คุณหนูสี่ สตรีเปื้อนเลือด - ตอนที่ 393 กองทหารหงเฟิง
หลังจากความเงียบครอบงำพักหนึ่ง ซูน่าก็เหยียดกายลุกขึ้น
“อวี้โม่ ข้าจะหาโอกาสบอกเรื่องนี้ให้ท่านปู่และท่านพ่อได้ทราบ ไม่ต้องห่วง พวกเขาเคารพเทพมายาเป็นอย่างมาก ยิ่งไปกว่านั้นเจ้าก็เป็นผู้มีพระคุณที่ช่วยชีวิตอาอู่ไว้ ต่อให้ท่านปู่และท่านพ่อจะช่วยเจ้าได้ไม่มากนัก พวกเขาก็จะต้องสนับสนุนเจ้าไม่ว่าทางใดก็ทางหนึ่ง”
เมื่อได้ยินวาจาของซูน่า ฉินอวี้โม่ก็ยืนขึ้นพร้อมพยักศีรษะ
นางจับมือของซูน่าไว้และกล่าวด้วยความซาบซึ้งและขอบคุณจากใจจริง “ซูน่า ข้าขอขอบคุณเจ้ามาก”
“เจ้าจะสุภาพไปทำไมกัน เราเป็นสหายที่ดีต่อกันไม่ใช่รึ?”
ซูน่าส่ายศีรษะพร้อมเอ่ยเพื่อไม่ให้ฉินอวี้โม่รู้สึกเกรงใจมากเกินไป
“เราออกไปข้างนอกกันเถอะ ข้าเกรงว่าว่าอาอู่จะมาตามหาเราในไม่ช้า”
ซูน่ายิ้มกว้างพร้อมกวาดสายตามองรอบคฤหาสน์เฟิงหัว “บรรยากาศของที่นี่สบายและผ่อนคลายมากจริงๆ ดูเหมือนว่าในอนาคตข้าคงต้องมานั่งเล่นที่นี่บ่อยๆเสียแล้ว”
“ข้ายินดีต้อนรับเสมอ”
ฉินอวี้โม่ยิ้มให้ก่อนก้าวออกไปข้างนอกพร้อมซูน่า
เช้าตรู่ของวันต่อมา ทันทีที่ฉินอวี้โม่ตื่นลืมตา ซูน่าก็ปรี่เข้ามาหาอย่างรวดเร็วและดึงมือนางออกไปข้างนอก
เมื่อมาถึงโถงห้องประชุมของชนเผ่าเมฆาคราม ฉินอวี้โม่ก็พบกับซูวั่งชวน ซูชิง อาอู่ ป้าหลานและมารดาของซูน่า—สวี่ซิ่ว
“อวี้โม่ ในที่สุดก็มาถึง”
เมื่อเห็นฉินอวี้โม่เดินเข้ามา ซูวั่งชวนและคนอื่นๆก็ยิ้มพร้อมกล่าวทักทายอย่างเป็นกันเอง
ฉินอวี้โม่พยักศีรษะและคาดเดาว่าซูน่าคงจะเล่า ‘เรื่องนั้น’ ให้พวกเขาได้ทราบแล้ว
ปลายนิ้วมือของซูวั่งชวนสะบัดส่องประกายเล็กน้อยและม่านป้องกันปรากฏขึ้นปกคลุมรอบกระโจมของพวกเขาเพื่อป้องกันไม่ให้ผู้ใดมาแอบฟังได้
เมื่อม่านของกระโจมถูกดึงลง ซูวั่งชวนและคนอื่นๆก็คุกเข่าลงอย่างพร้อมเพรียงกัน
“คารวะท่านเทพมายา”
เมื่อเห็นปฏิกิริยาของพวกเขา ฉินอวี้โม่ก็ตะลึงไปชั่วขณะทว่ารีบประคองซูวั่งชวน ซูชิงและคนอื่นๆให้ลุกขึ้นอย่างรวดเร็ว
“ท่านปู่ซู ท่านลุงและป้าหลาน อย่าทำเช่นนี้เลยเจ้าค่ะ”
ซูวั่งชวนและคนอื่นๆลุกขึ้นแต่โดยดีพร้อมยิ้มให้ฉินอวี้โม่และกล่าว “นี่คือกฎธรรมเนียมของโลกมายา และมันก็ควรจะเป็นไปตามนั้น”
“อวี้โม่ ข้าบอกเจ้าแล้วว่าชนเผ่าเมฆาครามเคารพนับถือเทพมายาเป็นอย่างยิ่ง เพราะเหตุนั้น เจ้าไม่ต้องประหลาดใจไปหรอก แค่ยอมรับมันไว้ก็พอ”
ซูน่าเอ่ยอธิบาย
ฉินอวี้โม่พยักศีรษะโดยไม่เอ่ยปากพูดสิ่งใดต่อ เมื่อเห็นทัศนคติและอากัปกิริยาของซูวั่งชวนและคนอื่นๆ นางก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก
“อวี้โม่ เมื่อคืนนี้ซูน่าเล่าเรื่องทุกอย่างเกี่ยวกับเจ้าให้พวกเราได้ทราบแล้ว เจ้าสามารถอยู่ร่วมกับพวกเราชนเผ่าเมฆาครามตราบที่เจ้าต้องการ และจะไม่มีใครที่ทราบถึงเรื่องนี้อีก”
ซูชิงยิ้มและกล่าวอย่างจริงใจเพื่อให้ฉินอวี้โม่คลายกังวลเมื่ออยู่ในชนเผ่าเมฆาครามของพวกเขา
ฉินอวี้โม่พยักศีรษะตอบรับ
“บอกตามตรง ตอนแรกที่พวกเราทราบถึงเรื่องนี้ มันช่างน่าตกใจยิ่งนัก เทพมายาหายสาบสูญไปนานนับพันปีแล้วและข้าไม่เคยได้ยินเกี่ยวกับเทพมายาคนใหม่มาก่อน บัดนี้การที่เจ้าปรากฏตัวอย่างกะทันหัน หลายคนคงไม่อาจทำใจเชื่อได้”
ซูวั่งชวนยิ้มและกล่าวด้วยน้ำเสียงที่เปี่ยมไปด้วยอารมณ์หลากหลาย
“ตอนแรกที่ข้ารู้ ข้าเองก็ตกใจมาก”
ฉินอวี้โม่ยิ้มและกล่าวเบาๆ
ทุกคนนั่งลงทีละคนและป้าหลานเป็นคนแรกที่เอ่ยปาก “อวี้โม่ เจ้ามั่นใจได้เลยว่าไม่ว่าตัวตนที่แท้จริงของเจ้าจะเป็นใคร เจ้าก็คือผู้ที่ช่วยชีวิตอาอู่ไว้ นั่นหมายความว่าเจ้าเป็นคนที่พวกเราทุกคนซาบซึ้งใจอย่างที่สุด ในอนาคตหากตัวตนของเจ้าถูกเปิดเผยออกไปและเผชิญกับภัยอันตราย พวกเราทุกคนจะไม่อยู่เฉยแน่”
ป้าหลานเป็นอีกคนที่มีสถานะที่สูงในชนเผ่าเมฆาคราม นางมีพลังความแข็งแกร่งมากพอสมควรและมีสายสัมพันธ์ทางสายเลือดกับซูชิงเช่นกัน
“หากวันนั้นมาถึง ข้าหวังว่าพวกท่านจะไม่เข้ามาแทรกแซง ข้ามาตัวคนเดียวและจะรอดพ้นไปได้โดยที่ไม่เกิดปัญหา หากชนเผ่าเมฆาครามเข้ามาเกี่ยวข้อง ข้าเกรงว่าจะทำให้ชนเผ่าต้องพลอยเดือดร้อนไปด้วย แน่นอนว่าข้าเข้าใจและซาบซึ้งในความเมตตาของพวกท่านทุกคน ทว่าสำหรับเรื่องนี้โปรดเชื่อใจข้าเถอะ”
ฉินอวี้โม่กล่าวออกไปตรงๆ ทั้งดินแดนนี้ไม่ว่าใครก็ช่วยนางไม่ได้ อย่างไรก็ตาม หากพวกเขาเหล่านี้เข้ามาเกี่ยวข้องด้วย ศัตรูอาจจะฉวยโอกาสใช้ชนเผ่าเมฆาครามเป็นเครื่องมือต่อรองกับนางจนนางไม่อาจก้าวหน้าและดำเนินตามแผนการได้
สำหรับความเมตตาเอื้ออารีของชนเผ่าเมฆาคราม แน่นอนว่านางจะน้อมรับมันไว้ ทว่าหากวันนั้นมาถึง นางไม่ต้องการให้พวกเขายื่นมือเข้ามายุ่งเกี่ยวในสิ่งที่เป็นปัญหาของนาง
“เมื่อถึงตอนนั้น พวกเราจะลงมือตามความเหมาะสมเอง เจ้าไม่ต้องพูดเรื่องนี้อีกต่อไปแล้ว”
ซูวั่งชวนไม่เห็นด้วยกับคำพูดของฉินอวี้โม่ หากวันนั้นมาถึง พวกเขาจะต้องเคลื่อนไหวตามที่เห็นสมควร ถึงแม้รู้ว่าพลังความแข็งแกร่งของฉินอวี้โม่ไม่ธรรมดา ทว่าหากนางต้องการความช่วยเหลือ พวกเขาก็จะต้องสนับสนุนอย่างเต็มที่และไม่มีทางปล่อยให้นางต้องเผชิญกับอันตรายเพียงคนเดียว
“ท่านปู่ ท่านบอกให้ข้าเรียกอวี้โม่มา ท่านมีบางอย่างจะบอกนางไม่ใช่รึเจ้าคะ?”
ทันใดนั้น ซูน่าเอ่ยขึ้นเพื่อเปลี่ยนหัวข้อสนทนา
เมื่อได้ยินวาจาของหลานสาว ซูวั่งชวนก็พยักศีรษะเบาๆก่อนกล่าว “อวี้โม่ ครานี้เจ้าเข้ามาในโลกมายาของเราเพื่อตามหาและปลดผนึกที่สองในร่างกายของเจ้าใช่รึไม่?”
ฉินอวี้โม่พยักศีรษะตามความจริง
“หอคอยเจ็ดชั้นในเมืองมายาเป็นสถานที่ต้องห้ามในโลกมายา นอกเหนือจากเจ้าเมืองมายาก็ไม่มีผู้ใดที่ได้รับอนุญาตให้ย่างกรายเข้าไปที่นั่น ข้าเชื่อว่าพวกเขาเหล่านั้นรู้ว่ามีวิธีปลดผนึกที่สองอยู่ที่นั่นและต้องการล่องูออกจากรู พวกเขาคงจะต้องการล่อให้เจ้าไปติดกับดักของพวกเขา เพราะฉะนั้นเรื่องนี้มันอาจไม่ง่ายอย่างที่คิด”
ซูวั่งชวนขมวดคิ้วเล็กน้อย เรื่องนี้มิใช่ความลับและหลายคนในโลกมายาก็ทราบถึงเรื่องนี้เป็นอย่างดี หอคอยเจ็ดชั้นกลางเมืองมายาคือสถานที่ต้องห้ามในโลกมายาและโดยปกติแล้วไม่มีผู้ใดได้รับอนุญาตให้เข้าไป
เมื่อได้ยินวาจาของซูวั่งชวน ฉินอวี้โม่ก็ขมวดคิ้วเช่นกัน นางไม่เคยรู้รายละเอียดเหล่านี้มาก่อน เห็นทีเรื่องนี้จะซับซ้อนกว่าที่คิดไว้
“อย่างไรก็ตาม ถึงแม้ซับซ้อนก็ใช่ว่ามันจะเป็นไปไม่ได้ ในเมื่อเจ้าเป็นเทพมายาคนใหม่ เหตุใดไม่ลองพิจารณาที่จะผนวกขุมกำลังอื่นในโลกมายาที่ยังสนับสนุนเทพมายาเข้าด้วยกันเพื่อขับไล่คนพวกนั้นออกไปและทำให้โลกมายากลับไปสู่จุดที่เคยเป็นในอดีต”
ซูวั่งชวนกล่าวและมันเป็นหนทางที่ฉินอวี้โม่เคยคิดไว้บ้างแล้ว
“ข้าก็เคยคิดแผนเช่นนี้ไว้ ทว่ามันยากเย็นเหลือเกินที่จะตัดสินว่าในโลกมายาแห่งนี้ผู้ใดยังสนับสนุนเทพมายาและผู้ใดแปรพักตร์ไปหาฉินเหยียนผู้นั้นแล้ว”
ฉินอวี้โม่กล่าวสิ่งที่คิดไว้
นางเคยคิดถึงวิธีการนี้มาก่อนจริง ทว่านางก็ไม่มีหนทางที่จะพิสูจน์ได้ว่าผู้ใดอยู่ฝ่ายเดียวกับนางอย่างแท้จริง เพราะฉะนั้นนางจึงต้องพิจารณาในระยะยาว
“เรื่องนี้ถือว่าน่าปวดหัวจริงๆ ทว่าข้าพอจะมีเบาะแสอยู่บ้าง”
ซูวั่งชวนยิ้มอย่างมีเลศนัยราวกับเขารู้เรื่องราวบางอย่าง
เมื่อได้ยินเช่นนั้น ฉินอวี้โม่ก็มองอีกฝ่ายด้วยแววตาสงสัยใคร่รู้และรอให้เขาอธิบายเพิ่มเติม
“เบาะแสแรกคือข้ารู้ว่าในบรรดาสามขุมกำลังใหญ่ของเมืองเพลิงมายา นอกเหนือจากชนเผ่าเมฆาครามของเรา ชนเผ่าวิหคโบยบินก็จงรักภักดีต่อบรรพชนเทพมายาเช่นกัน”
ซูวั่งชวนไม่ได้ปิดบังในสิ่งที่ตนเองรู้และเอ่ยบอกกับฉินอวี้โม่โดยตรง
แม้ว่าชนเผ่าวิหคโบยบินมักจะแสดงตัวเป็นกลางไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใดและไม่ข้องเกี่ยวในเรื่องราวต่างๆของเมืองเพลิงมายา ทว่าซูวั่งชวนก็รู้ว่าพวกเขาจงรักภักดีต่อเทพมายาคนก่อน ยิ่งไปกว่านั้น ผู้นำชนเผ่าวิหคโบยบินก็กำลังเฝ้ารอโอกาสอยู่เช่นกัน หากมีผู้ใดขึ้นเป็นผู้นำและนำกองกำลังออกโจมตีนั้น เขาก็ยินดีผสมโรงและขับไล่คนทรยศพวกนั้นออกไปอย่างแน่นอน
“ส่วนชนเผ่าเพลิงคำรามก็เห็นได้ชัดว่าพวกเขายอมจำนนต่อฉินเหยียนแล้ว มิฉะนั้นฉินส่าวชิงก็คงไม่ไว้วางใจชนเผ่าเพลิงคำรามมากเช่นนี้ เพราะเหตุนั้นหากว่าเป็นไปได้เราก็ควรดึงชนเผ่าวิหคโบยบินมาอยู่ฝ่ายเราก่อน”
ซูชิงกล่าวเสริมอีกว่านี่เป็นวิธีแรกที่พวกเขาคิดไว้
ฉินอวี้โม่พยักศีรษะเบาๆ ดูเหมือนว่าหากมีโอกาส นางจะต้องไปเยือนชนเผ่าวิหคโบยบินที่ว่านี้ให้ได้
“เบาะแสที่สองคือกองทหารหงเฟิง ขุมกำลังลึกลับที่เพิ่งปรากฏขึ้นในโลกมายาของเราเมื่อไม่นานมานี้”
*红枫 ต้นหงเฟิง หรือต้นเมเปิ้ลสีแดง
ซูวั่งชวนกล่าวต่อและบอกเบาะแสที่สองที่เขาทราบมา
“กองทหารหงเฟิงงั้นรึ?”
ฉินอวี้โม่เอ่ยถามด้วยความสงสัย นางไม่เคยได้ยินชื่อขุมกำลังนี้มาก่อน
“กองทหารหงเฟิงไม่มีฐานที่มั่นเป็นหลักเป็นแหล่งและไม่อาจรู้ได้ว่าพวกเขาซ่อนตัวอยู่ที่ใด อย่างไรก็ตาม ข้ารู้มาว่าผู้นำของพวกเขาจงรักภักดีต่อบรรพบุรุษเทพมายา ยิ่งไปกว่านั้น พวกเขาเป็นปฏิปักษ์ต่อฉินเหยียนและมักเกิดการต่อสู้ในทุกหนแห่ง พวกเขามักที่จะปล้นสะดมและโจมตีกองกำลังของฉินเหยียน อีกทั้งในช่วงที่ผ่านมานี้ พวกเขาก็ยังพัฒนาและเติบโตขึ้นเรื่อยๆ หากข้าเดาไม่ผิด กองทหารหงเฟิงน่าจะยินดีเป็นอย่างยิ่งที่จะร่วมมือกับพวกเราเพื่อกำจัดฉินเหยียนออกไป”
ซูวั่งชวนกล่าวพร้อมรอยยิ้ม น้ำเสียงและแววตาของเขาแสดงถึงความชื่นชมต่อกองทหารหงเฟิงอย่างมาก
“หากเราติดต่อกับขุมกำลังนี้ได้ โอกาสเอาชนะของเราก็จะเพิ่มขึ้นเป็นอย่างมาก อย่างไรก็ตาม พวกเราก็ไม่รู้ว่าจะตามหาพวกเขาได้ที่ไหนและคงต้องอาศัยโชคช่วยถึงจะได้พบกับพวกเขา”
ฉินอวี้โม่พยักศีรษะเบาๆ ตอนนี้นางพอจะเข้าใจข้อมูลโดยรวมมากขึ้นแล้ว
กองทหารหงเฟิงน่าจะเป็นขุมกำลังที่คล้ายกับทหารกองโจรในยุคศตวรรษ 21 ที่นางจากมา พวกเขาไม่มีฐานที่มั่นทว่าออกก่อกวนฉินเหยียนและผู้อื่นเป็นครั้งคราวเพื่อหาเรื่องกวนใจและขัดขวางการพัฒนาของคนเหล่านั้น
ยิ่งไปกว่านั้น หากพิจารณาจากสีหน้าของซูวั่งชวน กองทหารหงเฟิงนี้น่าจะเป็นขุมกำลังที่แข็งแกร่งเป็นอย่างมาก
“เพราะฉะนั้น การไปที่หอคอยเจ็ดชั้นมิใช่เรื่องที่เป็นไปไม่ได้ เพียงแต่มันต้องใช้เวลาเตรียมความพร้อมพอสมควร”
ซูชิงกล่าวเสริม พวกเขาเชื่อว่าฉินอวี้โม่ทราบดีว่าควรต้องทำอย่างไรต่อไป
“เข้าใจแล้ว”
ฉินอวี้โม่พยักศีรษะและยกยิ้มมุมปากเล็กน้อย
“ในเมื่อฉินเหยียนรอให้ข้าเข้าไปติดหลุมพราง ข้าก็จะยังไม่ไปที่นั่นก่อน ทว่าเมื่อเตรียมการทุกอย่างจนพร้อม จากนั้นข้าจะเดินทางไปที่นั่นเพื่อกัดนางด้วยตนเอง อยากจะรู้นักว่าเมื่อถึงตอนนั้นใครกันที่จะเป็นผู้ชนะ”
เมื่อได้ยินวาจาของฉินอวี้โม่ ซูวั่งชวนและคนอื่นๆก็หัวเราะออกมา
พวกเขาสัมผัสได้ว่าเทพมายาคนใหม่ผู้นี้จะต้องทำให้เกิดความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในโลกมายาได้อย่างแน่นอน
“เราจะช่วยเจ้าสืบหาว่ามีขุมกำลังใดภักดีต่อเทพมายาอีกหรือไม่ เมื่อถึงตอนนั้นเราจะติดต่อพวกเขาไป ข้าเชื่อว่าเมื่อพวกเราทั้งหมดผนึกกำลังกัน พวกเราจะกลายเป็นกองกำลังที่ทรงพลังอย่างแน่นอน”
ซูวั่งชวนเอ่ยถึงแผนการต่อไป
ฉินอวี้โม่พยักศีรษะและกล่าวตอบ “สำหรับขุมกำลังวิหคโบยบิน ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของข้าเอง ภายในครึ่งเดือน ข้าจะทำให้พวกเขาเต็มใจจำนนต่อข้าอย่างแน่นอน”
วาจาของฉินอวี้โม่เต็มไปด้วยความมั่นใจซึ่งทำให้ซูวั่งชวนและคนอื่นๆเชื่อมั่นในตัวนางเช่นกัน
พวกเขาเชื่อว่าสตรีผู้นี้จะทำได้อย่างที่ลั่นวาจาไว้อย่างแน่นอนและนางก็น่าอัศจรรย์ยิ่งกว่าที่พวกเคยคิดไว้เสียอีก
“ตกลง เช่นนั้นพวกเราจะรอฟังข่าวดี”
ซูวั่งชวนและคนอื่นๆพยักศีรษะพร้อมรอยยิ้ม เมื่อโน้มน้าวใจขุมกำลังวิหคโบยบินได้สำเร็จ ต่อให้ฉินส่าวชิงและชนเผ่าเพลิงคำรามคิดจะสร้างปัญหา พวกเขาก็ยังต้องคิดพิจารณาให้รอบคอบเสียก่อน
“เอาล่ะ แต่ก่อนที่จะดำเนินการเรื่องอื่น ข้าอยากจะเสริมกำลังให้ชนเผ่าเมฆาครามแข็งแกร่งขึ้นเสียก่อน”
ฉินอวี้โม่พยักศีรษะพร้อมกล่าวออกไป
เมื่อได้ยินเช่นนั้น ทุกคนมองหน้ากันด้วยความฉงนสงสัยทันที
“อวี้โม่ เจ้าคิดจะเสริมกำลังให้ชนเผ่าเราแข็งแกร่งขึ้นอย่างไรรึ?”
ซูน่าเอ่ยถามฉินอวี้โม่ด้วยความอยากรู้
ฉินอวี้โม่เพียงยิ้มบางๆและกล่าว “ข้ามีวิธีการที่ดีๆอยู่ เพียงแค่เชื่อใจข้าก็พอ”
.