพราะเหตุนั้นหากต้องการจะต่อกรกับศัตรูที่แข็งแกร่งในอนาคตได้ เขาก็จะต้องหมั่นฝึกฝนอย่างเต็มที่
“ข้าเข้าใจแล้ว”
ฉินอวี้โม่พยักศีรษะและยิ้มขณะอยู่ในอ้อมแขนของบุรุษคนรัก “ทว่าต่อให้เป็นเช่นนั้นแล้วอย่างไรล่ะ? ข้าเชื่อว่าไม่ว่าในอนาคตเราจะพบอุปสรรคขวากหนามมากมายเพียงใด มันก็ไม่สามารถขวางเราได้ เมื่อเราทั้งสองคนอยู่ด้วยกัน ไม่ว่าจะพบศัตรูที่ทรงพลังมากมายเพียงใด เราก็จะไร้ซึ่งความเกรงกลัว!”
น้ำเสียงของฉินอวี้โม่เต็มไปด้วยความสบายๆและองอาจกล้าหาญซึ่งแสดงให้เห็นถึงความมั่นใจอย่างเต็มเปี่ยมของนาง
เส้นทางข้างหน้ายังอีกยาวไกล ทว่าต่อให้เผชิญเรื่องดีหรือร้ายมากมายเพียงใด ทั้งสองก็จะเผชิญหน้าอย่างไม่เกรงกลัว สำหรับคนที่พวกเขารักและความสุข พวกเขาทั้งสองไม่มีทางเลือกใดอื่นนอกจากต้องก้าวไปข้างหน้าเท่านั้น
หานโม่ฉือยิ้มอย่างอบอุ่นและกอดสตรีคนรักไว้อย่างหวงแหนที่สุด
อย่างไรก็ตาม ทั้งสองไม่รู้เลยว่างานแต่งงานในอีกสามวันข้างหน้าจะทำให้พวกเขา ‘ประหลาดใจ’ เพียงใด!
.