คุณหนูสี่ สตรีเปื้อนเลือด - ตอนที่ 389 ลูกพลับอ่อน
ปัง!
ก่อนที่จะเข้าไปถึงตัว เลี่ยซานก็รู้สึกว่าช่วงท้องของตนเองถูกซัดเข้าอย่างจัง
พลั่ก!
ร่างของเขาก็กระเด็นออกไปก่อนร่วงลงพื้นอย่างแรงและกระอักเลือดออกมา
“มีพลังเพียงขอบเขตจ้าวสุริยะขั้นสูงสุด แต่คิดจะเทียบชั้นกับข้างั้นรึ? เจ้ารนหาที่ตายเสียแล้ว!”
ร่างเล็กๆจ้ำม่ำของหานอวี้กลับไปยืนอยู่ข้างอาอู่อีกครั้งและกล่าวอย่างวางท่า
เมื่อได้ยินวาจาเย่อหยิ่งจากเด็กน้อย ชาวชนเผ่าเมฆาครามต่างก็หัวเราะพรวดออกมาอย่างอดไม่ได้
ในขณะที่สีหน้าของเลี่ยหยางและฉินส่าวชิงเหยเกด้วยความไม่พอใจ
อย่างไรก็ตาม บัดนี้ทั้งสองฝ่ายเข้าใจถึงพลังความแข็งแกร่งที่แท้จริงของหานอวี้แล้ว แม้ว่าเขาจะดูเป็นเพียงแค่เด็กน้อยคนหนึ่ง ทว่ากลับมีพลังที่ไม่ธรรมดาเลย
การที่จอมยุทธ์ในขอบเขตจ้าวสุริยะขั้นสูงสุดก็ไม่ใช่คู่มือของเขาแม้แต่น้อยนั้น บางทียอดฝีมือในขอบเขตเซียนก็อาจจะไม่ใช่คู่มือของเขาเช่นกัน
“ฮ่าๆๆ ไม่แปลกใจเลยที่จะหยิ่งยโสเช่นนี้ ที่แท้เจ้าเองก็มีพลังพอสมควร”
ฉินส่าวชิงยิ้มเย็นอย่างเย้ยหยันและแรงกดดันอันทรงพลังแผ่ตรงไปกดขี่หานอวี้โดยตรง
“ขอโทษด้วย แต่แรงกดดันของเจ้าทำอะไรข้าไม่ได้หรอก”
สีหน้าของหานอวี้ไม่เปลี่ยนแปลงแม้แต่น้อย เขาชำเลืองมองฉินส่าวชิงด้วยหางตาอย่างหยามเหยียดและไม่แยแสแรงกดดันที่แผ่ออกมาเลยสักนิด
ในฐานะมังกรทองห้าเล็บ ต่อให้เป็นแรงกดดันของยอดฝีมือในขอบเขตเซียนก็ไม่ได้มีผลใดๆต่อมันแม้แต่น้อย
ฉินส่าวชิงผู้นี้เป็นเพียงจอมยุทธ์ขอบเขตเซียนขั้นหก แน่นอนว่าแรงกดดันเหล่านั้นไร้ประโยชน์อย่างสิ้นเชิง
“ซานเอ๋อร์ เจ้าเป็นอะไรรึไม่?”
เลี่ยหยางปรี่เข้าไปหาเลี่ยซานและเอ่ยถามด้วยความเป็นกังวล
“ท่านพ่อ ข้าไม่เป็นไรขอรับ”
เลี่ยซานส่ายศีรษะพร้อมกล่าวยืนยันว่ายังปกติดี
แม้ว่าลูกเตะของหานอวี้เมื่อครู่จะทำให้ร่างของเขากระเด็นออกไป มันก็มิได้ทำให้เขาบาดเจ็บนัก ทว่าในตอนนี้ความอัปยศอดสูอย่างที่สุดกำลังเกาะกุมในหัวใจของเขา
การถูกหยามเกียรติเช่นนี้โดยเด็กตัวเล็กๆทำให้เขาอารมณ์เสียอย่างยิ่ง
เมื่อเห็นว่าแรงกดดันของตนเองไม่มีผลใดๆต่อหานอวี้ ฉินส่าวชิงก็อดขมวดคิ้วไม่ได้และใบหน้าของเขาเริ่มบูดบึ้งยิ่งกว่าเดิม
เขาไม่คิดเลยว่าคนลึกลับกลุ่มนี้จะรับมือได้ยากเช่นนี้
“ไอ้เด็กชั่ว ข้าขอท้าดวลกับเจ้า!”
เลี่ยซานย่างสามขุมตรงเข้าไปหาหานอวี้และจ้องหน้าอีกฝ่ายตาเขม็ง
“เจ้าก็รู้ว่าเจ้าสู้ข้าไม่ได้ ยังอยากจะถูกอัดอีกงั้นรึ?”
หานอวี้ย่นปากและกล่าวอย่างเย้ยหยัน
เมื่อได้ยินคำพูดของหานอวี้ ฉินอวี้โม่และมารยาก็อดหัวเราะไม่ได้
เหล่าอสูรทั้งหลายในคฤหาสน์เฟิงหัวก็หัวเราะชอบใจเช่นกัน
มังกรน้อยตัวนี้พูดจาฉะฉานและขวานผ่าซากมากขึ้นเรื่อยๆจนทำให้คู่สนทนาแทบอยากกลั้นใจตาย
ซูวั่งชวนและคนอื่นๆก็อดหัวเราะออกมาไม่ได้เช่นกัน ทว่าอาอู่และซูน่าหัวเราะเสียงดังยิ่งกว่า
พวกเขาทั้งหมดต่างก็เอ็นดูในความน่ารักน่าชังของหานอวี้ ไม่คิดเลยว่าเขาจะพูดจาได้อย่างน่าขันเช่นนี้
ใบหน้าของเลี่ยซานแดงก่ำและบูดบึ้งจนแทบดูไม่ได้ อย่างไรก็ตาม หานอวี้พูดถูกเพราะว่าตัวเขาเอาชนะเด็กน้อยตรงหน้าไม่ได้จริงๆ
พลังที่หานอวี้แสดงให้เห็นเมื่อครู่นี้น่าสะพรึงกลัวอย่างแท้จริงและเลี่ยซานสัมผัสได้ถึงแรงกดดันอันมหาศาล แม้ในเวลาที่เผชิญหน้ากับยอดฝีมือขอบเขตเซียนภายในชนเผ่า เขาก็ไม่เคยรู้สึกอ่อนแอและไร้พลังเช่นนี้
เมื่อเห็นอาอู่และซูน่าที่ยังคงหัวเราะคึกคักไม่หยุด เลี่ยซานก็ตวัดสายไปมองและฉายแววตาอาฆาตออกไป “อาอู่ เจ้ากล้าสู้กับข้ารึไม่?”
ในเมื่อเอาชนะหานอวี้ไม่ได้ เขาจึงมองหาลูกพลับอ่อนผลอื่น หากว่าเขาสังหารอาอู่ได้สำเร็จ การมาเยือนชนเผ่าเมฆาครามในครานี้ก็จะไม่สูญเปล่า
* 软柿子ลูกพลับอ่อน ใช้เปรียบเทียบ คนที่อ่อนแอ ถูกคนอื่นรังแกหรือพ่ายแพ้ได้ง่ายๆ
“เลี่ยซาน เจ้าควรรู้สึกอายบ้างนะ อาอู่มีพลังเพียงขอบเขตจ้าวพิภพขั้นสูงสุดและมีอายุน้อยกว่าเจ้าหลายปี เจ้ายังกล้าท้าสู้กับเขาอีกงั้นรึ?”
อาอู่ยังไม่ทันเอ่ยตอบทว่าซูน่าเอ่ยแทรกขึ้นก่อน
“หากเจ้ากำลังมองหาคู่ต่อสู้ล่ะก็ ข้าผู้นี้จะเล่นเป็นเพื่อนเจ้าเอง แล้วเจ้าจะได้รู้ว่าใครบ้างที่เหนือชั้นกว่าเจ้า อย่ามากล่าวโทษว่าข้าโหดร้ายเกินไปก็แล้วกัน!”
หลังจากสิ้นเสียงของนาง แส้สีแดงเพลิงก็ปรากฏในมือของซูน่าและโทสะของนางปะทุออกไปอย่างไม่ปิดบัง
ในตอนนี้ความแข็งแกร่งของซูน่าอยู่ในขอบเขตจ้าวสุริยะขั้นสูงสุดเช่นกันและพรสวรรค์ของนางก็อยู่ในระดับที่สูงพอสมควร ยิ่งไปกว่านั้น นางก็มีประสบการณ์การต่อสู้ที่โชกโชน นางมั่นใจว่าตนเองจะได้เปรียบเหนือกว่าเลี่ยซานอย่างแน่นอน
เมื่อได้ยินวาจาของซูน่าและสัมผัสถึงโทสะของนาง เลี่ยซานก็เกิดความลังเลขึ้นมา
เขาจะไม่รู้จักซูน่าได้อย่างไร? นี่คือสตรีที่บ้าระห่ำ เขาเคยประชันฝีมือกับนางมาก่อนแล้วและครานั้นนางก็เอาชนะเขาได้อย่างราบคาบ ถามว่าตอนนี้เขาจะกล้าต่อสู้กับนางได้อย่างไรอีก?
อย่างไรก็ตาม ซูน่าลั่นวาจาออกมาเช่นนี้ หากเขาไม่ตอบตกลง มันจะทำให้เขาเสียหน้าไม่น้อย ยิ่งไปกว่านั้น เจ้าเมืองฉินก็อยู่ที่นี่และเขาต้องการแสดงฝีมือให้เจ้าเมืองรู้สึกประทับใจในตัวเขา
ทว่าเมื่อหันไปเห็นฉินอวี้โม่ซึ่งกำลังยิ้มมุมปากเล็กน้อย จู่ๆเลี่ยซานก็มีความคิดหนึ่งผุดขึ้นในหัว
“ซูน่า ข้าจะไม่สู้กับเจ้า ข้าอยากสู้กับนาง ไม่รู้ว่านางจะกล้ารับคำท้าของข้ารึไม่!”
สายของเลี่ยซานบรรจบลงที่ฉินอวี้โม่ พวกเขาเดินทางมาถึงชนเผ่าเมฆาครามแห่งนี้เพื่อจับตัวฉินอวี้โม่และพวกพ้อง และนี่ก็เป็นโอกาสดีที่จะได้ทดสอบพลังของอีกฝ่ายเช่นกัน
ฉินอวี้โม่มีอายุน้อยกว่าซูน่าเล็กน้อยและเลี่ยซานไม่อาจสัมผัสถึงพลังของนาง เพราะเหตุนั้นเขาจึงเชื่อว่าฉินอวี้โม่น่าจะไม่แข็งแกร่งเท่ากับคุณหนูแห่งชนเผ่าเมฆาครามผู้นี้
“เจ้าแน่ใจรึ?”
เมื่อสายตาของเลี่ยซานหยุดลงที่นาง ฉินอวี้โม่ก็เอ่ยขึ้นเบาๆ
ไม่คิดเลยว่านางจะกลายเป็นลูกพลับอ่อนในสายตาของเลี่ยซาน ในเมื่อเป็นเช่นนี้ นางจะแสดงให้เลี่ยซานได้เห็นว่าลูกพลับที่เต็มไปด้วยหนามแหลมคมนั้นเป็นอย่างไร
วาจาของเลี่ยซานทำให้ซูน่า อาอู่และคนอื่นๆตกใจไปชั่วขณะ จากนั้นพวกเขาก็แทบกลั้นหัวเราะไว้ไม่ได้
เลี่ยซานช่างโง่เขลาเบาปัญญายิ่งนักที่มองฉินอวี้โม่เป็นคนอ่อนแอ เขาไม่ได้ทราบจากหลิวจื้อหรอกหรือว่าฉินอวี้โม่คือผู้ที่แข็งแกร่งที่สุด!
การท้าดวลกับฉินอวี้โม่ไม่ต่างไปจากการเดินเข้าหาความตาย หากนางไม่ยั้งมือ เลี่ยซานก็คงไม่เหลือแม้แต่เศษซากอย่างแน่นอน
เมื่อเห็นฉินอวี้โม่ขยิบตาส่งสัญญาณให้ ซูน่าและอาอู่ก็พยายามหุบรอยยิ้มไว้ มารยาและหานอวี้เองก็พยายามกลั้นหัวเราะเช่นกันและแสร้งแสดงท่าทีว่าประหลาดใจ
“ฮ่าๆๆ ข้าหัวเราะจนท้องแข็งไปหมดแล้ว เจ้าโง่นั่นต้องการจะสู้กับนายหญิงของพวกเรา!”
ภายในคฤหาสน์เฟิงหัว เสี่ยวเฮยและอสูรตัวอื่นๆล้มกลิ้งอยู่บนพื้นเพราะการหัวเราะอย่างบ้าคลั่ง ไม่คิดเลยว่าจะมีผู้ใดที่มองว่านายหญิงผู้ทรงพลังและเก่งกล้าสามารถของพวกมันเป็นลูกพลับอ่อน มนุษย์โง่เขลาผู้นั้นไม่รู้หรือว่านายหญิงของพวกมันคือคู่ต่อสู้ที่น่ากลัวที่สุด?
“ข้ารู้สึกว่าช่วงนี้นายหญิงชักจะเจ้าเล่ห์ขึ้นเรื่อยๆแล้ว”
เสี่ยเยี่ยอดยิ้มไม่ได้ขณะกล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน
“นายหญิงจะต้องเรียนรู้มาจากหานโม่ฉือผู้นั้นเป็นแน่ นายคนนั้นมักจะซ่อนแผนการและเล่ห์กลเอาไว้มากมาย”
หลิวหยาแสดงความเห็นออกมา นี่เป็นเหมือนดั่งสำนวนที่ว่า ‘คนใกล้ชาดติดสีแดง คนใกล้หมึกติดสีดำ’
*近朱者赤 คนใกล้ชาดติดสีแดง คนใกล้หมึกติดสีดำ อุปมาว่า คนที่อยู่ในสิ่งแวดล้อมแบบไหนหรือใกล้กับอะไรก็จะติดนิสัยหรือสิ่งนั้นมาด้วย
อสูรตัวอื่นๆก็อดหัวเราะด้วยความชอบใจไม่ได้
แน่นอนว่าตอนนี้ฉินอวี้โม่ไม่ได้รับรู้ว่าอสูรมายาทั้งหลายของนางกำลังพูดคุยอะไรกันอยู่ หากนางรู้ล่ะก็ นางก็คงปรี่เข้ามาจัดการพวกมันในทันที
“ไม่ จอมยุทธ์อวี้โม่คือแขกมีผู้เกียรติของชนเผ่าเรา หากนางได้รับบาดเจ็บขึ้นมา มันก็คงจะไม่ใช่เรื่องดีต่อชื่อเสียงของชนเผ่าเรา หากเจ้าอยากสู้ก็มาสู้กับข้า ข้าให้สัญญาว่าข้าจะไม่อัดเจ้าจนน่วมเกินไป!”
ซูน่าเอ่ยเอ่ยออกมาและจงใจเบี่ยงเบนความสนใจเพื่อหลอกให้เลี่ยซานตายใจว่าฉินอวี้โม่อ่อนแอ
เมื่อได้ยินเช่นนั้น เลี่ยซานก็ยิ่งมั่นใจในข้อสันนิษฐานของเขามากขึ้น
ก่อนหน้านี้เขาได้ฟังเรื่องราวมาจากหลิวจื้อแล้ว เพียงแต่ไม่รู้ว่าฉินอวี้โม่คือผู้ที่ทรงพลังที่สุดซึ่งหลิวจื้อกล่าวถึง เขาเชื่อมั่นใจสัญชาตญาณของตนเองว่าหานอวี้และมารยาคือผู้แข็งแกร่งในขณะที่ฉินอวี้โม่คือผู้ที่อ่อนแอที่สุด เมื่อได้เห็นอากัปกิริยาร้อนรนของซู่นา เขาก็เชื่อว่าตนเองคิดถูกแล้ว
“เหอะ บอกมาเถอะว่าเจ้ากล้ารับคำท้ารึไม่?”
เลี่ยซานไม่ใส่ใจเรื่องนี้ในขณะที่เลี่ยหยางมองมาที่เขาและพยักศีรษะเมื่อสบตากัน จากนั้นเขาก็มองไปที่ฉินอวี้โม่พร้อมกับแววตาที่ดุดันขึ้นมาอย่างกะทันหัน
“การรับปากไม่ใช่ปัญหาหรอก ทว่าวันนี้คือวันชุมนุมของชนเผ่าเมฆาคราม หากไม่มีการเดิมพัน มันก็คงจะไม่สนุกไม่ใช่รึ?”
ฉินอวี้โม่ยิ้มบางๆ นางมิใช่คนที่จะต่อสู้กับผู้อื่นอย่างไร้เหตุผล หากผู้ใดต้องการสู้กับนางก็ต้องยอมแลกบางอย่างเช่นกัน
“หึ เจ้าอยากจะเดิมพันอะไรล่ะ?”
เมื่อได้ยินวาจาของฉินอวี้โม่ เลี่ยซานก็กล่าวพร้อมแค่นเสียงเบาๆ
“เจ้าอยากพาตัวข้ากลับไปที่จวนเจ้าเมืองไม่ใช่รึ? หากข้าแพ้ ข้าจะตามเจ้าไปที่นั่นแต่โดยดี ข้าและอาอู่จะกลับไปกับเจ้าตามที่เจ้าต้องการ”
ฉินอวี้โม่ยิ้มและกล่าวถึงเงื่อนไขการเดิมพันที่ล่อตาล่อใจ
นางเชื่อว่าฉินส่าวชิงที่ยืนนิ่งด้วยใบหน้าเคร่งขรึมอยู่ด้านข้างจะอยู่เฉยไม่ได้แน่
“แล้วหากเจ้าชนะล่ะ?”
ในที่สุดฉินส่าวชิงก็อดเอ่ยออกมาไม่ได้ เขาไม่ได้ต้องการสู้กับชนเผ่าเมฆาครามโดยตรง หากเขาสามารถนำตัวฉินอวี้โม่และพวกกลับไปได้โดยที่ไม่มีการปะทะ มันก็จะเป็นการดีที่สุด
“ง่ายมาก หากข้าบังเอิญเอาชนะได้ พวกเจ้าและคนของพวกเจ้าทั้งหมดห้ามย่างกรายเข้ามาในระยะอิทธิพลของชนเผ่าเมฆาครามเป็นเวลาหนึ่งร้อยวัน”
ฉินอวี้โม่ยิ้มและแสร้งแสดงท่าทีว่าตนเองไม่มีความมั่นใจ
ทว่าคำพูดของนางทำให้ฉินส่าวชิงลังเลอย่างเห็นได้ชัด
“ท่านเจ้าเมือง รับปากไปก่อนเถอะ ข้าเชื่อว่านางไม่ได้แข็งแกร่งนัก ยิ่งไปกว่านั้น ซานเอ๋อร์ยังมีไพ่ตายซ่อนไว้และไม่มีทางแพ้แน่ เมื่อถึงตอนนั้นเราจะจับตัวคนพวกนี้กลับไปและพวกนางจะอยู่ภายใต้การควบคุมของพวกเรา”
เลี่ยหยางกระซิบข้างหูฉินส่าวชิง เขาเชื่อว่าเลี่ยซานจะเอาชนะได้อย่างแน่นอน หากจับตัวฉินอวี้โม่กลับไปได้อย่างง่ายๆ แน่นอนว่ามันจะเป็นสิ่งที่ดีที่สุด
“เอาล่ะ ตกลงตามนี้ หวังว่าเจ้าจะไม่ผิดคำพูดในภายหลัง”
ในที่สุดฉินส่าวชิงก็พยักศีรษะและสบตากับเลี่ยซานด้วยสีหน้าแววตาที่พยายามสื่อบางอย่าง
เลี่ยซานพยักศีรษะบ่งบอกว่าเขาจะทุ่มเทอย่างเต็มที่และเอาชนะฉินอวี้โม่ให้จงได้
“ฮ่าๆๆ ข้าไม่มีทางทำเช่นนั้นหรอก แต่ข้าก็เป็นกังวลว่าเจ้าเมืองฉินจะผิดคำพูดในภายหลังเช่นกัน”
ฉินอวี้โม่กล่าวพร้อมรอยยิ้ม ฉินส่าวชิง เลี่ยหยางและเลี่ยซานไม่ใช่คนดี หากสถานการณ์ไม่ราบรื่นและพวกเขายกเลิกสัญญาขึ้นมาอย่างกะทันหัน การต่อสู้ครั้งนี้ก็คงสูญเปล่าและฉินอวี้โม่ไม่ต้องการให้เป็นเช่นนั้น
“ให้ทั้งสองฝ่ายกล่าวคำสาบานก่อนเถอะ”
จู่ๆซูวั่งชวนก็เอ่ยขึ้นมา เขาได้ยินเรื่องความแข็งแกร่งของฉินอวี้โม่มาจากอาอู่แล้ว แม้ว่าเขาจะกังวลใจอยู่เล็กน้อย เขาก็เลือกที่จะเชื่อมั่นใจตัวฉินอวี้โม่
เมื่อได้ยินเช่นนั้น ฉินส่าวชิงก็แสดงสีหน้าไม่สบอารมณ์อย่างเห็นได้ชัด
“เจ้าเมืองฉิน สหายน้อยอวี้โม่เป็นแขกผู้มีเกียรติของเรา หากนางแพ้ เรารับประกันไม่ได้ว่านางจะผิดคำสัญญารึไม่ ทว่าหากมีการกล่าวคำสาบานไว้ตั้งแต่แรก อย่างน้อยท่านก็ไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับเรื่องนี้”
ซูชิงกล่าวเสริม เขาเองก็เลือกที่จะเชื่อในความสามารถของฉินอวี้โม่เช่นกัน
เมื่อได้ยินวาจาของซูวั่งชวนและซูชิง ฉินส่าวชิงก็ขมวดคิ้วเล็กน้อยทว่าพยักศีรษะและตอบตกลงแต่โดยดี
ซูวั่งชวนและซูชิงเป็นคนที่รับมือได้ยากอยู่แล้ว หากพวกเขายืนกรานที่จะปกป้องฉินอวี้โม่ เขาก็ไม่มีทางเลือกอื่น
หากมีการกล่าวคำสาบานไว้ล่วงหน้า ทันทีที่เลี่ยซานเป็นฝ่ายชนะ เขาก็ไม่จำเป็นต้องลงมือทำสิ่งใดอีก
ทั้งสองฝ่ายตอบตกลงและกล่าวคำสาบานท่ามกลางสายตาของทุกคน ไม่ว่าผลจะเป็นอย่างไร ทั้งสองฝ่ายก็จะปฏิบัติตามข้อตกลงที่ตั้งไว้
“เลี่ยซาน หวังว่าจะไม่เกิดเรื่องผิดพลาดใดๆขึ้น!”
ฉินส่าวชิงมองไปที่เลี่ยซานพร้อมกล่าวด้วยน้ำเสียงแข็งกร้าว
เลี่ยซานพยักศีรษะขณะแผ่สภาวะพลังมุ่งร้ายออกมาอย่างไม่ปิดบัง เวลานี้เขาทำได้เพียงแค่สู้อย่างเต็มที่และเอาชนะฝ่ายตรงข้ามให้ได้
น่าเสียดายที่เลี่ยซานไม่รู้เลยว่าตนเองเลือกเป้าหมายผิดตั้งแต่ต้น ผลของการต่อสู้ครานี้ได้ถูกกำหนดไว้ตั้งแต่ยังไม่เริ่มต้นด้วยซ้ำ
.