คุณหนูสี่ สตรีเปื้อนเลือด - ตอนที่ 423 ดำเนินแผนการล่วงหน้า
หลังจากผู้คนมากมายทยอยออกจากอาณาบริเวณของชนเผ่าเมฆาคราม ฉินอวี้โม่และคนอื่นๆก็กลับไปรวมตัวที่กระโจมอีกครั้ง
“ฉินส่าวชิงและเลี่ยหยางยอมกลับไปง่ายๆเช่นนี้เลยรึ?”
ซูน่ากล่าวด้วยความสงสัย ครานี้คู่หูจอมวางแผนยอมกลับไปอย่างง่ายดายเกินไป
“นี่เป็นเรื่องธรรมดา”
ฉินอวี้โม่ยิ้มบางๆ นี่เป็นสิ่งที่นางคาดไว้อยู่แล้ว
“ฮ่าๆๆ คาดว่าเดิมทีฉินส่าวชิงและเลี่ยหยางคิดว่าอวี้โม่ยังไม่กลับมา พวกเขาจึงต้องการปั่นหัวทุกคนให้เชื่อว่านางเป็นคนทรยศและยุยงให้พวกเขาโจมตีและยึดครองชนเผ่าเมฆาครามของเรา เมื่ออวี้โม่กลับมา พวกเขาก็จะเข้ามาจับตัวนางอีกครา เพียงแต่ไม่มีใครคาดคิดว่าอวี้โม่จะกลับมาโดยเร็วเช่นนี้”
ซูวั่งชวนยิ้มอ่อน เขาเข้าใจดีว่าเหตุใดเจ้าเมืองฉินและผู้นำชนเผ่าเพลิงคำรามจึงยอมกลับไปแต่โดยดี
“ใช่แล้ว ยิ่งไปกว่านั้น เรื่องที่ก่อนหน้านี้มารยาเผชิญกับการลงทัณฑ์สายฟ้าและผ่านพ้นมาได้ พวกเขาก็ย่อมทราบเรื่องนี้ดี บัดนี้ความแข็งแกร่งและสถานะของอวี้โม่ทำให้พวกเขาหวั่นเกรงมากขึ้น หากไม่มั่นใจอย่างเต็มเปี่ยม ข้าเชื่อว่าพวกเขาไม่มีทางกล้าทำสิ่งใดที่บุ่มบ่ามอย่างแน่นอน”
ซูชิงพยักศีรษะและกล่าวเสริม เขาเองก็ทราบดีเช่นกันถึงสาเหตุที่คนใจคดทั้งสองนำคนกลับไปอย่างง่ายดายเช่นนี้
“อย่างไรก็ตาม จากสิ่งที่ข้าทราบเกี่ยวกับคนทั้งสอง พวกเขาไม่ยอมลดละง่ายๆ การที่พวกเขายอมกลับไปแต่โดยดีเช่นนี้ เกรงว่าพวกเขาต้องกลับไปคิดหาทางตอบโต้อย่างแน่นอน อวี้โม่ทำให้พวกเขาริษยาจนดวงตาแทบลุกเป็นไฟ พวกเขาจะต้องหาทางจัดการอวี้โม่อย่างแน่นอน”
ซูวั่งชวนกล่าวพลางขมวดคิ้วมุ่นและรู้สึกเป็นกังวลขึ้นมา
“หากเป็นเช่นนั้น เราก็ไม่ต้องรอให้พวกเขาเตรียมตัว เราควรจู่โจมก่อน”
ฉินอวี้โม่ยกยิ้มมุมปากอย่างเยือกเย็น ฉินส่าวชิงและเลี่ยหยางก่อเรื่องวุ่นวายสร้างความเดือดร้อนซ้ำแล้วซ้ำเล่า พวกนางไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องเป็นฝ่ายโจมตีเสียก่อน ตราบใดที่กำจัดคนทั้งสองได้ เมืองเพลิงมายาก็จะได้สงบสุขเสียที
“เสี่ยวอวี้โม่หมายความว่า…”
เมื่อได้ยินวาจาของสตรีจอมยุทธ์ ซูวั่งชวนและบุตรชายก็สบตากันและเข้าใจความหมายในทันที การเตรียมการของพวกเขาเกือบพร้อมแล้ว จากเดิมที่วางแผนไว้ว่าจะเริ่มแผนการในอีกหนึ่งเดือน ทว่าด้วยสถานการณ์ในปัจจุบันนี้ เห็นทีว่าพวกเขาจำเป็นต้องดำเนินแผนการล่วงหน้า
“อาอู่ เจ้าแอบไปที่ชนเผ่าวิหคโบยบินโดยที่ไม่ให้ใครสังเกตเห็นและแจ้งให้จูเฟยชวี่มาพบพวกเรา ถึงเวลาที่เราจะหารือเรื่องการดำเนินการขั้นต่อไปแล้ว”
ซูวั่งชวนกล่าวกับอาอู่เพื่อให้เขาเดินทางไปที่ชนเผ่าวิหคโบยบินโดยเร็ว
อาอู่พยักศีรษะและปลีกตัวออกไปทันที
“อวี้โม่ หลายวันมานี้เจ้าคงเหนื่อยมากแล้ว เจ้าพักผ่อนก่อนเถอะ เราจะหารือการเตรียมการโดยละเอียดเมื่อผู้นำจูมาถึง”
ซูวั่งชวนยิ้มให้ฉินอวี้โม่และกล่าวเพื่อให้นางพักผ่อน
ฉินอวี้โม่พยักศีรษะพร้อมรอยยิ้ม จากนั้นนางก็แยกไปพักที่กระโจมของตนเองโดยที่มีซูน่าคอยพยุงอยู่ข้างๆ ป้าหลานเองก็ช่วยฉินอวี้โม่เตรียมน้ำซุปบำรุงครรภ์ให้นางดื่มก่อนที่จะนอนหลับไป
…
ในอีกฟากหนึ่งของเมือง หลังจากที่ฉินส่าวชิงและเลี่ยหยางนำคนมากมายเดินทางกลับมา พวกเขาก็เริ่มพูดคุยกันด้วยท่าทางที่ไม่สบอารมณ์อย่างเห็นได้ชัด
“บัดซบ ครานี้เจ้าอวี้โม่รอดไปอีกจนได้!”
ภายในจวนเจ้าเมือง เลี่ยหยางตบโต๊ะเสียงดังด้วยความโกรธเกรี้ยวอย่างมาก
“เจ้าเฮยรองกล่าวว่าอวี้โม่ยังอยู่ในเมืองวารีมายามิใช่รึ? เหตุใดนางจึงกลับมาเร็วเช่นนี้?”
สีหน้าของเจ้าเมืองฉินเองก็เคร่งเครียดมากเช่นกัน ทว่าเขาก็ไม่สบอารมณ์กับเฮยรองจากเมืองวารีมายาอย่างที่สุด เห็นทีว่าเฮยรองผู้นั้นมิได้เตรียมข้อมูลล่าสุดเพื่อแจ้งพวกเขา
“อวี้โม่ผู้นี้มีพลังมหาศาลและตัวตนก็ลึกลับยิ่งนัก ข้าไม่รู้จักผู้ใดที่สามารถเดินทางข้ามเมืองกลับมาได้อย่างรวดเร็วถึงเพียงนี้ สิ่งที่ข้ากังวลคือในช่วงเวลานี้นางจะช่วยให้ความแข็งแกร่งของชนเผ่าเมฆาครามเพิ่มขึ้นต่อไป และเมื่อชนเผ่าเมฆาครามแข็งแกร่งจนถึงจุดหนึ่ง มันจะเป็นภัยต่อชนเผ่าเพลิงคำรามและจวนเจ้าเมืองของพวกเรา”
เลี่ยหยางกล่าวสิ่งที่เขากังวลมากที่สุดในเวลานี้
เมื่อได้ยินความกังวลของผู้นำชนเผ่าเพลิงคำราม ฉินส่าวชิงก็ขมวดคิ้วเล็กน้อยและพยักศีรษะเบาๆ เขาเองก็กังวลถึงเรื่องนี้เช่นกัน ฉินอวี้โม่ประหลาดผิดมนุษย์มากเกินไปจนเขาต้องการกำจัดให้ได้โดยเร็วที่สุด
“ดูเหมือนว่าข้าต้องพาผู้ช่วยมาแล้วล่ะ แม้ว่าพลังอำนาจของเราจะไม่อ่อนแอ ทว่ามันก็ไม่ง่ายนักที่จะจัดการกับเจ้าชายชราเจ้าเล่ห์ซูวั่งชวนและชนเผ่าเมฆาคราม”
ฉินส่าวชิงคิดวิธีโต้ตอบไว้แล้วและกล่าวออกไป
เมื่อได้ยินเช่นนั้น สีหน้าของเลี่ยหยางก็ฉายแววความพึงพอใจเล็กน้อย เขาทราบดีว่า ‘ผู้ช่วย’ ที่ฉินส่าวชิงกล่าวถึงคือผู้ใด หากผู้ช่วยเหล่านั้นลงมือ ต่อให้ฉินอวี้โม่มีสามเศียรหกกร นางก็ต้องตายอย่างแน่นอน
ฉินส่าวชิงจรดปากกาเขียนจดหมายทันทีก่อนสั่งให้ลูกน้องของเขานำมันออกไปนอกเมืองและมุ่งหน้าตรงไปยังเมืองมายาอย่างรวดเร็ว
อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ฉินส่าวชิงและเลี่ยหยางไม่อาจล่วงรู้คือฉินอวี้โม่ได้เตรียมแผนการที่จะจัดการกับพวกเขาไว้แล้วในขณะที่พวกเขาเพิ่งคิดหาวิธีการรับมือและเริ่มดำเนินการ
ฉินอวี้โม่พักผ่อนอยู่ในชนเผ่าเมฆาครามนานสามวัน ในช่วงสามวันนี้ จูเฟยชวี่ก็ได้เดินทางมาที่นี่เพื่อพูดคุยหารือเรื่องแผนการก่อนที่จะกลับไปจัดเตรียมทุกอย่างที่ชนเผ่าวิหคโบยบิน และในเช้าตรู่ของวันที่สี่ นางก็ขับเคลื่อนคฤหาสน์เฟิงหัวมุ่งหน้าตรงไปยังชนเผ่าวิหคโบยบินเช่นกัน
แน่นอนว่าซูวั่งชวนและคนอื่นๆก็อยู่กับนางด้วย
เมื่อพวกเขามาถึงที่ชนเผ่าวิหคโบยบิน ทุกคนก็เริ่มเตรียมความพร้อมอย่างรวดเร็ว
ฉินอวี้โม่เริ่มจากการจัดเตรียมคฤหาสน์เฟิงหัวให้เป็นคฤหาสน์ที่ดูเรียบง่ายก่อนสั่งให้มารยาวางข่ายอาคมหลายชนิดเพื่อทำให้ ‘ซากปรักหักพังปลอม’ ดูสมจริงมากขึ้น
จากนั้นนางก็พาฉู่เจี๋ยผู้ซึ่งยังไม่ฟื้นออกมาจากคฤหาสน์เฟิงหัวและนำร่างของเขาไปไว้ในสถานที่ปลอดภัยภายในชนเผ่าวิหคโบยบิน
ในวันที่เจ็ด ข่าวก็ถูกเผยแพร่ออกไปโดยระบุว่าซากปรักหักพังที่ถูกทิ้งไว้โดยผู้ใช้ข่ายอาคมฝีมือฉกาจได้ปรากฏขึ้นในภูเขาด้านหลังชนเผ่าวิหคโบยบิน
ข่าวสารไม่ได้แพร่งพรายไปอย่างรวดเร็วนักเพื่อป้องกันมิให้คนจากเมืองอื่นทราบเรื่องนี้
อย่างไรก็ตาม ฉินอวี้โม่และสหายชนเผ่าเมฆาครามวางแผนนี้ไว้สำหรับฉินส่าวชิงและเลี่ยหยาง แน่นอนว่าข่าวนี้ไปถึงหูทั้งสองก่อนใคร
“อะไรนะ ชนเผ่าวิหคโบยบินค้นพบซากปรักหักพังงั้นรึ?!”
ในตอนที่ได้ยินข่าว ฉินส่าวชิงกำลังฝึกยุทธ์อย่างสงบและเลี่ยหยางเป็นคนพรวดเข้ามาแจ้งข่าวเรื่องนี้ให้เขาได้ทราบ
“ใช่แล้ว ข่าวนี้แพร่ไปทั่วแล้ว กล่าวกันว่ามันเป็นซากปรักหักพังของผู้ใช้ข่ายอาคมฝีมือฉกาจ ข้าคิดว่าที่นั่นจะต้องมีสมบัติดีๆอยู่มากเป็นแน่”
เลี่ยหยางพยักศีรษะก่อนกล่าวออกไป ในตอนแรกที่ได้ยินข่าว เขาเองก็กังวลว่ามันจะเป็นข่าวปลอม ดังนั้นเขาจึงส่งคนออกไปสืบหาข้อมูลและได้รับการยืนยันว่ามีซากปรักหักพังที่ถูกค้นพบในชนเผ่าวิหคโบยบินจริงๆ
“เหอะ ไม่น่าเชื่อเลยว่าชนเผ่าวิหคโบยบินที่เก็บตัวเงียบไม่สุงสิงมาตลอดจะแอบสำรวจค้นหาซากปรักหักพังอยู่อย่างลับๆ ไม่แปลกใจเลยที่พวกเขาก่อตั้งชนเผ่าในที่ห่างไกลเช่นนั้น แท้ที่จริงพวกเขาก็ทราบเรื่องนี้มาก่อนแล้ว”
เจ้าเมืองฉินแค่นเสียงในลำคอและกล่าวข้อสันนิษฐานอันชาญฉลาดของตนเอง
“ท่านเจ้าเมือง ซากปรักหักพังที่ว่านั่นจะต้องมีสมบัติมากมายเป็นแน่ ถึงอย่างไรชนเผ่าวิหคโบยบินก็ใช้ความพยายามอย่างมากเพื่อค้นหามัน เราจะปล่อยให้พวกเขาครอบครองสมบัติทั้งหมดไปไม่ได้เด็ดขาด มิฉะนั้น หากพลังความแข็งแกร่งของชนเผ่าวิหคโบยบินเพิ่มขึ้น กอปรกับชนเผ่าเมฆาครามที่ตอนนี้มีพลังอำนาจที่น่าหวั่นเกรงอยู่แล้วนั้น เราจะเสียอำนาจในการควบคุมเมืองเพลิงมายาอย่างแน่นอน”
เลี่ยหยางกล่าวด้วยใบหน้าเคร่งเครียด เดิมทีขุมกำลังอันดับหนึ่งในเมืองเพลิงมายาคือชนเผ่าเพลิงคำราม ทว่าด้วยเหตุการณ์ต่างๆที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง บัดนี้เขารู้สึกว่าความแข็งแกร่งของชนเผ่าเพลิงคำรามด้อยกว่าชนเผ่าเมฆาครามเสียอีก หากว่าชนเผ่าวิหคโบยบินพัฒนาและแข็งแกร่งขึ้นเช่นกัน ตำแหน่งของชนเผ่าเพลิงคำรามก็จะต้องสั่นคลอนเป็นแน่ นอกจากนี้ ชนเผ่าเพลิงคำรามก็มีทัศนคติที่ไม่ดีต่อชนเผ่าเมฆาครามและวิหคโบยบิน หากทั้งสองขุมกำลังผนึกกำลังกัน มันจะเป็นภัยครั้งใหญ่ต่อชนเผ่าเพลิงคำราม!
ยิ่งไปกว่านั้น เขาก็สงสัยใคร่รู้เกี่ยวกับสมบัติในซากปรักหักพังเป็นอย่างมาก เขาเชื่อว่าฉินส่าวชิงก็สนใจไม่ต่างกันและจะไม่พลาดโอกาสได้ครอบครองสมบัติเหล่านั้นอย่างแน่นอน
“เจ้าพูดถูก ส่งคนไปสืบหาความคืบหน้าของสถานการณ์และดูว่าคนของชนเผ่าวิหคโบยบินเข้าไปสำรวจข้างในซากปรักหักพังแล้วหรือยัง”
ฉินส่าวชิงพยักศีรษะด้วยความสนใจ แน่นอนว่าเขาไม่มีทางปล่อยให้ชนเผ่าวิหคโบยบินได้สมบัติทั้งหมดในซากปรักหักพังไปครองอย่างแน่นอน
“ท่านเจ้าเมือง ข้าสืบข้อมูลมาอย่างชัดเจนแล้ว กล่าวกันว่าชนเผ่าวิหคโบยบินเพิ่งค้นพบซากปรักหักพังนี้และยังไม่ได้เข้าไปสำรวจมัน ดูเหมือนว่าพวกเขาวางแผนที่จะเข้าไปในอีกสามวันข้างหน้า คนของชนเผ่าเราแฝงตัวอยู่ในชนเผ่าวิหคโบยบินแล้ว ข้าจึงได้รับข่าวสารมาอย่างรวดเร็ว”
เลี่ยหยางสืบหาเบาะแสเรื่องนี้ก่อนแล้วและบอกทุกอย่างกับฉินส่าวชิงอย่างละเอียด
ฉินส่าวชิงพยักศีรษะพร้อมรอยยิ้ม “หากเป็นเช่นนั้นก็ไม่มีอะไรที่ต้องเป็นห่วง เราจะขอเข้าไปในซากปรักหักพังพร้อมกับชนเผ่าวิหคโบยบิน ข้าเชื่อว่าผู้นำจูจะไม่ปฏิเสธ”
เขาเข้าใจดีว่าชนเผ่าวิหคโบยบินเป็นอย่างไร ก่อนหน้านี้พวกเขาไม่ยอมจำนนต่อผู้นำฉินเหยียนและคิดต่อต้าน ทว่าในตอนแรกที่เขามาถึงที่เมืองเพลิงมายาแห่งนี้ เขาก็ทำการปราบปรามจนควบคุมชนเผ่าวิหคโบยบินไว้ได้ ตลอดหลายปีที่ผ่านมานี้ ชนเผ่าวิหคโบยบินก็เอาแต่เก็บตัวและไม่สุงสิงกับผู้ใด แม้ว่าคนเหล่านั้นไม่ปฏิบัติตามหรือเชื่อฟังคำพูดของเขา พวกเขาก็จะไม่ปฏิเสธโดยตรง
เพราะเหตุนั้นฉินส่าวชิงจึงตัดสินใจที่จะขอเข้าไปที่ซากปรักหักพังในฐานะเจ้าเมือง เมื่อถึงตอนนั้น ต่อให้จูเฟยชวี่ไม่พอใจ เขาก็คงไม่กล้าคัดค้าน
น่าเสียดายที่ฉินส่าวชิงไม่ทราบเลยว่าจูเฟยชวี่คาดเดาความคิดของเขาไว้ตั้งแต่ต้นจึงจงใจปล่อยข่าวเช่นนั้นออกไป ผู้นำชนเผ่าวิหคโบยบินต้องการให้ฉินส่าวชิงและเลี่ยหยางติดกับและเข้าไปเป็นกลุ่มแรก เมื่อถึงตอนนั้นพวกเขาก็จะปิดประตูตีหมาตามแผนการ
* 关门打狗 ปิดประตูตีหมา ตรงกับสุภาษิตไทยว่าปิดประตูตีแมว
“เอาล่ะ ทุกอย่างก็ขึ้นอยู่กับการดำเนินการของท่านเจ้าเมือง”
เลี่ยหยางพยักศีรษะทว่าก็ขมวดคิ้วเล็กน้อยและกล่าวด้วยความสงสัย “ทว่า..มันจะมีแผนการสมคบคิดใดๆอยู่หรือไม่?”
ไม่ทราบเช่นกันว่าเพราะเหตุใดจู่ๆเลี่ยหยางจึงรู้สึกกังวลเช่นนี้ เขารู้สึกว่าการที่ซากปรักหักพังปรากฏขึ้นมาอย่างกะทันหันถือเป็นเรื่องที่แปลกประหลาดไม่น้อยเลย
“ไม่ต้องห่วง ต่อให้มีแผนการสมคบคิดจริงๆ การที่จะจัดการกับพวกเราก็มิใช่เรื่องง่าย ยิ่งไปกว่านั้น หากจูเฟยชวี่กล้ากระทำสิ่งใดบุ่มบ่าม ข้าจะรายงานต่อผู้นำฉินเหยียนโดยตรงและให้ผู้นำส่งคนมาทำลายชนเผ่าวิหคโบยบินเสีย ข้าเชื่อว่าจูเฟยชวี่ต้องคิดพิจารณาให้ดีก่อนที่จะทำสิ่งใด”
ฉินส่าวชิงไม่สนใจแม้แต่น้อย เขาทราบดีว่าจูเฟยชวี่เป็นคนอย่างไร คนผู้นั้นระมัดระวังและรอบคอบเป็นอย่างยิ่ง อีกทั้งยังรักชนเผ่าวิหคโบยบินมากกว่าสิ่งใด เขาไม่กล้าทำสิ่งใดที่จะก่อให้เกิดอันตรายกับชนเผ่าอย่างแน่นอน
เลี่ยหยางพยักศีรษะเบาๆ เขาเองก็พอจะรู้ลักษณะนิสัยของผู้นำชนเผ่าวิหคโบยบินเช่นกัน อย่างไรก็ตาม หัวใจของเขายังคงมีความกังวลที่สลัดออกไปไม่ได้
“อีกอย่าง จับตาดูการเคลื่อนไหวของชนเผ่าเมฆาครามไว้ด้วยล่ะ หากพวกเขาไม่ไปก็พยายามรวบรวมพวกเขามาให้ได้ เมื่อถึงตอนนั้นหากจูเฟยชวี่มีแผนการใดที่ซ่อนไว้ เราจะสามารถรับมือได้”
ฉินส่าวชิงไตร่ตรองครู่หนึ่งและสั่งให้เลี่ยหยางจับตาดูการเคลื่อนไหวของซูวั่งชวนและคนอื่นๆไม่ให้คลาดสายตา
เขาไม่มีทางคิดได้เลยว่าชนเผ่าเมฆาครามและชนเผ่าวิหคโบยบินจะร่วมมือกันตั้งแต่ต้น ต่อให้ชนเผ่าวิหคโบยบินไม่เชิญชวน พวกเขาก็จะไปที่นั่นอย่างแน่นอน ยิ่งไปกว่านั้น พวกเขาจะทำให้เจ้าเมืองฉินและเลี่ยหยางประหลาดใจอย่างที่คาดไม่ถึง
เลี่ยหยางรับคำสั่งและออกไปอย่างรวดเร็ว
เวลานี้ฉินอวี้โม่อยู่ที่ชนเผ่าวิหคโบยบินแล้ว ทุกอย่างเตรียมการไว้พร้อมและเพียงแค่รอให้ปลามากินเหยื่อเท่านั้น!
.