คุณหนูสี่ สตรีเปื้อนเลือด - ตอนที่ 386 ความอบอุ่น
ณ ชนเผ่าเพลิงคำราม หลิวจื้อกลับมาด้วยท่าทางที่อับอายและตรงไปรายงานสิ่งที่เกิดขึ้นต่อผู้นำชนเผ่าทันที
จากนั้นทุกคนก็รวมตัวกันภายในห้องโถงเพลิงมายา
“อะไรนะ?! เจ้ากำลังจะบอกว่าเจ้าอาอู่นั่นถูกช่วยไว้โดยสตรีสองคนและเด็กตัวน้อยเพียงคนเดียวอย่างนั้นรึ!”
เมื่อได้ยินว่าอาอู่รอดชีวิตออกไปได้ สีหน้าของบุรุษหนุ่มคนหนึ่งก็บิดเบี้ยวเหยเกทันที
“สตรีสองคนนั่นทรงพลังอย่างแท้จริง คนหนึ่งมีเพลิงที่น่าสะพรึงกลัวซึ่งข้าคิดว่ามันคือเพลิงจักรพรรดิ และอีกคนเป็นผู้ใช้ข่ายอาคม พวกเราไม่ใช่คู่ต่อสู้ของทั้งสองเลย”
หลิวจื้อพยักศีรษะ เมื่อนึกถึงพลังความแข็งแกร่งของฉินอวี้โม่ เขาก็รู้สึกหวาดผวาขึ้นมาอีกครั้ง
เมื่อเผชิญหน้ากับฉินอวี้โม่ เขาไม่มีเรี่ยวแรงที่จะตอบโต้กลับด้วยซ้ำทั้งที่เป็นถึงยอดฝีมือในขอบเขตจ้าวสุริยะขั้นสูงสุด หากต้องเผชิญหน้ากับพลังแกร่งกล้าของนาง แม้แต่ยอดฝีมือขอบเขตเซียนครึ่งก้าวบางคนในชนเผ่าก็อาจจะเทียบไม่ได้
“ผู้ใช้ข่ายอาคม?!”
สำหรับพลังของฉินอวี้โม่ ทุกคนในห้องไม่ประหลาดใจเท่าใดนัก ทว่าเมื่อได้ยินเรื่องของผู้ใช้ข่ายอาคม สีหน้าของพวกเขาต่างก็แปลกประหลาดไปไม่น้อย
ผู้ใช้อาคมเป็นอาชีพทรงพลังแกร่งกล้าที่มีอยู่น้อยมากและเป็นเป้าหมายที่ขุมกำลังจำนวนมากต่างก็ต้องการทาบทามมาให้ได้ ต่อให้พวกเขาชนเผ่าเพลิงคำรามจะเป็นผู้ทรงอิทธิพลในเมืองเพลิงมายา ในชนเผ่าของพวกเขาก็ไม่ได้มีผู้ใช้ข่ายอาคมในระดับสูงแม้แต่คนเดียว
“หากอาอู่กลับไปที่ชนเผ่าเมฆาครามได้ คนเหล่านั้นจะต้องหาทางโจมตีเพื่อแก้แค้นให้กับเขาอย่างแน่นอน หากเป็นเช่นนั้นแล้วเราจะทำอย่างไรต่อไป?
จิตใจของชายหนุ่มผู้นี้จดจ่ออยู่ที่อาอู่อย่างแน่วแน่ขณะขมวดคิ้วเล็กน้อยและพึมพำคำถามที่สำคัญที่สุดออกมา
“เหอะ ชนเผ่าเมฆาครามอ่อนแอว่าพวกเรามาก ต่อให้พวกเขาจะโจมตีพวกเราจริงๆก็ไม่มีอะไรที่ต้องกลัว หากพวกเขากล้าบุกเข้ามา เราก็จะใช้โอกาสนี้ในการทำลายชนเผ่าเมฆาครามให้สิ้นซากไปซะ ถึงอย่างไรเราก็ไม่ชอบขี้หน้าคนพวกนั้นมาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว”
ใครคนหนึ่งแค่นเสียงเย็นชาและกล่าวด้วยน้ำเสียงมุ่งร้าย
“ใช่แล้ว ชนเผ่าเมฆาครามควรจะถูกลบออกไปจากตำแหน่งสามขุมกำลังใหญ่มาตั้งนานแล้ว!”
อีกคนกล่าวเสริมด้วยน้ำเสียงที่ไร้ซึ่งความเกรงกลัวใดๆ
“อย่างไรก็ตาม หากจอมยุทธ์ลึกลับและผู้ใช้ข่ายอาคมนั่นเข้าร่วมกับชนเผ่าเมฆาคราม ความแข็งแกร่งของพวกเขาจะเพิ่มขึ้นมาก เมื่อถึงตอนนั้น หากเราคิดจะจัดการกับพวกเขา มันก็คงจะไม่ใช่เรื่องง่ายอีกต่อไป”
หลิวจื้อกล่าวด้วยความกังวล แม้ว่าเขามิได้ฉลาดปราดเปรื่อง เขาก็มิได้โง่เขลาเช่น
“หลังจากนี้ข้าจะไปที่จวนเจ้าเมือง ตราบใดที่เราได้รับการสนับสนุนจากเจ้าเมือง หึ…”
ผู้นำชนเผ่าเพลิงคำรามยิ้มเยาะด้วยท่าทีราวกับมั่นใจในชัยชนะอย่างเต็มเปี่ยม
อีกฟากหนึ่ง ฉินอวี้โม่และคนอื่นๆไม่ได้รับรู้ถึงบทสนทนาที่เกิดขึ้นในชนเผ่าเพลิงคำรามนี้ขณะเดินมุ่งหน้าไปยังชนเผ่าเมฆาครามอย่างสบายๆ
“อาอู่ ไม่ต้องเศร้าไปหรอก แม้ว่าท่านป้าและท่านลุงจากไปแล้ว เจ้าก็ยังมีพวกเรา ท่านตา ท่านลุงและญาติพี่น้องคนอื่นๆ พวกเราจะดูแลเจ้าเอง”
ซูน่าปลอบประโลมเพื่อไม่ให้อาอู่จมอยู่กับความเศร้าเกินไป
ระหว่างเดินทาง ฉินอวี้โม่ก็ได้ยินเด็กหนุ่มเล่าเรื่องของตนเอง
บิดาของอาอู่เป็นจอมยุทธ์มากพรสวรรค์ของชนเผ่าเพลิงคำราม และเป็นผู้เข้าชิงตำแหน่งที่ทรงพลังที่สุดสำหรับการครองตำแหน่งผู้นำคนต่อไป
ส่วนมารดาของเขาเป็นน้องสาวของผู้นำชนเผ่าเมฆาครามคนปัจจุบัน
ครอบครัวของพวกเขาใช้ชีวิตอยู่กันอย่างมีความสุขมาตลอดและบิดาของอาอู่ไม่ได้สนใจพลังอำนาจใดๆ เขาไม่ต้องการเข้าชิงตำแหน่งผู้นำนั่นด้วยซ้ำ
อย่างไรก็ตาม บางคนในชนเผ่าก็คิดการร้ายและไม่ยอมปล่อยไปง่ายๆ เพราะถึงอย่างไรบิดาของอาอู่ก็มีทั้งพรสวรรค์และพลังความแข็งแกร่ง ต่อให้เขาไม่สนใจแย่งชิงอำนาจก็ตาม
โดยปกติแล้ว ตำแหน่งผู้นำของทั้งสามชนเผ่าจะถูกเลือกโดยบรรดาผู้อาวุโส โดยผู้ถูกเลือกจะต้องมีทั้งพรสวรรค์ ความเก่งกาจและมีจิตใจดีงามโดยคำนึงถึงผลประโยชน์ของส่วนรวมเสมอ
บิดาของอาอู่มีจิตใจดีและไม่คิดร้ายต่อผู้อื่น อีกทั้งเขาก็ได้รับความเคารพจากทุกคนในชนเผ่าเพลิงคำรามเป็นอย่างสูง บรรดากลุ่มผู้อาวุโสจึงต้องการสนับสนุนให้เขาได้ขึ้นเป็นผู้นำคนใหม่
อย่างไรก็ตาม บุตรชายของผู้นำชนเผ่าเพลิงคำรามในตอนนั้นไม่ยินยอม
เขาต้องการคว้าตำแหน่งผู้นำชนเผ่าคนใหม่เสียเองและแน่นอนว่าเขาย่อมต้องการกำจัดคู่แข่งรายสำคัญ เพราะเหตุนั้นเขาจึงวางแผนใส่ร้ายบิดาของอาอู่ว่าทรยศต่อชนเผ่าเพลิงคำราม
ด้วยความที่เขามีจิตใจดีมาตลอด บรรดาคนของชนเผ่าเพลิงคำรามจึงไม่เชื่อเรื่องนั้นทว่าผู้นำของชนเผ่าเพลิงคำรามก็ยืนกรานว่าบิดาของอาอู่คิดทรยศเช่นกัน เมื่อสถานการณ์เข้าตาจนและไม่อาจหาทางออกได้ ผู้นำของชนเผ่าเพลิงคำรามจึงได้ติดสินบนเจ้าเมืองเพลิงมายาและขอให้เขาช่วยเอ่ยปากในเรื่องนี้
และสุดท้ายเมื่อเจ้าเมืองเพลิงมายาเป็นคนเอ่ยปากด้วยตัวเอง แน่นอนว่าทุกคนย่อมเชื่อตามเขา
บิดาของอาอู่มีลักษณะนิสัยที่หนักแน่นอย่างยิ่ง เพื่อพิสูจน์ความบริสุทธิ์ใจของตนเอง เขาจึงได้หลั่งโลหิตสาบานต่อฟ้าดินว่ามิได้คิดทรยศต่อชนเผ่าเพลิงคำรามและไม่มีทางที่จะทำร้ายผู้คนในชนเผ่าได้
อย่างไรก็ตาม เขาไม่คิดเลยว่าการหลั่งโลหิตสาบานในครานั้นจะเป็นการเปิดช่องโหว่ให้ผู้นำชนเผ่าและบุตรชายฉวยโอกาสได้
ผู้นำชนเผ่าเพลิงคำรามและบุตรชายนำคนออกไปลอบสังหารบิดาของอาอู่เป็นการลับๆ และมารดาของอาอู่ก็ถูกสังหารไปในขณะที่พยายามปกป้องอาอู่
อาอู่ในตอนนั้นหนีรอดมาได้เพราะโชคช่วยทว่าก็ถูกคนเหล่านั้นจับตัวได้ในภายหลัง
อย่างไรก็ตาม เมื่อผู้อาวุโสคนหนึ่งของชนเผ่ารู้เรื่องนี้ เขาก็แอบปล่อยให้อาอู่หนีไป
แต่ทว่า… เรื่องนี้ไม่รอดพ้นจากหูตาของบุตรชายของผู้นำชนเผ่าเพลิงคำราม เขาส่งคนที่จงรักภักดีที่สุดซึ่งก็คือหลิวจื้อออกไปไล่ล่าสังหารอาอู่ในทันที ไม่ว่าอย่างไรเขาก็จะต้องกำจัดเป้าหมายให้ได้
ด้วยปัญญาและสัญชาตญาณการเอาตัวรอดของเขา อาอู่จึงหลบหนีเข้ามาในป่าเพลิงมายา
หากไม่ใช่เพราะความช่วยเหลือของฉินอวี้โม่ เขาก็คงจะกลายเป็นร่างไร้วิญญาณอยู่ภายใต้เงื้อมมือของหลิวจื้อไปแล้ว
“เหอะ ช่างน่าขยะแขยงจริงๆ เมื่อเจ้ากลับไป เจ้าจงบอกเรื่องนี้ให้ท่านตาของเจ้าได้ทราบและให้เขาทวงความยุติธรรมกลับคืนให้ท่านป้า!”
ซูน่าแค่นเสียงในลำคอ ใบหน้าของนางแดงก่ำด้วยความโกรธจัด
นางและคนอื่นๆก็เพิ่งรู้เรื่องนี้เมื่อประมาณเจ็ดวันก่อน หลังจากได้รับข่าวนี้ ท่านปู่ของนางก็แทบลมจับเพราะความโมโห
หลังจากคาดการณ์ได้ว่าคนเหล่านั้นคงไม่ปล่อยอาอู่ไปแน่ พวกเขาจึงส่งซูน่าและคนอื่นๆออกมาช่วยเหลือและพาอาอู่กลับชนเผ่าเมฆาครามอย่างปลอดภัย
ยิ่งไปกว่านั้น ชนเผ่าเมฆาครามก็ได้เตรียมพร้อมไว้แล้ว หากเกิดสิ่งใดขึ้นกับอาอู่ พวกเขาจะต้องล้างแค้นให้ได้ ไม่ว่าจะต้องแลกด้วยอะไรก็ตาม
ฉินอวี้โม่รับรู้ได้ถึงความซับซ้อนและความลึกล้ำในปัญหาของบุรุษหนุ่ม ในชีวิตก่อน นางเคยดูโทรทัศน์และอ่านหนังสือมามากมาย เพราะเหตุนั้นนางจึงเข้าใจว่าการต่อสู้เพื่อชิงอำนาจนั้นมีเล่ห์อุบายและซับซ้อนซ่อนเงื่อนเพียงใด อย่างไรก็ตาม นางไม่คิดเลยว่าจะได้พบเห็นเหตุการณ์นี้ในโลกนี้
“พี่ซูน่า ไม่ต้องห่วงหรอก แม้ว่าข้าจะเศร้าใจไม่น้อย ตอนนี้ก็ไม่ใช่เวลาสำหรับการจมปลักอยู่กับความเศร้า หากท่านพ่อและท่านแม่ของข้ากลายเป็นวิญญาณอยู่บนสรวงสวรรค์ ข้าก็หวังว่าท่านทั้งสองจะมีความสุขอยู่ที่นั่น”
อาอู่ยิ้มพร้อมสลัดความเศร้าใจออกไป ยิ่งไปกว่านั้น อาอู่ก็ได้ตั้งปณิธานกับตัวเองไว้แล้วว่าจะทวงความยุติธรรมให้มารดาและบิดาของตนเองให้ได้
“ถูกต้องแล้วล่ะ”
ซูน่าพยักศีรษะและไม่ได้เอ่ยอะไรต่อ
“พวกเราก็เชื่อมั่นในตัวเจ้า”
หานอวี้ยกกำปั้นตรงไปที่อาอู่เพื่อแสดงความเชื่อมั่น
อาอู่เป็นคนหนักแน่นและยืนกรานในความคิด ทุกคนเชื่อว่าในภายภาคหน้าเขาจะต้องได้กลายเป็นวีรบุรุษผู้ยิ่งใหญ่ของโลกมายาอย่างแน่นอน
เมื่อได้ยืนคำพูดของหานอวี้ อาอู่ก็ยิ้มด้วยสีหน้าแววตามุ่งมั่น
ในขณะที่พูดคุยกันอยู่นั้น คนทั้งกลุ่มก็มาถึงสถานที่หนึ่งซึ่งคล้ายคลึงกับกระโจมที่พักตามแบบพื้นเมืองของมองโกเลียในชีวิตก่อนของนักฆ่าสาว
มันคือทุ่งหญ้ากว้างใหญ่ที่มีเต็นท์ที่พักจำนวนมากซึ่งน่าจะเป็นที่อยู่อาศัย
บรรยากาศโดยรอบของที่นี่สดชื่นและมีสภาวะพลังหนาแน่นอย่างยิ่ง นอกจากนี้ยังมีสัตว์ประจำถิ่นหลากหลายชนิดที่กำลังกัดกินหญ้าอยู่ข้างลำธารกว้างซึ่งให้บรรยากาศอบอุ่นอย่างบอกไม่ถูก
“นี่คือชนเผ่าเมฆาครามของพวกเรา มันอาจจะถูกเก่าแก่สักหน่อย โปรดอย่าถือสาเลย”
ฉินอวี้โม่ยิ้มและกล่าวตอบ “เหตุใดข้าจะต้องถือสาอะไรด้วยเล่า หากผู้ใดได้อาศัยอยู่ในสถานที่งดงามเช่นนี้เป็นระยะหนึ่ง คนผู้นั้นจะต้องมีสภาวะจิตใจที่แตกต่างไปจากเดิมอย่างแน่นอน”
ชนเผ่าเมฆาครามมีอาณาเขตที่งดงามอย่างแท้จริง หากสามารถพักอยู่ที่นี่สักระยะหนึ่ง อารมณ์ความรู้สึกจะผ่อนคลายลงมากและความกังวลทั้งหมดจะถูกสลัดทิ้งไป
“คุณหนูใหญ่กลับมาแล้ว นายน้อยอาอู่ก็กลับมาแล้วเช่นกัน”
สตรีวัยกลางคนคนหนึ่งสังเกตเห็นซูน่าและอาอู่ นางจึงวิ่งปรี่เข้ามาอย่างมีความสุข
“ป้าหลาน”
เมื่อเห็นหน้าสตรีวัยกลางคนผู้นั้น อาอู่ก็ยิ้มกว้างและกล่าวทักทายทันที
“เด็กน้อยของป้า”
สตรีวัยกลางคนที่ถูกเรียกว่าป้าหลานสวมกอดอาอู่ไว้แน่นขณะน้ำตาไหลอาบจากหางตา
นางคือสหายที่สนิทที่สุดของมารดาอาอู่ เมื่อรู้ข่าวเรื่องการตายของสหาย นางถึงกับหมดสติไปทันที ตลอดสองวันที่ผ่านมา อารมณ์ของนางคงที่ขึ้นมากทว่ายังยืนกรานที่จะมาที่นี่ทุกวันเพื่อรอการมาถึงของอาอู่
เมื่อได้เห็นแล้วว่าเขาปลอดภัยหายห่วง ในที่สุดนางก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก อย่างไรก็ตาม เมื่อนึกถึงมารดาผู้ล่วงลับไปของอาอู่ นางก็ไม่มีทางควบคุมหยดน้ำตาได้เลย
“ป้าหลาน อย่าเศร้าไปเลย เรามีแขกอยู่นะขอรับ”
อาอู่แตะหลังป้าหลานเบาๆและดวงตาของเขาเริ่มรื้นเช่นกัน ถึงแม้เขาจะพยายามทำใจให้แข็งตลอดหลายวันที่ผ่านมา ทว่าเขาก็ยังเศร้าเมื่อนึกถึงมัน
ป้าหลานเช็ดน้ำตาที่ไหลรินอาบแก้มและกวาดสายตามองก่อนสังเกตเห็นฉินอวี้โม่ มารยาและหานอวี้ที่อยู่ด้านข้าง
“นี่คงจะเป็นผู้มีพระคุณที่ช่วยชีวิตอาอู่ไว้—ท่านจอมยุทธ์อวี้โม่”
ป้าหลานเดินเข้ามาอยู่ข้างฉินอวี้โม่และจู่ๆก็โน้มตัวมาข้างหน้าทันที
“ขอบคุณท่านมากที่ช่วยชีวิตอาอู่ไว้”
ฉินอวี้โม่ช่วยประคองป้าหลานลุกขึ้นอย่างเร็วและส่ายศีรษะเบาๆ
ก่อนหน้านี้ ซูน่าให้คนส่งข่าวมาที่นี่แล้ว เมื่อเห็นเช่นนี้ฉินอวี้โม่จึงไม่แปลกใจ
หลังจากนั้นบรรดาสมาชิกจากชนเผ่าเมฆาครามก็เข้ามาทักทายพวกนาง
คนเหล่านั้นต่างก็รู้สึกเศร้าสร้อยและเห็นใจเมื่อพบอาอู่ก่อนเอ่ยขอบคุณฉินอวี้โม่
ฉินอวี้โม่ต้องยอมรับเลยว่าชนเผ่าเมฆาครามเป็นกลุ่มคนที่เรียบง่ายและตรงไปตรงมาอย่างแท้จริง
“ท่านตา…ข้าขอโทษ ข้าปกป้องท่านพ่อและท่านแม่ไว้ไม่ได้”
อาอู่เดินตรงเข้าไปหาชายชราคนหนึ่งและคุกเข่าลง
“เด็กโง่เอ๋ย ข้าเองต่างหากที่ปกป้องเจ้าไม่ได้”
ชายชราผู้นี้คือท่านตาของอาอู่—ซูวั่งชวน อดีตผู้นำของชนเผ่าเมฆาคราม
ในตอนที่ได้รู้ว่าบุตรีผู้เป็นที่รักยิ่งของตนถูกสังหารโดยคนชั่ว ซูวั่งชวนก็ดูแก่ชราลงในทันที
หากไม่ใช่เพราะความสัมพันธ์ระหว่างชนเผ่า ซูวั่งชวนที่เดือดดาลถึงขีดสุดก็คงบุกไปทำลายล้างชนเผ่าเพลิงคำรามเพื่อล้างแค้นให้กับบุตรสาวเป็นแน่
เพียงแต่เขายังต้องคำนึงถึงชีวิตของผู้คนในชนเผ่าเมฆาครามและไม่อาจทำสิ่งใดที่หุนหันพลันแล่นได้
“จอมยุทธ์อวี้โม่ ขอบคุณมากที่ช่วยชีวิตอาอู่ไว้ ชนเผ่าเมฆาครามของเราไม่มีสิ่งใดจะตอบแทน โปรดรับคำขอบคุณอย่างจริงใจของพวกเราไว้ด้วย”
ซูชิง—ผู้นำชนเผ่าเมฆาครามซึ่งเป็นบิดาของซูน่ายิ้มให้ฉินอวี้โม่อย่างจริงใจก่อนยกมือขึ้นประทับอกข้างซ้ายและโค้งคำนับต่อฉินอวี้โม่
ทุกคนในชนเผ่าแสดงความขอบคุณอย่างจริงใจเช่นเดียวกับซูชิง
เมื่อสัมผัสได้ถึงความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันและความรู้สึกที่แท้จริงของชนเผ่านี้ ฉินอวี้โม่ก็อดรู้สึกอ่อนไหวเล็กน้อยไม่ได้
หากวันใดวันหนึ่ง นางและคนที่นางห่วงใยสามารถใช้ชีวิตอยู่ได้อย่างสบายใจเช่นนี้ มันก็คงจะมีความสุขอย่างมาก
“ทุกคน โปรดลุกขึ้นเถอะ การแสดงความขอบคุณเช่นนี้ทำให้ข้ารู้สึกอึดอัดใจเหลือเกิน”
ฉินอวี้โม่รีบประคองซูชิงและคนอื่นๆลุกขึ้นทว่าบรรยากาศก็ดูผ่อนคลายลงมาก
วันต่อๆไปในชนเผ่าเมฆาครามคงจะน่าประทับใจเป็นแน่
.