คุณหนูสี่ สตรีเปื้อนเลือด - ตอนที่ 375 ขอบเขตเซียนสามคน
หลังจากเดินทางในคฤหาสน์เฟิงหัวเป็นเวลานาน เกาะเล็กๆก็ปรากฏให้เห็นตรงหน้าทุกคน
ทันทีที่เข้าใกล้เกาะดังกล่าว ทุกคนก็สัมผัสได้ถึงกลิ่นอายของความมืดทะมึนอย่างแรงกล้าแผ่มาจากเกาะนี้ซึ่งส่งผลให้เกิดความหดหู่อย่างยิ่ง
“เป็นจริงอย่างที่คิด นี่คือที่ที่ขุมกำลังมารร้ายตั้งรกรากอยู่ เพียงแค่พลังธาตุมืดนี้ก็ทำให้พวกเรารู้สึกอึดอัดแล้ว”
ขณะเข้าไปใกล้ เฟิงจิงเทียนกล่าวพร้อมทอดถอนหายใจ
ขุมกำลังมารร้ายคู่ควรกับชื่อเสียงของการเป็นขุมกำลังแกร่งกล้าที่ผูกขาดอำนาจท่ามกลางเผ่าพันธุ์อื่นมากมายจริงๆ ถึงแม้หายสาบสูญไปนานกว่าพันปี พลังอำนาจของพวกเขาก็เป็นสิ่งที่ประมาทไม่ได้เลย
“ไปกันเถอะ ถึงเวลาออกไปแล้ว”
ฉินเทียนกล่าวพร้อมรอยยิ้มและทุกคนก็ลุกขึ้นอย่างพร้อมเพรียงกัน ถึงเวลาที่พวกเขาต้องออกไปเตรียมความพร้อมสำหรับการต่อสู้ที่ใกล้จะมาถึงแล้ว
“เสี่ยวจวิ้น เสี่ยวเหยียน พวกเจ้ายังอ่อนแอเกินไป เพราะฉะนั้นจงรอสังเกตการณ์อยู่ข้างในคฤหาสน์เฟิงหัว ห้ามออกไปเด็ดขาด”
ฉินอวี้โม่หันไปกล่าวกับซูเสี่ยวจวิ้นและเสี่ยวเหยียน หลังจากไตร่ตรองครู่หนึ่ง นางก็กล่าวต่อ “หากมีผู้ใดรู้สึกว่าตนเองอ่อนแอเกินไปและมีแต่จะกลายเป็นภาระให้กับคนอื่น ก็โปรดเก็บตัวอยู่ภายในคฤหาสน์เฟิงหัวนี้”
เมื่อได้ยินคำกล่าวของฉินอวี้โม่ ไม่มีผู้ใดโกรธเคืองหรือไม่พอใจ ในบรรดาคนทั้งหมด มีคนจำนวนหนึ่งที่พลังยังไม่ถึงขอบเขตจ้าวพิภพด้วยซ้ำ เพราะฉะนั้นพวกเขาจึงอยู่สังเกตการณ์ในคฤหาสน์เฟิงหัวกับซูเสี่ยวจวิ้น
“ทุกคนระวังตัวด้วย พวกเราจะรอชมชัยชนะของพวกท่าน”
เสี่ยวเหยียนและคนอื่นๆกล่าวขึ้นอย่างพร้อมเพรียงกันโดยจะคอยเอาใจช่วยจอมยุทธ์ทุกคนจากในคฤหาสน์หลังน้อยนี้
ทุกคนยิ้มรับพลางพยักศีรษะก่อนมุ่งหน้าออกจากคฤหาสน์เฟิงหัวและยืนผงาดอยู่กลางท้องนภาเหนือเกาะเล็กแห่งนั้น
“ทุกคน ระวังตัวด้วย สถานที่แห่งนี้เปี่ยมไปด้วยสภาวะพลังธาตุมืด พลังของเราจะถูกยับยั้งในระดับหนึ่งอย่างแน่นอนและพวกฝ่ายมารจะมีพลังการต่อสู้มากกว่าพวกเรา”
ฉินอวี้โม่เอ่ยเตือนทุก คนให้ระวังตัวมากขึ้นเมื่อต้องต่อสู้ในถิ่นฐานของศัตรูเช่นนี้
นอกเหนือจากเพียงไม่กี่คนที่ไม่แข็งแกร่งมากพอ ครานี้ฝ่ายดินแดนอ้างว้างก็มีจอมยุทธ์เกือบสองร้อยคน พวกเขาลอยตัวอยู่เหนือเกาะไร้จุดจบอย่างเป็นระเบียบ แรงกดดันจางๆที่แผ่ออกมาจากร่างของพวกเขาก็ทรงพลังและไม่อาจมองข้ามได้
“เหอะ ในที่สุดพวกเจ้าก็มาถึง”
ทันใดนั้น แรงกดดันที่ทรงพลังก็แผ่ออกมากดขี่คนทั้งกองทัพ จากนั้นกลุ่มคนชุดดำก็ปรากฏกายตรงข้ามฉินอวี้โม่และจอมยุทธ์ทุกคน
ผู้นำของฝ่ายตรงข้ามก็มิใช่ใครอื่น หากแต่เป็นคนของขุมกำลังมารร้ายที่เคยปรากฏให้เห็นในเมืองเฟิงอวิ๋น ถัดจากเขาคือคนที่ต่อสู้กับหานโม่ฉือก่อนหน้านี้และอีกฝั่งหนึ่งก็เป็นบุรุษชุดดำที่แผ่กลิ่นอายแกร่งกล้า
“ขุมกำลังมารร้าย ไม่คิดเลยว่าหลังจากเวลาล่วงเลยมานับพันปี พวกเจ้ายังกล้าเสนอหน้ามาให้พวกเราเห็นอีก ยิ่งไปกว่านั้น พวกเจ้ายังไม่รู้จักการเก็บตัวอย่างสงบเสงี่ยมและพยายามที่จะบุกรุกดินแดนอ้างว้างของเรา”
หยินหึนก้าวออกไปข้างหน้าเล็กน้อยพร้อมลั่นวาจาเสียงดังโดยไม่ปิดบังความชิงชังในน้ำเสียง
“ฮ่าๆๆ เมื่อพันปีก่อน หากพวกเจ้าไม่ใช้วิธีการที่น่ารังเกียจล่ะก็ พวกข้าจะพ่ายแพ้ต่อพวกเจ้าที่เรียกตัวเองว่าเป็นคนมีคุณธรรมได้อย่างไร หลังจากการเก็บตัวฟื้นฟูมานานนับพันปี บัดนี้พลังของพวกข้าก็ฟื้นฟูเกือบสมบูรณ์แล้ว มาเถอะ มาดูกันว่าพวกข้าจะยึดเอาสิ่งที่เคยสูญเสียกลับคืนมาอย่างไร!”
บุรุษที่น่าจะเป็นผู้นำของฝ่ายมารกลุ่มนี้ยิ้มเย้ยและกล่าวด้วยความมั่นใจเต็มเปี่ยมราวกับว่าทุกสิ่งดำเนินเป็นไปตามแผนการของพวกเขา
“เหอะ หากพวกเจ้าหดหัวอยู่ในเกาะไร้จุดจบแห่งนี้อย่างสงบเสงี่ยมและไม่สร้างปัญหา พวกข้าก็คงไม่พาคนมากมายมาโจมตีพวกเจ้าเช่นนี้ ในเมื่อพวกเจ้าคิดจะบุกรุกทำลายดินแดนอ้างว้าง พวกข้าก็จะเป็นฝ่ายกำจัดพวกเจ้าจนหายสาบสูญไปจากดินแดนนี้อย่างสิ้นเชิง”
ฉินเทียนแค่นเสียงในลำคอขณะกล่าวด้วยน้ำเสียงทะนงตนและน่าเกรงขาม
“น่าตลกสิ้นดี ใครกันแน่ที่จะต้องหายสาบสูญไป วันนี้ฝ่ายดินแดนอ้างว้างของพวกเจ้าระดมกองกำลังมากมายเพื่อมาโจมตีพวกข้าและดูเหมือนว่าจะเป็นกองทัพที่เต็มไปด้วยจอมยุทธ์ฝีมือดีซะด้วย หากวันนี้ข้าทำลายพวกเจ้าทั้งหมดได้ ดินแดนอ้างว้างก็จะตกเป็นของเราอย่างไม่ต้องสงสัย”
บุรุษชุดดำยิ้มอย่างเย็นชาก่อนมองไปที่ฉินอวี้โม่และกล่าวขึ้นเบาๆ “ยิ่งไปกว่านั้น ดูเหมือนว่าวันนี้พวกเราจะโชคดีได้ตัวเทพมายาคนใหม่ไปเช่นกัน หากพวกข้าจับตัวนางและส่งตัวไปที่สำนักงานใหญ่ จากนั้นการฟื้นคืนอำนาจโดยสมบูรณ์ของพวกเราก็คงอยู่ใกล้แค่เอื้อม อีกทั้งก็อาจจะทรงพลังยิ่งกว่าเดิมด้วยซ้ำ!”
เขายังคงมั่นอกมั่นใจทั้งในน้ำเสียงและแววตา
“เมื่อพันปีก่อน เทพมายาสามารถเอาชนะพวกเจ้าได้ พันปีต่อมา ข้าก็ต้องเอาชนะพวกเจ้าได้เช่นกัน อีกอย่าง…พวกเจ้าเป็นแค่สาขาเล็กๆของขุมกำลังมารร้ายที่อยู่ในดินแดนอ้างว้าง หากข้ายังเอาชนะไม่ได้แม้แต่กลุ่มเล็กๆอย่างพวกเจ้า ข้าจะเรียกตัวเองว่าเป็นเทพมายาคนใหม่ได้อย่างไรกัน!”
ฉินอวี้โม่กล่าวตอบโต้อย่างไม่หวาดหวั่น ในทางกลับกัน นางดูน่าเกรงขามยิ่งกว่าเดิมเสียอีก
“ฮ่าๆๆ ข้าไม่รู้ว่าเจ้าไปเอาความมั่นใจมากมายเช่นนี้มาจากไหน”
บุรุษฝ่ายตรงข้ามหัวเราะอย่างยียวนก่อนหันไปเอ่ยกับบุรุษด้านข้างซึ่งเป็นคนที่ฉินอวี้โม่และคนอื่นๆไม่เคยพบหน้ามาก่อน “ผู้อาวุโสหลาน ไม่ต้องการพูดอะไรหน่อยรึ?”
บุรุษที่ถูกเรียกว่า ‘ผู้อาวุโสหลาน’ ยิ้มตอบและกล่าวขึ้น “เจ้าหนู ขอบใจเจ้ามากที่ช่วยพวกข้าตามหาบุปผาแห่งความมืด หากเจ้าเต็มใจเข้าร่วมกับฝ่ายมาร เราจะถือซะว่าเรื่องในวันนี้ไม่เคยเกิดขึ้น ยิ่งไปกว่านั้น ด้วยพรสวรรค์ประกอบกับกายเทพมายาของเจ้า หากเจ้ามาอยู่ฝ่ายเดียวกับพวกเรา สถานะของเจ้าจะเหนือยิ่งกว่าพวกเราทุกคนเสียอีก เมื่อถึงตอนนั้นเราเพียงต้องกำจัดพวกคนชั่วในดินแดน และโลกนี้ก็จะตกอยู่ในเงื้อมมือของพวกเรา”
เมื่อได้ยินวาจาของผู้อาวุโสหลานและสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายที่แผ่มาจากร่างของเขา ฉู่เหิงก็เป็นคนแรกที่ตะโกนอย่างเกรี้ยวโกรธ
“เหอะ ที่แท้ก็เป็นเจ้านี่เอง!”
ผู้อาวุโสหลานคนนี้คือคนที่แอบซุ่มเข้าไปในตระกูลฉู่และฉกฉวยเอาบุปผาแห่งความมืดไป ฉู่เหิงยังจำพลังอันน่าสะพรึงกลัวของบุรุษผู้นี้ได้ดี โดยเฉพาะอย่างยิ่งคือทักษะล่องหนอันน่าประหลาดที่ยังคงแจ่มชัดในความทรงจำของเขา
“ผู้นำตระกูลฉู่ ตลอดหลายปีที่ผ่านมานี้ ข้าต้องขอบใจพวกเจ้าตระกูลฉู่ที่ช่วยดูแลรักษาบุปผาแห่งความมืดให้เราเป็นอย่างดี เหตุใดตระกูลฉู่ของเจ้าไม่มาเข้าร่วมเป็นฝ่ายเดียวกับพวกเราล่ะ? เราให้คำมั่นว่าจะทำให้พวกเจ้าได้อยู่อย่างสุขสบาย”
ผู้อาวุโสหลานยิ้มบางๆขณะชำเลืองมองฉู่เหิงและเอ่ยขึ้น
“อย่าคิดยุยงให้เกิดความแตกแยกเลย หากข้ารู้ว่ามันคือบุปผาแห่งความมืด ข้าคงทำลายมันไปด้วยมือของตัวเองตั้งแต่แรกแล้ว ข้าจะปล่อยให้เจ้าได้มีโอกาสครอบครองมันได้อย่างไร ตระกูลฉู่ของพวกเรายึดมั่นในเกียรติศักดิ์ศรี ต่อให้ต้องตายในการต่อสู้ พวกข้าก็ไม่มีทางยอมเป็นพวกเดียวกับคนชั่วช้าอย่างพวกเจ้า!”
ฉู่เหิงตะโกนกร้าวและฝ่ามือของเขาเหวี่ยงเข้าใส่ผู้อาวุโสหลานโดยตรง
“ผู้นำตระกูลฉู่ เจ้ายังอ่อนแอเกินไป”
สีหน้าของผู้อาวุโสหลานไม่เปลี่ยนแปลงไปแม้แต่น้อย เขาเพียงกล่าวเบาๆพร้อมเหวี่ยงฝ่ามือขัดขวางฝ่ามือของฉู่เหิงไว้
“ขอบเขตเซียน!”
ทันใดนั้น ฉู่เหิงก็สัมผัสได้ถึงพลังของคู่ต่อสู้ บุรุษตรงหน้าคือยอดฝีมือในขอบเขตเซียน!
เช่นนั้นแล้วฝ่ายมารก็มียอดฝีมือในขอบเขตเซียนอยู่ถึงสองคนเลยรึ?
“ฮ่าๆๆ เจ้าสัมผัสได้ด้วยรึ”
ผู้อาวุโสหลานยิ้มอย่างโอหังอย่างไม่ปิดบังขณะแรงกดดันทรงพลังของเขาแผ่ออกไป
ทุกคนสัมผัสได้ถึงพลังของผู้อาวุโสหลานและอดขมวดคิ้วไม่ได้
หากมียอดฝีมือในขอบเขตเซียนเพียงหนึ่งคน หานโม่ฉือก็สามารถรับมือได้อย่างง่ายดาย ทว่าบัดนี้เมื่อพบว่าฝ่ายตรงข้ามมียอดฝีมือในขอบเขตเซียนถึงสองคน มันก็เป็นเรื่องที่รับมือได้ยากมาก
อย่างไรก็ตาม สีหน้าของหยินหึนไม่เปลี่ยนแปลงแม้แต่น้อยในขณะที่สีหน้าของฉินอวี้โม่และหานโม่ฉือก็ไม่เปลี่ยนแปลงเช่นกัน
พลังอำนาจที่แข็งแกร่งของฝ่ายมารเป็นสิ่งที่พวกเขาคาดการณ์ไว้ก่อนแล้ว การที่ยืนยันได้ว่ามียอดฝีมือขอบเขตเซียนสองคนมิใช่เรื่องที่น่าแปลกใจ ยิ่งไปกว่านั้น หากพวกเขาคาดเดาไม่ผิด ผู้ที่ทรงพลังที่สุดในกลุ่มก็คงจะไม่ใช่สองคนนี้ทว่าเป็นบุรุษที่ดูเหมือนจะเป็นผู้นำซึ่งเคยปรากฏตัวในเมืองเฟิงอวิ๋น
“หยินหึน แสดงพลังที่แท้จริงของเจ้าออกมาสิ อย่าคิดว่าพวกข้าจะไม่รู้… เจ้าเองก็ทะลวงพลังถึงขอบเขตเซียนมานานแล้ว”
ทันใดนั้น ผู้นำฝ่ายมารตรงหน้าก็เอ่ยขึ้นเบาๆ
“ฮ่าๆๆ หากข้าไม่ได้อยู่ในขอบเขตเซียน ก่อนหน้านี้ในเมืองเฟิงอวิ๋น เจ้าก็คงจะไม่ยืนดูการต่อสู้อย่างนิ่งเฉยเช่นนั้นหรอก”
หยินหึนยิ้มอย่างเย็นชาขณะแรงกดดันบนร่างกายของเขาแผ่ออกไปโดยที่ไม่ปิดบังพลังที่แท้จริงอีกต่อไป
“จอมยุทธ์หยินหึนก็เป็นยอดฝีมือในขอบเขตเซียนเช่นกัน!”
บรรดาสมาชิกจากดินแดนอ้างว้างไม่ได้ทราบถึงพลังที่แท้จริงของหยินหึนมาก่อนและพวกเขาต่างก็ตกตะลึงเล็กน้อยเมื่อได้รู้ว่าผู้นำขุมกำลังเอกพิภพผู้นี้ก็เป็นยอดฝีมือในขอบเขตเซียนเช่นกัน
ในทางกลับกัน ฉินเทียน ซูเทียนหยาและยอดฝีมือคนอื่นๆไม่แปลกใจเลยสักนิด สถานะของผู้นำขุมกำลังอันดับหนึ่งของดินแดนอ้างว้างมิใช่สิ่งที่ได้มาอย่างไร้เหตุผล
พวกเขาเพียงไม่ต้องการเอ่ยออกมาก่อนหน้านี้ ทว่าพวกเขาเหล่านี้ก็มั่นใจในพลังของหยินหึนอย่างแท้จริง
“ฮ่าๆๆ ไม่คิดเลยว่าฝ่ายมารจะมียอดฝีมือในขอบเขตเซียนอยู่สามคนด้วยกัน ข้าอยากรู้นัก ในเมื่อดินแดนอ้างว้างมีการยับยั้งพลังและไม่มีทางที่จะทะลวงพลังเข้าสู่ขอบเขตเซียนได้โดยปราศจากเงื่อนไขพิเศษ พวกเจ้าทั้งสามคนบรรลุขอบเขตนี้ได้อย่างไร?”
หยินหึนยิ้มอย่างเย็นชาพร้อมเอ่ยถาม เขารู้สึกสับสนในเรื่องนี้ไม่น้อย
เขาพัฒนาพลังเข้าสู่ขอบเขตเซียนได้เพราะการสั่งสมพลังและหมั่นฝึกฝนนานนับพันปี ยิ่งไปกว่านั้น ในตอนที่หยินหึนอยู่ในสภาวะที่แข็งแกร่งที่สุด เขาก็เคยเป็นยอดฝีมือที่แข็งแกร่งในขอบเขตเซียน บัดนี้การที่เขาจะอยู่ในขอบเขตเซียนก็ไม่ใช่เรื่องแปลกแต่อย่างใด
หานโม่ฉือสามารถทะลวงพลังได้เพราะเงื่อนไขที่พิเศษ ยิ่งไปกว่านั้น สภาวะร่างกายของเขาก็แตกต่างจากคนทั่วไป เป็นเพราะเขาเคยมีความสัมพันธ์กับฉินอวี้โม่ก่อนหน้านี้ เขาจึงมีร่องรอยพลังที่เป็นของเทพมายาอยู่ในร่างกายซึ่งควบคู่กับพลังธาตุน้ำแข็งที่เขามีอยู่ก่อนแล้ว
อย่างไรก็ตาม การที่สมาชิกทั้งสามคนของฝ่ายมารสามารถทะลวงเข้าสู่ขอบเขตเซียนได้เช่นนี้ พวกเขาก็น่าจะมีวิธีการพิเศษบางอย่าง
“ฮ่าๆ เจ้าก็เห็นแล้วว่าฝ่ายมารทรงพลังมาก การยับยั้งของดินแดนอ้างว้างแห่งนี้มีไว้สำหรับจอมยุทธ์ทั่วไปอย่างพวกเจ้า มันไม่ได้ส่งผลอะไรกับพวกข้า”
คนจากฝ่ายมารเอ่ยตอบโดยไม่ได้อธิบายอะไรมากนัก
“ฮ่าๆๆ หากมันไม่มีผลแล้วเหตุใดพวกเจ้าจึงมียอดฝีมือในขอบเขตเซียนเพียงแค่สามคนล่ะ?”
ฉินอวี้โม่ยิ้มบางๆและอดกล่าวเย้ยหยันออกไปไม่ได้
คำพูดของฉินอวี้โม่ทำให้จอมยุทธ์ฝ่ายดินแดนอ้างว้างทั้งหลายอดหัวเราะออกมาไม่ได้และความกังวลที่พวกเขารู้สึกเมื่อทราบว่าอีกฝ่ายมียอดฝีมือขอบเขตเซียนถึงสามคนก็อันตรธานหายไป
“เหอะ ต่อให้มีแค่สามคน พวกเจ้าก็รับมือไม่ได้!”
ผู้อาวุโสอีกคนที่ต่อสู้กับหานโม่ฉือก่อนหน้านี้แค่นเสียงในลำคอ จากนั้นร่างของเขาก็พุ่งออกไปและเริ่มโจมตีหานโม่ฉือ
หานโม่ฉือบีบมือบางของฉินอวี้โม่เบาๆก่อนที่จะพุ่งตรงไปปะทะกับผู้อาวุโสคนนั้น
“หยินหึน แสดงพลังแท้ที่จริงออกมาให้ข้าได้เห็นเป็นบุญตาหน่อยเถอะ”
บุรุษผู้เป็นผู้นำกลุ่มฝ่ายมารยิ้มท้าทายขณะโจมตีหยินหึน
หยินหึนเป็นจอมยุทธ์ที่ทรงพลังที่สุดในกลุ่มคนเหล่านี้ ตราบใดที่เขาทำให้ยอดฝีมือขอบเขตเซียนสองคนติดพันอยู่กับการต่อสู้ได้ พวกเขาก็จะจัดการกับคนอื่นๆจากดินแดนอ้างว้างได้ง่ายขึ้น
“ฮ่าๆๆ นั่นเป็นสิ่งที่ข้าต้องการ”
เมื่อเห็นฉินอวี้โม่พยักศีรษะให้เขา หยินหึนก็ไม่รอช้าขณะตามบุรุษคนนั้นไปเพื่อประจันหน้ากันทันที
“เหอะ พวกเจ้าที่เหลือ…”
ผุ้อาวุโสหลานแค่นเสียงเย็นชาขณะมองฉินอวี้โม่และคนอื่นๆราวกับพวกเขาเป็นมดปลวกที่สามารถบดขยี้ได้ง่ายๆ
“ผู้อาวุโสหลาน วันนั้นเจ้าอาจจะหนีรอดไปได้ ทว่าวันนี้อย่าหวังว่าจะรอดออกไปเลย!”
ฉินอวี้โม่ยิ้มอย่างเย็นชาและหันไปพยักศีรษะให้ฉินเทียนและคนอื่นๆ จากนั้นนางก็พุ่งตรงไปปรากฏตัวตรงหน้าผู้อาวุโสหลาน
.