คุณหนูสี่ สตรีเปื้อนเลือด - ตอนที่ 397 โน้มน้าวใจ
หลังจากแสดงความเคารพต่อเทพมายาคนใหม่ จูเฟยชวี่ก็ยืนขึ้นและสีหน้าของเขาก็กลับมาสงบลง
“ฮ่าๆๆ เทพมายาหายสาบสูญไปนานนับพันปีแล้ว ไม่คิดเลยว่าเทพมายาคนใหม่จะปรากฏตัวขึ้นมาในตอนนี้”
หลังกล่าวพร้อมรอยยิ้มบางๆ จูเฟยชวี่ก็นั่งลงและมองฉินอวี้โม่อย่างใช้ความคิด
ฉินอวี้โม่ไม่แปลกใจกับสีหน้าท่าทางของอีกฝ่ายแม้แต่น้อย ถึงอย่างไรแล้วเขาก็เป็นจิ้งจอกเจ้าเล่ห์ มันต้องใช้ความพยายามมากกว่านี้เพื่อทำให้เขายอมจำนนอย่างแท้จริง
“ผู้นำจู ท่านเป็นคนชาญฉลาดและน่าจะรู้แล้วว่าข้ามาที่นี่เพื่ออะไร ชนเผ่าวิหคโบยบินของท่านจงรักภักดีต่อบรรพบุรุษเทพมายา ท่านไม่จำเป็นต้องปิดบังเรื่องนี้ ข้ามาที่นี่วันนี้ก็เพื่อโน้มน้าวท่านและแสดงตัวให้รู้ว่าเทพมายาคนใหม่ถือกำเนิดขึ้นแล้ว เพราะฉะนั้น หากท่านคิดสิ่งใดก็ว่ามาตามตรงเถอะ”
ฉินอวี้โม่กล่าวด้วยสีหน้าเรียบเฉยใจเย็นอย่างยิ่ง
นางแสดงจุดประสงค์อย่างชัดเจน เมื่อเผชิญหน้ากับจิ้งจอกเจ้าเล่ห์เช่นนี้ การเอ่ยอย่างเปิดเผยและตรงไปตรงมาย่อมเป็นสิ่งที่ดีที่สุด
สีหน้าท่าทางของฉินอวี้โม่ก็ทำให้จูเฟยชวี่มองนางด้วยความชื่นชมและประทับใจมากขึ้น
ในความจริง ชนเผ่าวิหคโบยบินของพวกเขาจงรักภักดีต่อเทพมายาคนก่อนนับตั้งแต่ผู้นำชนเผ่าคนแรก และเนื่องจากโลกมายาเปลี่ยนผู้กุมอำนาจเมื่อร้อยปีก่อน พวกเขาจึงต้องเก็บตัวสงบเสงี่ยมและปิดบังความจงรักภักดีก่อนหน้านี้เป็นการชั่วคราว อย่างไรก็ตาม มันไม่อาจเปลี่ยนแปลงความศรัทธาแต่เดิมของพวกเขาได้
แรกเริ่มเดิมที พวกเขารู้เพียงว่าเทพมายาหายสาบสูญไปนับพันปีแล้วและไม่เคยมีเทพมายาคนใหม่ปรากฏตัวขึ้นมา แม้ว่าพวกเขาก็มีความคิดที่จะทำให้โลกมายากลับคืนสู่จุดดั้งเดิมอีกครั้ง ทว่าในเมื่อไม่มีเทพมายา มันก็ยากที่จะผนึกกำลังทั้งหมดในโลกมายาเพื่อต่อต้านฉินเหยียน เพราะเหตุนั้น ด้วยพลังความแข็งแกร่งที่ยังด้อยกว่ามาก มันจึงเป็นไปไม่ได้เลยที่พวกเขาจะคุกคามหรือทำอันตรายต่อฝ่ายฉินเหยียน
ตลอดเวลาที่ผ่านมานี้ ชนเผ่าวิหคโบยบินจึงเก็บตัวไม่สุงสิงกับผู้ใดและแทบไม่ออกไปข้องเกี่ยวกับขุมกำลังอื่น หลายคนในชนเผ่าก็คุ้นเคยกับการใช้ชีวิตเช่นนี้และค่อยๆลืมเลือนความคิดเดิมเหล่านั้นไป
เพราะเหตุนั้น หากว่าไม่มั่นใจอย่างเต็มเปี่ยม จูเฟยชวี่ก็ไม่ต้องการให้ชนเผ่าของตนเองต้องตกอยู่ในสถานการณ์วิกฤต
แม้ว่ายังมีความจงรักภักดีต่อเทพมายาไม่เปลี่ยนแปลง ทว่าหากต้องการให้เขายอมรับโดยสมบูรณ์และต้องการให้คนของทั้งชนเผ่าติดตามไปด้วยกันนั้น ฉินอวี้โม่ก็จะต้องหาวิธีโน้มน้าวใจเขาให้ได้
“ฮ่าๆๆ บอกตามตรง…ข้าแปลกใจมากทีเดียว”
จูเฟยชวี่ยิ้มขณะมองฉินอวี้โม่และกล่าวต่อ “ไม่คิดเลยว่าเทพมายาคนใหม่จะเป็นโฉมนารีงดงามและเยาว์วัยเช่นนี้ ดูจากรูปลักษณ์แล้ว ท่านน่าจะมีอายุเพียงยี่สิบปีเท่านั้น”
หลังจากการรอคอยเนิ่นนานนับพันปี ในที่สุดเทพมายาคนใหม่ก็ปรากฏตัวขึ้นมา อย่างไรก็ตาม รูปลักษณ์ของฉินอวี้โม่อยู่เหนือความคาดหมายของจูเฟยชวี่เป็นอย่างมาก
“อายุไม่ใช่เรื่องสำคัญ”
ฉินอวี้โม่ยิ้มพร้อมเอ่ยตอบเบาๆ
“นั่นก็จริง ทว่าบางคราการที่ยังเยาว์วัยและอ่อนประสบการณ์เกินไปก็อาจจะส่งผลให้ทำสิ่งใดลงไปอย่างวู่วามไม่ยั้งคิด อย่างเช่นวันนี้ การที่มาถึงชนเผ่าวิหคโบยบินโดยลำพังเช่นนี้ มันไม่ใช่การกระทำที่ฉลาดเอาเสียเลย”
จูเฟยชวี่เอ่ยขึ้นเพื่อย้ำเตือนข้อผิดพลาดของนาง
แม้ว่าฉินอวี้โม่จะถือว่ามีฝีมือดี นางก็ยังอ่อนประสบการณ์เกินไป นางอาจหาญบุกเข้ามาที่ชนเผ่าวิหคโบยบินเพียงลำพัง หากมีการเปลี่ยนแปลงในชนเผ่าวิหคโบยบินจนแตกต่างไปจากเมื่อก่อนล่ะก็ ทันทีที่นางเปิดเผยตัวตน นางจะไม่มีทางหลบหนีไปได้อย่างแน่นอน
ต้องกล่าวเลยว่าหากผู้ใดจับตัวเทพมายาคนใหม่และส่งตัวให้กับฉินเหยียน คนผู้นั้นจะได้รับรางวัลตอบแทนอย่างงาม อย่างน้อยการได้ครองตำแหน่งเจ้าเมืองก็ไม่ไกลเกินเอื้อม
“ฮ่าๆๆ แต่ข้าไม่คิดเช่นนั้น ในเมื่อข้ากล้ามาถึงชนเผ่าวิหคโบยบินโดยลำพัง ข้าก็ต้องมีความมั่นใจพอสมควร ต่อให้ชนเผ่าวิหคโบยบินเป็นปฏิปักษ์ต่อเทพมายาไปแล้ว ข้าก็มั่นใจว่าจะควบคุมสถานการณ์และหลบหนีออกไปได้”
แม้ได้ยินวาจาของจูเฟยชวี่ ฉินอวี้โม่ก็ไม่สะทกสะท้านและกล่าวตอบอย่างมั่นใจ นางใช้ชีวิตมาแล้วสองชีวิต และไม่ว่าในชีวิตใด นางก็มิใช่คนหุนหันพลันแล่นหรือคนที่กระทำการอย่างบุ่มบ่ามไม่ยั้งคิด หากนางไม่มั่นใจ นางก็คงไม่กล้ามาเยือนชนเผ่าวิหคโบยบินด้วยตัวคนเดียวเช่นนี้
“อย่างนั้นรึ? โดยการพึ่งพาคฤหาสน์มิติล่องหนนั่นน่ะรึ?”
คำตอบของฉินอวี้โม่ทำให้จูเฟยชวี่รู้สึกสนใจเป็นอย่างยิ่ง วาจาของสตรีผู้นี้มั่นอกมั่นใจอย่างเต็มเปี่ยมจนจูเฟยชวี่เริ่มรู้สึกเชื่อมั่นในตัวนางเช่นกัน
“ฮี่ๆๆ แน่นอนว่าแค่คฤหาสน์ล่องหนไม่เพียงพอหรอก สำหรับผู้ทรงพลังอย่างผู้นำจู ข้าซ่อนคฤหาสน์เฟิงหัวจากท่านไม่ได้ด้วยซ้ำ”
ฉินอวี้โม่ยิ้มบางๆและกล่าวต่อ “เพียงแต่…ผู้นำจูไม่รู้สึกรึว่ามีบางอย่างผิดปกติ?”
เมื่อได้ยินเช่นนั้น จูเฟยชวี่ก็ผงะไปเล็กน้อย เขารีบแผ่พลังวิญญาณของตนออกไปสำรวจทั่วบริเวณทันทีและในที่สุดก็พบบางอย่างผิดปกติ
“ข่ายอาคมระดับสูง!”
จูเฟยชวี่อดโพล่งออกมาด้วยความตกใจไม่ได้ เขาไม่สามารถสัมผัสได้ด้วยซ้ำว่ามีการวางข่ายอาคมรอบตัวเขาเมื่อครู่ ผู้วางข่ายอาคมคนนี้จะต้องไม่ธรรมดาอย่างแน่นอน
“ผู้นำจูลองคิดดูเถิด หากข่ายอาคมระดับสูงของข้าควบคุมท่านไว้ได้ มันก็ไม่ยากที่ข้าจะหลบหนีไปจากที่นี่ ยิ่งไปกว่านั้น หากข้าแอบวางข่ายอาคมในชนเผ่าวิหคโบยบินอย่างลับๆ เมื่อถึงตอนนั้นชนเผ่าวิหคโบยบินก็ไม่สามารถขัดขวางอะไรข้าได้ ข้าจะผ่านเข้าออกที่นี่ได้อย่างอิสระ”
ฉินอวี้โม่ยิ้มอย่างเย็นชาและกล่าวด้วยน้ำเสียงมั่นใจ นางมีไพ่ตายซ่อนไว้อีกมาก หากมีผู้ใดประเมินความสามารถของนางต่ำเกินไป คนผู้นั้นก็จะต้องรับกับผลที่ตามมา
เมื่อได้ยินวาจาของสตรีตรงหน้า จูเฟยชวี่ก็ไม่ประมาทต่อพลังของฉินอวี้โม่อีกต่อไปและเริ่มมองนางด้วยความเคารพนับถือมากขึ้น
“เอาล่ะ ข้ายอมรับว่าสิ่งที่ท่านเอ่ยมาก็มีเหตุผล แต่หากต้องการให้ข้าและชนเผ่าวิหคโบยบินจำนนต่อท่าน ท่านยังต้องแสดงพลังที่แท้จริงของตนเองให้เป็นที่ประจักษ์ต่อพวกเรา ถึงอย่างไรเราทุกคนก็หวังที่จะได้ติดตามผู้ที่สามารถกอบกู้โลกมายาของเรากลับคืนสู่จุดเดิมแทนที่จะติดตามบุคคลไร้ความสามารถซึ่งจะนำพาพวกเราไปสู่ความตาย”
หลังจากพยักศีรษะเบาๆ ในที่สุดจูเฟยชวี่ก็ไม่อ้อมค้อมและกล่าวด้วยสีหน้าจริงจัง
แม้ว่าเขาก็มีความนับถือต่อฉินอวี้โม่ในฐานะเทพมายา นางก็ยังต้องแสดงความสามารถที่แท้จริงให้เห็นหากต้องการให้คนในชนเผ่าวิหคโบยบินยอมจำนน
อย่างไรก็ตาม ตอนนี้จูเฟยชวี่ก็ยอมรับฉินอวี้โม่ในฐานะเทพมายาจากใจจริง แม้ด้วยวัยเพียงยี่สิบปี นางก็มีพรสวรรค์อันน่าสะพรึงกลัวและมีลักษณะนิสัยที่ใจเย็นและสงบนิ่ง หากมีเวลามากขึ้น อนาคตของนางจะเกินจินตนาการอย่างแน่นอน
“นั่นเป็นเรื่องที่แน่นอนหากไม่แสดงฝีมือสักหน่อยก็คงยากที่ผู้นำจูจะปักใจเชื่อ”
ฉินอวี้โม่ยิ้มอย่างใจเย็น แน่นอนว่านางเตรียมตัวสำหรับเรื่องนี้ไว้แล้ว
“ฮ่าๆๆ น่าสนใจจริงๆ เอาล่ะ ข้าคิดว่าควรทำเช่นนี้ อีกประเดี๋ยวข้าจะเรียกรวมตัวสมาชิกชนเผ่าวิหคโบยบินและท่านจะต้องประชันฝีมือกับข้าที่ลานประลอง หากท่านสามารถรับมือกับข้าได้เกินหนึ่งร้อยกระบวนท่า ข้าเชื่อว่าทุกคนในชนเผ่าจะเต็มใจยอมจำนนต่อท่าน เมื่อถึงตอนนั้น การประกาศออกไปว่าท่านเป็นเทพมายาคนใหม่ก็จะทำให้ทุกคนเคารพท่านอย่างแน่นอน และข้าก็ยินดีที่จะเชื่อฟังคำสั่งของท่าน”
จูเฟยชวี่ยืนขึ้นและกล่าวอย่างกล้าหาญ เขาต้องการทดสอบฝีมือของฉินอวี้โม่ เขาจึงเสนอการประมือหนึ่งร้อยกระบวนท่าดังกล่าว
อันที่จริง หากฉินอวี้โม่สามารถรับมือได้แม้เพียงสิบกระบวนท่าโดยที่ไม่พ่ายแพ้ไป เขาและชนเผ่าวิหคโบยบินก็พร้อมที่จะยอมจำนนเช่นกัน
“เข้าใจแล้ว ตกลงตามนั้น!”
อดีตนักฆ่าสาวพยักศีรษะและตอบตกลงโดยไม่ลังเล
อย่างไรก็ตาม การรับมือหนึ่งร้อยกระบวนท่ามิใช่แผนที่นางวางไว้ ฉินอวี้โม่ตั้งใจจะเอาชนะจูเฟยชวี่ให้ได้ แม้ในกรณีที่เลวร้ายที่สุดก็ควรที่จะเป็นการเสมอกันโดยไม่มีผู้ใดชนะ ด้วยวิธีนี้ ผู้คนในชนเผ่าวิหคโบยบินจะได้เชื่อมั่นในตัวนางมากยิ่งขึ้น
“ถ้างั้นท่านรออยู่ที่นี่เป็นการชั่วคราว ข้าจะออกไปเตรียมการข้างนอก”
จูเฟยชวี่ยิ้มพร้อมเอ่ยกับฉินอวี้โม่เพื่อให้นางรออยู่ภายในบ้านในขณะที่เขาออกไปเตรียมความพร้อมและเรียกรวมตัวทุกคนในชนเผ่า
ฉินอวี้โม่พยักศีรษะเบาๆและนั่งจิบชารสดีต่อไปอย่างใจเย็น
“นายหญิง ท่านไม่กลัวว่าเขาจะพลิกลิ้นรึ?”
ทันทีที่จูเฟยชวี่ออกไป มารยาก็ปรากฏกายข้างฉินอวี้โม่
เมื่อครู่นี้ฉินอวี้โม่ได้สั่งให้มันวางข่ายอาคมอย่างลับๆเพื่อควบคุมจูเฟยชวี่ไว้ และด้วยความร่วมมือของเสี่ยวม่านและอสูรตัวอื่นๆ มารยาจึงวางข่ายอาคมระดับสูงได้โดยที่จูเฟยชวี่ไม่ทันรู้ตัว
และฉินอวี้โม่คิดถูกแล้ว ข่ายอาคมดังกล่าวปราบปรามจูเฟยชวี่ได้อย่างแท้จริงจนเขาสลัดความคิดดูถูกดูแคลนทั้งหมดและค่อยๆยอมจำนนต่อฉินอวี้โม่
“ไม่ต้องห่วง เขาไม่ทำเช่นนั้นหรอก ข้าสัมผัสได้ว่าชนเผ่าวิหคโบยบินจงรักภักดีต่อเทพมายาคนก่อนอย่างแท้จริงและจูเฟยชวี่ผู้นี้ก็เหมือนจะมีความภักดีมากกว่าคนอื่นๆเสียอีก ยิ่งไปกว่านั้น สิ่งที่ข้าทำเมื่อครู่ก็ทำให้เขาค่อยๆยอมรับในตัวตนของข้าแล้ว.. เพราะเหตุนั้นข้าเชื่อว่าเขาจะตัดสินใจเลือกในทางที่ถูกอย่างแน่นอน”
ฉินอวี้โม่ยิ้มบางๆและกล่าวอย่างไม่กังวล นางเชื่อมั่นในจูเฟยชวี่และเชื่อว่าการเดินทางมาเยือนชนเผ่าวิหคโบยบินครานี้จะประสบผลสำเร็จอย่างแน่นอน
“อีกอย่าง เมื่อข้าประชันฝีมือกับเขา พวกเจ้าอย่ายั้งมือเด็ดขาด หากทำได้ข้าก็ต้องการเอาชนะเขาเสียเลย เมื่อถึงตอนนั้นความภักดีของพวกเขาจะเพิ่มมากขึ้น”
เมื่อคิดเช่นนี้ ฉินอวี้โม่ก็กล่าวต่อด้วยความมั่นใจ
อสูรมายาทั้งหมดพยักหน้าอย่างเห็นด้วย
ภายในเวลาไม่ถึงสองก้านธูป จูเฟยชวี่ก็กลับมา
“ท่านเทพมายา เชิญเถอะ”
จูเฟยชวี่ยิ้มพร้อมผายมือส่งสัญญาณให้นางออกไปด้วยกัน
“ผู้นำจูไม่ต้องพิธีรีตองนักหรอก ข้าชื่อฉินอวี้โม่และท่านเรียกข้าว่าอวี้โม่ก็พอ”
ฉินอวี้โม่กล่าวขึ้นเบาๆ นางไม่ยอมให้จูเฟยชวี่เรียกนางเช่นนั้นและบอกให้เขาเรียกเพียงชื่อของตน
แม้ว่านางเป็นเทพมายาคนใหม่ พลังความแข็งแกร่งของจูเฟยชวี่ในเวลานี้ก็เหนือชั้นกว่านางอย่างมากและเขาก็เป็นถึงผู้นำของชนเผ่าวิหคโบยบิน ฉินอวี้โม่เข้าใจสิ่งนี้เป็นอย่างดี ในการทำให้ยอดฝีมือเช่นนี้ยอมจำนนต่อนางโดยสมบูรณ์ นอกเหนือจากความแข็งแกร่งอันทรงพลัง ความเคารพก็เป็นสิ่งที่สำคัญอย่างยิ่ง
หลังจากได้ยินวาจาของฉินอวี้โม่ จูเฟยชวี่ก็รู้สึกประทับใจในตัวนางมากขึ้น เขาเพียงยิ้มบางๆทว่าก็พยักศีรษะแต่โดยดี
ด้วยการนำทางของจูเฟยชวี่ ทั้งสองก็มาถึงหน้าบ้านไม้หลังใหญ่ที่สุดในชนเผ่าวิหคโบยบิน
“นี่คือจุดที่ชนเผ่าวิหคโบยบินหารือเรื่องต่างๆและข้างในมีลานประลองสำหรับการแข่งขัน เพื่อไม่ให้ดึงดูดความสนใจมากเกินไป เราไปที่นั่นกันเถอะ”
จูเฟยชวี่เอ่ยอธิบายกับฉินอวี้โม่และการดำเนินการของเขาก็เหมาะสมอย่างยิ่ง
ฉินอวี้โม่พยักศีรษะโดยไม่เอ่ยสิ่งใด
หลังจากเข้าไปในบริเวณบ้านไม้ นางก็พบกับลานประลองเล็กๆ ลานประลองแห่งนี้เต็มไปด้วยผู้คน เห็นได้ชัดว่าเกือบทุกคนในชนเผ่าวิหคโบยบินมารวมตัวกันที่นี่แล้ว ยกเว้นเพียงแต่ผู้คุ้มกันหน้าประตูเท่านั้น ผู้ที่นั่งอยู่ตรงกลางคือผู้ทรงพลังหลายคนซึ่งน่าจะเป็นกลุ่มผู้มีอิทธิพลและอำนาจในชนเผ่า
ฉินอวี้โม่และจูเฟยชวี่สบตากันพร้อมยิ้มออกมาโดยไม่เอ่ยสิ่งใด นางเชื่อว่าจูเฟยชวี่น่าจะจัดการทุกอย่างไว้เรียบร้อยแล้ว สิ่งที่นางต้องทำคือแสดงพลังอำนาจของตนเองให้บรรดาสมาชิกของชนเผ่าวิหคโบยบินได้เห็นและทำให้พวกเขายอมจำนนต่อนาง
.