คุณหนูสี่ สตรีเปื้อนเลือด - ตอนที่ 422 เรียบง่ายไม่ซับซ้อน
ด้านนอกชนเผ่าเมฆาคราม ชาวเมืองเพลิงมายาจำนวนมากรวมตัวกันและกำลังสนทนาเรื่องบางอย่าง
ผู้ที่สำคัญที่สุดในหมู่คนเหล่านั้นคือเจ้าเมืองเพลิงมายา—ฉินส่าวชิง และถัดจากเขาคือเลี่ยหยางที่ยืนนิ่งด้วยสีหน้าหม่นมืด ดูเหมือนว่าหลังจากผ่านเวลาไปนับเดือน ความขัดแย้งระหว่างคนทั้งสองจะได้รับการสะสางและตกลงร่วมมือกันอีกครั้ง
“ผู้นำซู ส่งตัวสายลับอวี้โม่มาเดี๋ยวนี้!”
สุนัขรับใช้ของฉินส่าวชิงและเลี่ยหยางประกาศกร้าวด้วยน้ำเสียงยโสโอหังอย่างที่สุด
“ใช่! ให้นางออกมาไขข้อข้องใจทุกอย่างให้ชัดเจน และผู้อาวุโสซู ท่านก็ต้องออกมาอธิบายทุกอย่างให้ชัดเจนเช่นกัน หากท่านไม่ออกมา อย่าโทษที่พวกเราจะทำตัวเสียมารยาทก็แล้วกัน!”
อีกคนกล่าวเสริม เขาเองก็เป็นคนของฉินส่าวชิงและเลี่ยหยางเช่นกัน
“หนวกหูน่ารำคาญ!”
ทันทีที่สิ้นเสียงของคนผู้นั้น เสียงหนึ่งก็ดังขึ้น
ผลัวะ ผลัวะ!
เสียงฝ่ามือฟาดดังขึ้นสองครั้งและสองคนที่ตะโกนกร้าวก่อนหน้านี้ก็กระเด็นออกไปกระแทกเข้ากับพื้นที่ห่างไกลออกไป
“อวี้โม่ เจ้ายังยโสโอหังไม่เปลี่ยน!”
เมื่อเห็นผู้ที่ค่อยๆปรากฏขึ้นมาต่อหน้าทุกคน ฉินส่าวชิงก็ขมวดคิ้วเล็กน้อยและกล่าวออกไปทันที
“เจ้าเมืองฉิน ไม่ได้พบหน้ากันเสียนาน ไม่ทราบว่าท่านพาคนมากมายมาห้อมล้อมชนเผ่าเมฆาครามทำไมรึ?”
ฉินอวี้โม่กล่าวเบาๆขณะซูวั่งชวนและคนอื่นๆก็ปรากฏข้างกายนางเช่นกัน พวกเขาชำเลืองสายตามองฉินส่าวชิงและคนอื่นๆด้วยสีหน้าปราศจากความหวาดหวั่นใดๆ
“เหอะ ยังมาทำไขสืออีก อย่าคิดว่าเราไม่รู้ว่าเจ้าเป็นสายลับที่เมืองวารีมายาส่งมาเพื่อทำลายความสงบสุขของเมืองเพลิงมายา!”
เลี่ยหยางแค่นเสียงเย็นชา เพียงเห็นหน้าฉินอวี้โม่ อาอู่และคนอื่นๆ ร่างของเขาก็แผ่จิตสังหารแรงกล้าออกไปทันที เขาไม่มีทางลืมว่าอาอู่สังหารเลี่ยซาน–บุตรชายที่รักยิ่งของตนเอง หากไม่ใช่เพราะจังหวะเวลาที่ไม่เป็นใจ เขาคงอดไม่ได้ที่จะโจมตีและปลิดชีพอาอู่ในทันที
และเรื่องทั้งหมดนี้เกิดขึ้นเพราะฉินอวี้โม่ หากไม่ใช่เพราะนางที่ช่วยชีวิตอาอู่ไว้ เหตุการณ์ทั้งหมดหลังจากนั้นก็คงจะไม่เกิดขึ้น เพราะเหตุนั้นความชิงชังที่เขามีต่อสตรีจอมยุทธ์ผู้นี้จึงไม่น้อยไปกว่าความเกลียดชังที่มีต่ออาอู่เลยสักนิด
“โอ้? การที่ผู้นำเลี่ยหยางกล่าวเช่นนี้ทำให้ข้าไม่เข้าใจเลยจริงๆ ข้าไม่ทราบเลยว่าข้ากลายเป็นสายลับจากเมืองวารีมายาตั้งแต่เมื่อใด และข้าทำลายความสงบสุขของเมืองเพลิงมายาเมื่อไหร่กัน?”
ฉินอวี้โม่ยกยิ้มมุมปากขณะมองเลี่ยหยางและเอ่ยตอบโต้
“เหอะ ไม่ต้องกล่าววาจาประชดประชันหรอก เมื่อไม่กี่วันก่อน เจ้าอยู่ที่เมืองวารีมายาและได้รับเชิญจากเจ้าเมืองโดยตรงในฐานะแขกคนสำคัญของเจ้าเมืองวารีมายา หากเจ้าและเจ้าเมืองฉินเฟิงไม่รู้จักกันมานาน เขาจะปฏิบัติต่อเจ้าอย่างเคารพเช่นนั้นได้อย่างไร? ยิ่งไปกว่านั้น นับตั้งแต่เจ้ามาเยือนเมืองเพลิงมายา มันก็เกิดปัญหาหลายอย่างขึ้นกับขุมกำลังใหญ่ของเรา หากไม่ใช่เพราะมีใครบางคนยุยงชักใยอยู่เบื้องหลัง มันจะเกิดเรื่องเหล่านั้นได้อย่างไรกัน!”
เลี่ยหยางแค่นเสียงและกล่าวต่อไป แท้ที่จริงเขาไม่มีหลักฐานใดด้วยซ้ำ ทว่าการที่ฉินอวี้โม่ได้รับการต้อนรับเป็นอย่างดีจากเจ้าเมืองวารีมายาเมื่อไม่กี่วันก่อนเป็นสิ่งที่ทุกคนในที่นี้ทราบอย่างชัดเจน เพราะเหตุนั้นเขาจึงต้องการเห็นว่านางจะแก้ต่างอย่างไร
“ฮ่าๆๆ ตลกจริงเชียว ข้าได้รับเชิญจากเจ้าเมืองวารีมายาให้เข้าไปที่จวนเจ้าเมืองและนำมาลือกันได้ว่าข้าเป็นสายลับที่เขาส่งมา ถ้าอย่างนั้นก่อนหน้านี้ที่ผู้นำเลี่ยหยางมาที่ชนเผ่าเมฆาครามของเราหลายครั้งหลายคราทั้งที่ไม่ได้รับเชิญนั้น เป็นไปได้รึไม่ว่าท่านก็เป็นสายลับเช่นกัน?”
ฉินอวี้โม่ยิ้มมุมปากขณะกล่าวตอบโต้ด้วยท่าทีสบายๆ การที่เลี่ยหยางผู้นี้ต้องการยัดเยียดความผิดให้กับนางต่อหน้าทุกคน คิดว่าจะทำได้ง่ายๆงั้นรึ?
สีหน้าของเลี่ยหยางเปลี่ยนไปเล็กน้อยเมื่อได้ยินวาจาของฉินอวี้โม่ ทว่าเขาก็ไม่อาจปฏิเสธโต้แย้งได้เลย เขาไม่มีหลักฐานในเรื่องนี้แม้แต่น้อย เขาและพวกเพียงได้ยินเรื่องนี้มาและต้องการฉวยโอกาสยัดเยียดความผิดให้กับฉินอวี้โม่จากเรื่องนี้
“ฮ่าๆๆ จอมยุทธ์อวี้โม่พูดถูก มันพิสูจน์อะไรไม่ได้เลยสักนิด อย่างไรก็ตาม เมื่อวานนี้ข้าได้รับจดหมายจากเฮยรองในเมืองวารีมายาซึ่งพิสูจน์ได้ว่าท่านเป็นสายลับที่ฉินเฟิงแห่งเมืองวารีมายาส่งมา เรื่องนี้ไม่ทราบว่าท่านจะอธิบายอย่างไร”
ฉินส่าวชิงยิ้มพร้อมหยิบจดหมายฉบับหนึ่งออกมาสะบัดต่อหน้าทุกคน
เมื่อได้ยินชื่อเฮยรอง ฉินอวี้โม่และซูวั่งชวนก็หันมองหน้ากันในทันที
ไม่แปลกใจเลยที่เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้จะแพร่มาถึงเมืองเพลิงมายาอย่างรวดเร็วเช่นนี้ แท้ที่จริงแล้วก็เป็นฝีมือของเฮยรองผู้นั้นนี่เอง ยิ่งไปกว่านั้น เฮยรองดูจะต้องการให้ซูวั่งชวนและฉินอวี้โม่ตกอยู่ในสถานการณ์ที่เป็นที่สงสัยของทุกคนซึ่งจะส่งผลให้ชนเผ่าเมฆาครามเกิดวิกฤตความวุ่นวาย เพราะเหตุนั้นเขาจึงคิดวิธีการที่ชั่วร้ายเช่นนี้ขึ้นมา
อย่างไรก็ตาม ฉินอวี้โม่และซูวั่งชวนมิได้ตื่นตระหนกแต่อย่างใด ในเมื่อกล้าออกมาเผชิญหน้าเช่นนี้ แน่นอนว่าทั้งสองก็คิดหาทางตอบโต้ไว้แล้ว
“ฮ่าๆๆ เจ้าเมืองฉินส่าวชิงช่างเป็นคนกว้างขวางยิ่งนักและยังมีเครือข่ายเป็นเฮยรองจากเมืองวารีมายาอีก ในเมื่อเป็นเช่นนั้น หากข้าเป็นสายลับจากเมืองวารีมายาจริงๆ ท่านก็ควรที่จะทราบมานานแล้วไม่ใช่รึ?”
ฉินอวี้โม่ยิ้มบางๆขณะมองฉินส่าวชิงอย่างไม่หวาดหวั่นและกล่าวออกไป
เมื่อได้ยินวาจาของฉินอวี้โม่ ฉินส่าวชิงก็ขมวดคิ้วเล็กน้อยทันที แม้เขาทราบดีอยู่แล้วว่าการรับมือกับฉินอวี้โม่ไม่ใช่เรื่องง่าย เขาก็ไม่คาดคิดว่านางจะรับมือได้ยากถึงเพียงนี้
เพียงวาจาไม่กี่คำของนางก็ทำให้ฉินส่าวชิงพูดไม่ออกและไม่อาจตอบโต้ได้เลย
หากเขาตอบว่าทราบเรื่องมานานแล้ว ฉินอวี้โม่ก็จะกล่าวได้ว่าในเมื่อเขาทราบมานานแล้ว เหตุใดจึงไม่กล่าวออกไปตั้งแต่ต้น ยิ่งไปกว่านั้น การทำเช่นนั้นจะทำให้ผู้คนสงสัยในการกระทำของเขาเอง ในทางตรงกันข้าม หากเขาตอบว่าเพิ่งทราบเรื่องนี้ มันก็จะกระตุ้นให้ผู้คนสงสัยมากยิ่งขึ้น หากเป็นเช่นนั้น ฉินอวี้โม่ก็จะรอดพ้นจากข้อสงสัยและถือโอกาสนั้นทำให้ความเชื่อของผู้คนต้องสั่นคลอน
ขณะฉินส่าวชิงกำลังไตร่ตรองหาคำตอบที่ดีที่สุด ฉินอวี้โม่ก็กล่าวต่อ
“ฮ่าๆๆ ข้าคิดว่าบางคราท่านเจ้าเมืองฉินและผู้นำเลี่ยหยางก็ไร้เดียงสายิ่งนัก พวกท่านคิดจริงรึว่าเมืองวารีมายาจะปล่อยให้ผู้ฝึกสัตว์อสูรระดับเทวะมาเป็นสายลับที่นี่?”
ฝูงชนโดยรอบก็มองเห็นท่าทีลังเลของฉินส่าวชิงและเลี่ยหยางได้อย่างชัดเจน และจากนั้นเมื่อได้ยินประโยคดังกล่าวจากฉินอวี้โม่ ความเชื่อของพวกเขาก็สั่นคลอนและสับสนอย่างที่สุด
ฉินอวี้โม่พูดถูก การส่งให้ผู้ฝึกสัตว์อสูรระดับเทวะมาเป็นสายลับในต่างเมืองถือเป็นการดูหมิ่นและหยามเกียรติผู้ฝึกสัตว์อสูรคนนั้น ยิ่งไปกว่านั้น หากมีผู้ฝึกสัตว์อสูรฝีมือดีเช่นนั้นในเมืองวารีมายาจริงก็คงพัฒนาความแข็งแกร่งของทุกคนได้มากโดยไม่ต้องลำบากลำบนส่งมาเป็นสายลับเช่นนี้
“อีกอย่าง…ลองคิดถึงสิ่งที่ข้าทำนับตั้งแต่มาเยือนชนเผ่าเมฆาครามสิ ข้าเชื่อว่าท่านจะตระหนักได้ว่าข้าทำสิ่งใดยุยงให้เกิดความขัดแย้งระหว่างพวกท่านรึไม่”
ฉินอวี้โม่ชำเลืองมองผู้คนโดยรอบที่แสดงสีหน้าสับสนและกล่าวต่อ
“ใช่แล้ว! จอมยุทธ์อวี้โม่เป็นถึงผู้ฝึกสัตว์อสูรระดับเทวะ! พวกเราคิดผิดไปได้อย่างไรว่านางเป็นสายลับ?!”
ใครคนหนึ่งอดกล่าวกับผู้ที่อยู่ข้างกายไม่ได้และเขาไม่เชื่อว่าฉินอวี้โม่จะเป็นสายลับที่เมืองวารีมายาส่งมาก่อความวุ่นวาย
“ข้าไม่คิดว่ามันจะเป็นไปได้ ยิ่งไปกว่านั้น จอมยุทธ์อวี้โม่ก็มักเก็บตัวอยู่เสมอและเมื่อออกมา นางก็ไม่เคยทำสิ่งใดไม่ดี หากกล่าวว่านางทำลายบรรยากาศความสงบสุขในเมืองเพลิงมายา ข้าก็ไม่เชื่อหรอก”
อีกคนกล่าวขึ้นมาเช่นกัน ฉินอวี้โม่จะเป็นสายลับได้อย่างไร? นี่มันไร้สาระชัดๆ
“อีกอย่าง หากจอมยุทธ์อวี้โม่เป็นสายลับจริงและผู้อาวุโสซูเชื่อคำพูดของนางถึงเพียงนั้น ด้วยความแข็งแกร่งของชนเผ่าเมฆาครามระหว่างช่วงที่ผ่านมานี้ มันก็เพียงที่พวกเขาจะปราบปรามขุมกำลังเล็กๆอย่างเราได้ ทว่าพวกเขาก็ไม่เคยทำเช่นนั้นและยังเก็บตัวไม่สุงสิงกับใคร”
คนอื่นๆเริ่มนึกขึ้นได้แล้วเช่นกัน พวกเขาพูดคุยกันและความสงสัยในตัวฉินอวี้โม่ค่อยๆลดน้อยลง
“คิดดูเถอะว่าหากผู้ฝึกสัตว์อสูรระดับเทวะเอ่ยชักชวนเจ้ามาอยู่ในฝ่ายเดียวกัน เจ้าจะตอบตกลงรึไม่? หากจอมยุทธ์อวี้โม่เป็นสายลับที่เมืองวารีมายาส่งมาจริง เกรงว่าด้วยตัวตนของนาง ขุมกำลังน้อยใหญ่จำนวนมากของเราคงจะยอมจำนนต่อนางไปแล้ว อย่างไรก็ตาม นางไม่เคยคิดทำเช่นนั้นและยังช่วยสยบอสูรมายาให้พวกเราอีกด้วย ไม่ว่าอย่างไรข้าก็ไม่มีทางเชื่อข่าวลือแน่”
ใครคนหนึ่งกล่าวด้วยน้ำเสียงและแววตาเชื่อมั่นในตัวฉินอวี้โม่อย่างเต็มเปี่ยม
“ใช่ ใช่แล้ว!”
….
คนอื่นๆก็เห็นด้วยเช่นกัน ในเวลาเพียงไม่นาน ผู้ที่สงสัยและไม่มั่นใจในตัวฉินอวี้โม่และซูวั่งชวนก่อนหน้านี้ก็สลัดความรู้สึกเหล่านั้นและไม่สงสัยสิ่งใดอีกต่อไป
หากเวลานี้ยังมีผู้ใดกล่าวว่าฉินอวี้โม่เป็นสายลับที่ถูกส่งตัวมา พวกเขาก็คงจะมองคนเหล่านั้นด้วยแววตาเย้ยหยันและมองว่าเป็นคนโง่เขลาอย่างที่สุด
บางคนคิดไปถึงขั้นว่านับตั้งแต่ฉินอวี้โม่มาที่ชนเผ่าเมฆาคราม ฉินส่าวชิงและเลี่ยหยางเป็นฝ่ายยั่วยุหาเรื่องก่อนเสมอ พวกเขาพยายามหาเรื่องฉินอวี้โม่และชนเผ่าเมฆาครามซ้ำแล้วซ้ำเล่าในขณะที่ฉินอวี้โม่และชนเผ่าจำต้องตอบโต้กลับอย่างไม่มีทางเลือก
และสิ่งที่เกิดขึ้นครานี้ก็น่าเป็นแผนการสมคบคิดของพวกเขาเช่นกัน
เพียงแต่ผู้ที่คิดถึงประเด็นนี้ได้ถือว่าฉลาดพอสมควรและพวกเขาไม่แสดงทีท่าอย่างชัดเจน อย่างไรก็ตาม ความสงสัยที่พวกเขามีต่อฉินอวี้โม่สลายหายไปทั้งหมดและเริ่มคิดหาทางผูกมิตรสร้างความสัมพันธ์อันดีกับฉินอวี้โม่และชนเผ่าเมฆาคราม
เวลานี้สีหน้าของฉินส่าวชิงและเลี่ยหยางเหยเกอย่างยิ่งเมื่อได้ฟังความคิดเห็นของผู้คนรอบตัว พวกเขาไม่คิดเลยว่าฉินอวี้โม่จะขจัดความสงสัยได้ด้วยคำพูดเพียงไม่กี่คำ หนำซ้ำยังเปลี่ยนใจคนเหล่านั้นจนสนับสนุนนางเช่นนี้
“เจ้าเมืองฉินส่าวชิง ผู้นำเลี่ยหยาง ข้าทราบว่าข้าเคยทำให้พวกท่านขุ่นเคืองใจ หากพวกท่านจะหมายหัวข้าโดยตรง ข้าก็ไม่มีอะไรจะคัดค้าน อย่างไรก็ตาม ชนเผ่าเมฆาครามเก็บตัวไม่สุงสิงมาตลอดและไม่เคยทำเรื่องสกปรกชั่วร้าย พวกท่านไม่ควรคิดโจมตีชนเผ่าเมฆาครามเช่นนี้เลย”
ฉินอวี้โม่ยิ้มและมองไปยังคนทั้งสอง หากคิดจะงัดข้อกับนาง พวกเขาทั้งสองยังถือว่าอ่อนหัดเกินไป
เมื่อได้ยินเช่นนั้น ทุกคนก็ไม่สงสัยสิ่งใดอีกต่อไป บัดนี้พวกเขาทราบดีแล้วว่าฉินส่าวชิงและเลี่ยหยางอยู่เบื้องหลังการสร้างข่าวลือเพื่อทำให้ทุกคนสงสัยในตัวฉินอวี้โม่
“จอมยุทธ์อวี้โม่ เราเพียงได้ยินข่าวลือผิดๆมาและมิได้ตั้งใจคิดร้ายต่อท่านและชนเผ่าเมฆาคราม ถึงอย่างไร ในฐานะเจ้าเมืองเพลิงมายา ความปลอดภัยของชาวเมืองก็เป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งสำหรับข้า ข้าเชื่อว่าท่านน่าจะเข้าใจได้”
บัดนี้เมื่อไม่มีทางไปต่อ ฉินส่าวชิงจึงกล่าวขึ้นก่อนด้วยน้ำเสียงอ่อน ครานี้เขาพ่ายแพ้ไปอีกครา ฉินอวี้โม่ผู้นี้ประหลาดผิดมนุษย์เกินไป หากไม่กำจัดนางให้ได้โดยเร็วที่สุด มันจะมีปัญหาตามมาอย่างไม่รู้จบ!
“ฮ่าๆๆ ข้าเข้าใจดี เพียงแต่..เจ้าเมืองฉิน ข้าอยากจะบอกอะไรท่านบางอย่าง”
หลังจากหยุดชั่วคราว ฉินอวี้โม่ก็กล่าวต่อ “แม้ว่าเมืองใหญ่ๆทั้งหลายของโลกมายาจะไม่เป็นอันหนึ่งอันเดียวกันนัก ทว่าพวกเขาก็ไม่ได้เป็นปฏิปักษ์ต่อกันมากเกินไป เพราะฉะนั้นท่านไม่ต้องคิดแทนเจ้าเมืองคนอื่นๆหรอก ข้าเชื่อว่าพวกเขาคงไม่มีเวลาส่งสายลับมาที่เมืองเพลิงมายาเพื่อก่อความวุ่นวาย”
สีหน้าของฉินส่าวชิงเปลี่ยนไปเล็กน้อยเมื่อได้ยินเช่นนั้น ทว่าเขายิ้มสู้และกล่าวตอบ “ขอบคุณจอมยุทธ์อวี้โม่ที่ย้ำเตือนข้า คราต่อไปข้าจะสืบหาเบาะแสให้แน่ชัดเสียก่อน”
หลังจากนั้น ฉินส่าวชิงก็ไม่กล่าวสิ่งใดต่อและนำคนของเขาหันหลังกลับไปทันที เลี่ยหยางเองก็ตามเขาไปในขณะที่ทุกคนยิ้มเจื่อนๆอย่างขอโทษขอโพยและค่อยๆแยกย้ายกลับออกไปจากอาณาบริเวณของชนเผ่าเมฆาคราม