คุณหนูสี่ สตรีเปื้อนเลือด - ตอนที่ 414 การลงทัณฑ์สายฟ้าเจ็ดขั้น
ฉินเฟิงหันกลับไปและสบตากับฉินอวี้โม่ชั่วขณะ เขาขมวดคิ้วเล็กน้อยทว่ากลับสู่ปกติอย่างรวดเร็ว
เขาเองก็รู้สึกถึงความคุ้นเคยที่อธิบายไม่ถูกแผ่มาจากร่างของฉินอวี้โม่เช่นกัน อย่างไรก็ตาม เขามั่นใจว่าตนเองไม่เคยพบสตรีผู้นี้มาก่อน นับประสาอะไรกับการรู้จักกัน ทว่าความรู้สึกคุ้นเคยเช่นนี้ไม่มีทางผิดพลาดอย่างแน่นอน
นั่นคือสาเหตุที่เขาขมวดคิ้วมุ่น
“ท่านจอมยุทธ์ อสูรมายาที่กำลังเผชิญกับการลงทัณฑ์สายฟ้านั่นคืออสูรมายาของท่านใช่รึไม่?”
ฉินเฟิงยิ้มเล็กน้อยและเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงที่ไร้ซึ่งความเป็นปฏิปักษ์
ฉินอวี้โม่พยักศีรษะพร้อมยิ้มตอบและกล่าว “ท่านคงจะเป็นฉินเฟิง—เจ้าเมืองวารีมายาสินะ”
นางไม่รอให้อีกฝ่ายเอ่ยสิ่งใดขณะกล่าวต่อ “ข้าเชื่อว่าด้วยพลังความแข็งแกร่งของท่าน ท่านคงจะสามารถสัมผัสได้ถึงธาตุพลังของอสูรมายาของข้า การได้เผชิญกับการลงทัณฑ์สายฟ้าในเขตเมืองวารีมายาของท่านจะช่วยมันได้มาก นั่นคือสาเหตุที่ข้าพามันมาที่นี่ เมื่ออสูรมายาของข้าข้ามผ่านการลงทัณฑ์สายฟ้าไปได้อย่างสำเร็จลุล่วง เราจะไปจากที่นี่ทันที”
เมื่อได้ยินวาจาของสตรีผู้นี้ ฉินเฟิงก็ยิ้มและกล่าวตอบ “ฮ่าๆๆ ไม่ต้องอธิบายหรอก ข้าสัมผัสได้ เมืองวารีมายาของเราไม่มีกฎเกณฑ์บังคับหรือห้ามผู้อื่นใดเข้ามา เพราะเหตุนั้นจงมั่นใจได้เลยว่าในเมื่อข้าอยู่ที่นี่ จะไม่มีผู้ใดมารบกวนท่านเป็นอันขาด”
อันที่จริง การกระทำของฉินอวี้โม่ทำให้ฉินเฟิงชื่นชมอย่างยิ่ง เมื่อเผชิญหน้ากับอีกฝ่าย ความทะนงตนและความน่าเกรงขามที่แผ่มาจากร่างของฉินอวี้โม่นั้นถือว่าเหนือกว่าอายุของนางมาก ยิ่งไปกว่านั้น ฉินเฟิงสัมผัสได้ถึงพลังของนาง สตรีผู้นี้เพิ่งทะลวงพลังเข้าสู่ขอบเขตเซียนเมื่อไม่นานมานี้ และแม้จะเผชิญหน้ากับคู่ต่อสู้มากมายเช่นนี้ สีหน้าของนางก็ยังเรียบเฉยและไม่สะทกสะท้านใดๆ นั่นก็เพียงพอแล้วที่จะทำให้ฉินเฟิงรู้สึกชื่นชมนางอย่างที่สุด
“เจ้าเมืองฉิน ไม่ได้พบกันเสียนาน พลังของท่านดูจะเพิ่มขึ้นมากทีเดียว”
อีกฟากหนึ่ง ซูวั่งชวนเข้ามาอยู่ข้างฉินอวี้โม่อย่างรวดเร็ว
ตั้งแต่ฉินเฟิงปรากฏตัว คนอื่นๆก็ไม่กล้ากระทำสิ่งใดบุ่มบ่าม ฉินเฟิงผู้นี้ลึกลับและอ่านออกได้ยากมาเสมอ ซูวั่งชวนจึงกังวลว่าฉินเฟิงจะลอบโจมตีนางอย่างกะทันหัน เขาจึงรีบเข้ามาอยู่ข้างกายนางเพื่อที่จะป้องกันภัยไว้ล่วงหน้า
“ฮ่าๆๆ ผู้อาวุโสซูเองก็แข็งแกร่งขึ้นมากเช่นกัน”
ฉินเฟิงรู้จักกับซูวั่งชวนมาก่อนแล้ว ทั้งสองเคยพบกันหลายครั้ง ฉินเฟิงรู้สึกชื่นชมในความตรงไปตรงมาและความยืนหยัดของอีกฝ่ายอย่างยิ่ง
“ข้าคงเทียบเจ้าเมืองฉินไม่ได้หรอก ดูเหมือนว่าพลังของท่านล้ำลึกมากขึ้นเรื่อยๆ”
ซูวั่งชวนยิ้มอย่างเป็นมิตร ทัศนคติท่าทางของฉินเฟิงทำให้เขารู้สึกโล่งใจเล็กน้อย ดูเหมือนว่าวันนี้จะไม่มีการต่อสู้อีกต่อไป
“ท่านเจ้าเมือง..”
จู่ๆเฮยรองก็เอ่ยขึ้นมาด้วยน้ำเสียงที่ไม่เต็มใจนัก ทว่าฉินเฟิงก็เอ่ยแทรกขึ้นมาและขัดขวางคำพูดของเขาโดยตรง
“เฮยรอง พาคนของเจ้ากลับไปเถอะ ข้าทราบดีถึงเรื่องความบาดหมางระหว่างเจ้าและผู้อาวุโสซู ข้าก็ไม่ได้ต้องการแทรกแซงเรื่องของเจ้า อย่างไรก็ตาม หากเจ้าอยากจะล้างแค้นให้พี่ของตนเองจริงๆ หลังจากนี้เจ้าก็จงไปหาผู้อาวุโสซูที่ชนเผ่าเมฆาครามเถอะ วันนี้การที่ข้าอยู่ที่นี่ ข้าจะไม่ยอมให้เจ้าสร้างปัญหาความวุ่นวายใดๆอีก”
แม้ว่าน้ำเสียงของฉินเฟิงราบเรียบไม่แสดงความรู้สึกใดๆ ทว่ามันก็ไม่มีพื้นที่สำหรับการต่อรองใดๆทั้งสิ้น นี่ก็ส่งผลให้สีหน้าของเฮยรองเปลี่ยนไปเล็กน้อย อย่างไรก็ตาม เขาก็ไม่กล้าเอ่ยปากต่อไปและเพียงแค่จ้องหน้าซูวั่งชวนตาเขม็งก่อนพยักศีรษะอย่างแรง
“ในเมื่อท่านเจ้าเมืองเอ่ยเช่นนั้น วันนี้ข้าก็จะปล่อยพวกเขาไป อย่างไรก็ตาม หากข้าได้โอกาสอีกครั้งล่ะก็ ข้าจะไม่ปรานีแน่”
หลังจากกล่าวจบ เฮยรองก็หายวับไปต่อหน้าทุกคน
“ขอบคุณท่านมาก”
เมื่อเฮยรองนำคนอื่นๆจากไป ฉินอวี้โม่ก็เอ่ยขอบคุณฉินเฟิงพร้อมรอยยิ้ม ต่อให้ฉินเฟิงไม่ออกมา นางก็ไม่เกรงกลัวเลยสักนิด ทว่านางเพียงต้องใช้ความพยายามมากขึ้นและหากมันไม่ได้ผล บางทีก็อาจจะเกิดอุบัติเหตุบางอย่างขึ้นได้ ทว่าบัดนี้เนื่องจากฉินเฟิงออกมา มันก็ถือว่าลดปัญหาไปได้มากทีเดียว
“ฮ่าๆๆ ท่านไม่ต้องขอบคุณข้าหรอก ต่อให้ข้าไม่ออกมา ท่านก็คงจะจัดการทุกอย่างเองได้ ในทางกลับกัน เฮยรองและพวกต่างหากที่อาจไม่มีชีวิตรอดกลับไป”
ฉินเฟิงยิ้มเล็กน้อยและแววตาของเขาเปี่ยมไปด้วยความแน่วแน่ สตรีผู้นี้ไม่ธรรมดาอย่างที่เห็นภายนอกเลยสักนิด ฉินเฟิงสัมผัสได้ว่าหากเขาไม่ออกมา เฮยรองและพวกก็อาจจะกลายเป็นศพอยู่ที่นี่
“เอาล่ะ เชิญทุกคนรับชมเรื่องที่น่าตื่นเต้นต่อไป ทว่าอย่าคิดที่จะเข้าไปแทรกแซงเด็ดขาด การที่ข้าอยู่ที่นี่ทั้งคน หากผู้ใดกล้าลงมือก็เท่ากับเพิกเฉยต่อวาจาของข้า เมื่อเป็นเช่นนั้น อย่ามากล่าวโทษข้าทีหลังว่าข้าไม่ไว้หน้าก็แล้วกัน”
ฉินเฟิงกวาดสายตามองผู้คนโดยรอบเพื่อรับประกันว่าจะไม่มีใครเข้ามาแทรกแซงเรื่องนี้อีก
“ขอรับ ท่านเจ้าเมือง”
ความชื่นชมที่ฉินเฟิงมีต่อฉินอวี้โม่ทำให้คนเหล่านี้งุนงงเป็นที่สุด โดยเฉพาะอย่างยิ่งคือบรรดายอดฝีมือที่อยู่ในขอบเขตเซียน พวกเขาไม่เข้าใจเลยว่าเหตุใดเจ้าเมืองจึงมีท่าทีชื่นชมฉินอวี้โม่มากเพียงนี้
อย่างไรก็ตาม วาจาของฉินเฟิงเป็นสิ่งที่ไม่อาจปฏิเสธได้ สำหรับชาวเมืองวารีมายา พวกเขาย่อมรู้ดีว่าฉินเฟิงเป็นคนอย่างไร เพราะเหตุนั้นพวกเขาจึงปฏิบัติตามแต่โดยดี
“ขอบคุณท่านมาก ท่านเจ้าเมือง”
เมื่อได้ยินวาจาของฉินเฟิงและเห็นการตอบสนองของทุกคนโดยรอบ ซูวั่งชวนก็ยกมือขึ้นคารวะและกล่าวด้วยน้ำเสียงจริงใจ
“ฮ่าๆๆ ถึงอย่างไรนี่ก็เป็นความผิดของพวกเขาที่เข้ามารบกวนพวกท่าน ไม่จำเป็นต้องขอบคุณข้าเลย”
ฉินเฟิงยิ้มและโบกมืออย่างไม่ใส่ใจนัก
“ดูเหมือนว่าทัณฑ์สายฟ้าขั้นที่หกกำลังจะผ่าลงมา มันไม่ใช่สิ่งที่จะรับมือได้ง่ายๆเป็นแน่!”
ฉินเฟิงเปลี่ยนบทสนทนาขณะจดจ่อไปที่มารยาผู้ซึ่งนั่งขัดสมาธิอยู่ตรงกลาง
ตลอดหลายปีที่ผ่านมาในโลกมายา นี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้เห็นอสูรมายาระดับสูงเช่นนี้เผชิญกับการลงทัณฑ์สายฟ้าและเขาก็อดสงสัยไม่ได้ ยิ่งไปกว่านั้น เมื่อฉินเฟิงมองทะลุไปถึงแก่นแท้ร่างกายของมารยา เขาก็รู้สึกว่าอสูรมายาตัวนี้แปลกประหลาดยิ่งนัก
สายตาของทั้งฉินอวี้โม่ ซูวั่งชวนและคนอื่นๆก็จับจ้องไปที่มารยาซึ่งอยู่ตรงกลาง บัดนี้สีหน้าของอสูรสาวตึงเครียดอย่างเห็นได้ชัด ดูเหมือนว่าสายฟ้าครานี้จะรับมือได้ไม่ง่ายนัก
“มารยา ไม่ต้องกลัว พวกเราทั้งหมดจะเอาใจช่วย”
ฉินอวี้โม่กำหมัดแน่นและยื่นตรงไปทางมารยาพร้อมตะโกนเสียงดัง ตอนนี้นางช่วยอะไรได้ไม่มากนักและได้เพียงแต่เอาใจช่วยเช่นนี้ด้วยหวังว่ามารยาจะรอดพ้นจากทัณฑ์สายฟ้าได้อย่างปลอดภัย
เมื่อได้ยินวาจาของผู้เป็นนาย ใบหน้าซีดเซียวของมารยาก็คลี่ยิ้มบางๆและพยักหน้าหงึกๆให้กับฉินอวี้โม่เป็นการบอกว่ามันจะพยายามอย่างเต็มที่
กลุ่มก้อนเมฆทะมึนกลางอากาศหนาแน่นขึ้นเรื่อยๆจนเกิดความรู้สึกราวกับว่าเมฆมืดครึ้มเหล่านี้จะโจมตีลงมาที่เมือง กระแสไฟฟ้าในกลุ่มเมฆเหล่านั้นก็ดูน่าสะพรึงกลัวอย่างมากจนทำให้ผู้คนรู้สึกสั่นสะท้านขึ้นมา
“ท่านแม่ ไม่ต้องห่วง แม้ว่าการลงทัณฑ์สายฟ้าขั้นที่หกจะน่าหวาดหวั่น ข้าก็เชื่อว่ามันคงไม่รุนแรงเกินกว่าที่มารยาจะต้านทานได้”
หานอวี้ปรากฏกายข้างฉินอวี้โม่และจับมือบางของนางพร้อมกล่าวปลอมประโลมให้คลายกังวล
“เพียงแต่..ยังมีอีกอย่าง ข้าไม่มั่นใจว่าควรบอกท่านแม่รึไม่..”
ขณะสายตาจับจ้องไปที่กลุ่มเมฆมืดครึ้ม หานอวี้ก็ขมวดคิ้วเล็กน้อยและใบหน้าไม่สู้ดีนักขณะกล่าวด้วยน้ำเสียงที่เจือความลังเล
เมื่อได้ยินน้ำเสียงของบุตรชายต่างเผ่าพันธุ์ ฉินอวี้โม่ก็ขมวดคิ้วทันที เรื่องที่ทำให้หานอวี้มีสีหน้าเช่นนี้จะต้องไม่ใช่เรื่องดีอย่างแน่นอน
“เจ้าลังเลที่จะบอกแม่ของเจ้าว่าทัณฑ์สายฟ้าขั้นที่หกนี้อาจจะไม่ใช่ขั้นสุดท้ายและเกรงว่าครานี้จะเป็นการลงทัณฑ์สายฟ้าเจ็ดขั้นสินะ”
หานอวี้ยังไม่ได้เอ่ย ทว่ากลับเป็นฉินเฟิงที่กล่าวขึ้นแทนสิ่งที่อยู่ในใจของหานอวี้
“ท่านรู้ได้อย่างไร?”
เมื่อได้ยินวาจาของฉินเฟิง หานอวี้ก็ตกตะลึงเล็กน้อยและมองอีกฝ่ายด้วยความประหลาดใจ
“ในอดีตก่อนหน้านี้ข้าโชคดีและเคยได้เห็นอสูรมายาที่ข้ามผ่านการลงทัณฑ์สายฟ้ามาแล้วหลายครั้ง สำหรับอสูรมายาที่หายากอย่างมารยา ทัณฑ์สายฟ้าที่มันต้องเผชิญย่อมทรงพลังกว่าอสูรทั่วไป อย่างไรก็ตาม ดูจากสายฟ้าสายที่หกนี้ มันไม่ได้มีขนาดใหญ่กว่าเดิมมากนัก เพราะฉะนั้นหากไม่มีอะไรผิดพลาด มันจะต้องมีสายฟ้าสายที่เจ็ดเป็นแน่ ทว่าหากมารยารอดพ้นจากการลงทัณฑ์สายฟ้าเจ็ดขั้นไปได้ พลังความแข็งแกร่งของมันจะเพิ่มขึ้นอย่างเหนือจินตนาการ ทว่าการเอาตัวรอดจากทัณฑ์สายฟ้าขั้นที่เจ็ดก็ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย”
ฉินเฟิงอธิบายขณะสีหน้ากังวลปรากฏบนใบหน้าของเขาเล็กน้อย แน่นอนว่าเขาเคยเห็นการลงทัณฑ์สายฟ้าเจ็ดขั้นมาก่อน พลังทำลายล้างที่ทรงพลังและแรงกดดันอันน่าสะพรึงกลัวนั้นไม่มีทางที่อสูรมายาธรรมดาทั่วไปจะต้านทานได้
แม้ว่ามีอสูรมายาหลายตัวที่ผ่านการลงทัณฑ์สายฟ้าเจ็ดขั้นไปได้และมีความแข็งแกร่งที่เพิ่มขึ้นเป็นอย่างมาก ทว่าก็มีอสูรจำนวนมากที่ถูกทัณฑ์สายฟ้าเจ็ดขั้นผ่าทำลายจนกลายเป็นเถ้าถ่านและหายสาบสูญไปจากโลกนี้ตลอดกาล เพราะฉะนั้น อันตรายของทัณฑ์สายฟ้าขั้นเจ็ดจึงเป็นที่ประจักษ์ชัดเจนอยู่แล้ว สำหรับทัณฑ์สายฟ้าขั้นแปด ขั้นเก้าและขั้นสิบนั้นแน่นอนว่าความน่าสะพรึงกลัวของมันเป็นสิ่งที่เกินจะพรรณนา
เมื่อได้ยินวาจาของฉินเฟิงและเห็นสีหน้าตึงเครียดของหานอวี้ ฉินอวี้โม่ก็ต้องขมวดคิ้วด้วยสีหน้าเคร่งเครียดไม่ต่างกัน อย่างไรก็ตาม ความตึงเครียดนี้ก็เปลี่ยนกลายเป็นความมุ่งมั่นแน่วแน่อย่างรวดเร็ว ไม่ว่าอย่างไรนางก็ไม่ยอมให้มารยาตายไปต่อหน้าต่อตาอย่างแน่นอน!
“ท่านแม่ อย่าคิดมากไปก่อนเลย รอดูมารยาผ่านทัณฑ์สายฟ้าขั้นที่หกไปก่อนเถอะ”
เมื่อเห็นสีหน้าท่าทางของฉินอวี้โม่ หานอวี้ก็กล่าวขณะสายตาจับจ้องไปที่มารยาอย่างไม่วางตา
มารยาไม่ได้ยินบทสนทนาเหล่านี้ เพราะฉะนั้นมันจึงยังคงรอการมาถึงของทัณฑ์สายฟ้าขั้นที่หกโดยที่ไม่ได้มีอารมณ์ผันผวนใดๆ
ครืนนนน!
เสียงที่ฟังดูรุนแรงกว่าก่อนหน้านี้ดังขึ้นและทุกคนต่างก็หวาดหวั่นใจ
“สายฟ้าใกล้ผ่าลงมาแล้ว”
หานอวี้พึมพำกับตัวเองและมองไปที่กลุ่มเมฆทะมึนกลางอากาศ
ฉินอวี้โม่และคนอื่นๆเงยหน้าขึ้นมองเช่นกัน บัดนี้สีหน้าของทุกคนเผยความตึงเครียดโดยที่ไม่รู้ตัว
เปรี้ยง!
สายฟ้าขนาดใหญ่ผ่าจากท้องฟ้าลงมาที่มารยาซึ่งอยู่บนพื้นโดยตรง
ขณะนี้ใบหน้าของมารยายังคงซีดเซียวและปลายนิ้วมือของมันร่ายขยับอย่างรวดเร็วก่อนที่ม่านป้องกันที่แข็งแรงกว่าก่อนหน้านี้ปรากฏเหนือศีรษะของมันเพื่อป้องกันจากสายฟ้าที่ดูน่าสะพรึงกลัวนี้
เปรี๊ยะ!
ม่านป้องกันดังกล่าวพังทลายทันทีและสายฟ้าขนาดใหญ่ก็ฟาดลงมาถึงตัวของมารยา
พรวด!
อสูรสาวกระอักเลือดออกมาอีกครั้งและใบหน้าเหยเก ตอนนี้มันนอนลงบนพื้นอย่างไร้เรี่ยวแรงและลมหายใจอ่อนแอลงมาก
เมื่อสัมผัสได้ว่ามารยาอ่อนแอลงมากทว่าไม่ได้มีอันตรายถึงชีวิต ฉินอวี้โม่ก็ถอนหายใจเบาๆ และหัวใจคลายกังวลลงเล็กน้อย
อย่างไรก็ตาม นางคลายกังวลได้เพียงไม่นานก่อนที่เสียงของหานอวี้และฉินเฟิงจะทำให้นางเป็นกังวลขึ้นมาอีกครั้ง
“เป็นอย่างที่คิดไว้จริงๆ นี่คือการลงทัณฑ์สายฟ้าเจ็ดขั้น!”
.