คุณหนูสี่ สตรีเปื้อนเลือด - ตอนที่ 440 ทำลายความสงบ
เทพอสูรประจำทิศทั้งสี่ถูกล้อมรอบโดยจอมยุทธ์ทั้งหลายในภูเขาอเวจีแห่งนี้ แม้ว่าพวกมันมีพลังที่แข็งแกร่ง แต่บรรดามนุษย์จำนวนมากที่เข้าล้อมรอบก็ไม่อ่อนแอเช่นกัน เพราะเหตุนั้นสถานการณ์จึงตกอยู่ในสภาวะชะงักงันไปชั่วขณะ
ฉินอวี้โม่ผู้ซึ่งมิได้ก้าวออกไปร่วมวงการโจมตีและพักอยู่ด้านข้างมีสีหน้าที่ราบเรียบอย่างผิดปกติ นางเพียงยืนอย่างเงียบ ๆ ขณะมองดูการเคลื่อนไหวของทุกฝ่าย
เมื่อเปรียบเทียบสถานการณ์ทั้งหมด กองทหารหงเฟิงและกลุ่มของฉินหวยถือว่าผ่อนคลายมากที่สุด
ทั้งสองกลุ่มมีจอมยุทธ์ฝีมือดีจำนวนมากและการประสานร่วมกันก็เป็นไปได้อย่างราบรื่น มังกรฟ้าและหงส์แดงถูกล้อมรอบไว้อย่างแน่นหนาจนทำได้เพียงตั้งรับป้องกันโดยไม่มีโอกาสโจมตีกลับ
ในขณะเดียวกัน สีหน้าของฉินจินจากเมืองทองมายาและฉินขุยจากเมืองไม้มายาก็แสดงถึงความตึงเครียดอย่างเห็นได้ชัด จริงอยู่ที่ว่าพวกเขาทั้งสองถือว่ามีพลังที่ไม่ธรรมดาและมีคนฝีมือดีอยู่ในแต่ละฝ่าย อย่างไรก็ตาม ทั้งสองฝ่ายก็ไม่คิดจะทุ่มเทอย่างเต็มที่ตั้งแต่ต้นและเพียงโจมตีอย่างไม่ใส่ใจนัก
สถานการณ์ดำเนินไปอย่างเรื่อย ๆ เช่นนั้นจนกระทั่งพยัคฆ์ขาวพ่นก้อนแสงที่ทรงอำนาจออกมาจำนวนหนึ่ง พวกเขาจึงเริ่มจริงใจและเร่งมือมากขึ้น พวกเขาไม่กล้าสงวนท่าทีอีกต่อไปและพยายามโจมตีอย่างสุดความสามารถ
แม้ว่าพยัคฆ์ขาวจะมีพลังอยู่ในระดับพสุธาเซียน ทว่าสุดท้ายแล้วมันก็เป็นเพียงร่างพลังมายาที่มีความแข็งแกร่งเพียงในระดับหนึ่งเท่านั้น ด้วยความพยายามร่วมมือกันของฉินจินและฉินขุย มันจึงรับมือกับพวกเขาได้ไม่ง่ายนัก
ในทางกลับกัน จอมยุทธ์อิสระคนอื่น ๆ ก็สร้างความประทับใจให้ฉินอวี้โม่พอสมควร ภายใต้การจัดการและควบคุมของบุรุษนามว่าเฉิงห่าวซวน จอมยุทธ์อิสระที่มีความคิดแตกต่างกันก็ทำงานร่วมกันจนสามัคคีและเป็นหนึ่งเดียวกันภายในเวลาเพียงไม่นาน
ด้วยการชี้นำและการบัญชาการของเฉิงห่าวซวน เต่าดำลึกลับก็ถูกล้อมรอบไว้อย่างแน่นหนาและการต่อสู้ก็ดำเนินต่อไปโดยปราศจากอันตรายร้ายแรงใด ๆ
“บุรุษนามว่าเฉิงห่าวซวนมีพรสวรรค์ที่ใช้ได้เลยทีเดียว”
ซูน่าสังเกตเห็นสถานการณ์ตรงหน้าเช่นกัน นางพยักศีรษะด้วยความพึงพอใจและกล่าวชื่นชมเฉิงห่าวซวน
ฉินอวี้โม่ยิ้มบาง ๆ พลางคิดในใจว่าหากมีโอกาส นางจะต้องทาบทามเขามาให้ได้ ด้วยความแข็งแกร่งและพลังของเฉิงห่าวซวน หากเข้ามาอยู่ฝ่ายเดียวกับพวกนาง เขาจะมีส่วนช่วยได้มากอย่างแน่นอน
ตู้ม !
ทันใดนั้น เสียงดังสนั่นก็ปะทุออกมา ฉินอวี้โม่หันขวับไปยังทิศต้นเสียงทันทีและพบเพียงแต่พลังของหงส์แดงที่ค่อย ๆ สลายหายไป และร่างของมันก็กำลังจางหายไปบนอากาศเช่นกัน
“กองทหารหงเฟิงช่างทรงพลังยิ่งนัก ไม่แปลกใจเลยที่แม้แต่ฉินเหยียนก็รู้สึกหวั่นเกรงพวกเขา”
กองทหารหงเฟิงกำจัดอสูรมายาในส่วนของตนเองซึ่งก็คือหงส์แดงได้ก่อนใครและฉินอวี้โม่ไม่แปลกใจเลยสักนิด นี่เป็นสิ่งที่นางคาดการณ์ไว้แล้ว ในเมื่อกองทหารลึกลับนี้เป็นขุมกำลังที่ทำให้ฉินเหยียนรู้สึกหวั่นเกรงได้ ความแข็งแกร่งของพวกเขาจะต้องไม่ธรรมดาอย่างแน่นอน
ฉินหวยผู้ซึ่งกำลังต่อสู้กับมังกรฟ้าก็เริ่มขมวดคิ้วเล็กน้อย เขาไม่คาดคิดว่ากองทหารหงเฟิงจะเอาชนะศัตรูได้อย่างง่ายดายเช่นนี้
ยิ่งไปกว่านั้น ผู้บัญชาการของกองทหารหงเฟิงก็ยังไม่ได้เริ่มลงมือเลยด้วยซ้ำ ฉินหวยและคนอื่น ๆ ไม่ได้ทราบถึงพลังของผู้บัญชาการที่ลึกลับนี้อย่างแน่ชัด ทว่าพวกเขารู้สึกได้ว่าพลังของหัวหน้ากองทหารจะต้องเหนือชั้นกว่าตนเองอย่างแน่นอน อย่างน้อยที่สุดพลังของเขาก็น่าจะอยู่ในขอบเขตเซียนขั้นเก้า
“ดูเหมือนว่าจุดอ่อนของมังกรฟ้าจะอยู่ที่หางของมัน”
จู่ ๆ ซูวั่งชวนก็กล่าวออกไป หลังจากการต่อสู้ชั่วขณะ เขาค้นพบว่ามีบางอย่างผิดปกติเกี่ยวกับมังกรฟ้า มังกรทรงพลังตรงหน้ามักจะคุ้มกันส่วนหางของตนโดยสัญชาตญาณและใช้ส่วนอื่นเพื่อโจมตีทุกคน
เมื่อได้ยินวาจาของซูวั่งชวน ฉินหวยและคนอื่น ๆ ก็หันมองหน้ากันก่อนแผ่คลื่นพลังแรงกล้าออกไปโดยไม่ลังเล จากนั้นกระบวนท่าทรงพลังก็ก่อตัวตรงหน้าพวกเขาและพุ่งเป้าไปที่หางของมังกรโดยตรง
“โร่ววววว…”
มังกรฟ้าไม่สามารถหลบหลีกได้ทันและหางของมันถูกโจมตีอย่างจัง มันส่งเสียงร้องดังโหยหวนด้วยความเจ็บปวดในขณะที่ลมหายใจอ่อนแรงลงเล็กน้อย
“แหลกสลายไปซะ !”
เลี่ยหยางแค่นเสียงเย็นชาและโจมตีตรงไปที่หางมังกรเช่นกัน
ตู้ม !
เสียงระเบิดบางอย่างปะทุขึ้นมาและมังกรฟ้าตรงหน้าทุกคนก็สูญสลายหายไปในอากาศ ในที่สุดพวกเขาก็เอาชนะมันได้
อย่างไรก็ตาม เลี่ยหยางในคราบฉินส่าวชิงไม่ได้สังเกตเห็นแม้แต่น้อยว่าในตอนที่เขาร่ายกระบวนท่าโจมตี ผู้บัญชาการกองทหารหงเฟิงที่มองดูอยู่ด้านข้างก็ขมวดคิ้วมุ่นทันที
“เหอะ ในที่สุดก็จบลง หากไม่มีการย้ำเตือนจากสหายน้อยอวี้โม่ พวกเราก็คงจะต้องใช้ความพยายามอย่างมากในการจัดการกับเทพอสูรประจำทิศพวกนี้”
จูเฟยชวี่ยิ้มมุมปากเล็กน้อยขณะกลับมาอยู่ข้างฉินอวี้โม่พร้อมด้วยซูวั่งชวนและคนอื่น ๆ
“นั่นก็จริง หากไม่มีสหายน้อยอวี้โม่ ต่อให้พวกเราทั้งหมดร่วมมือกันก็คงจะจัดการกับอสูรทั้งสี่ไม่ได้ง่ายเช่นนี้”
ฉินหวยยิ้มพลางกล่าวด้วยน้ำเสียงแห่งความซาบซึ้งใจที่มีต่อนาง
ตู้ม !
เสียงคล้ายระเบิดดังขึ้นอีกครั้งและทุกคนมองเห็นเต่าดำตรงหน้าเฉิงห่าวซวนที่ค่อย ๆ สลายหายไปโดยที่ใบหน้าของพวกเขาแสดงถึงความโล่งอกโล่งใจ
ทว่าในเวลานี้ก็มีเพียงในส่วนของพยัคฆ์ขาวเท่านั้นที่ยังเอาชนะไม่ได้
“บัดซบ ! เหตุใดพวกเขาจึงจัดการได้เร็วนัก !?”
เมื่อเห็นว่าการต่อสู้ในอีกสามทิศเสร็จสิ้นแล้ว สีหน้าของฉินจินก็บิดเบี้ยวเหยเกทันทีและกระบวนท่าโจมตีของเขารวดเร็วยิ่งขึ้น
“เหอะ ผู้นำฉินจินจงใจปกปิดพลังของตนเองงั้นรึ ?”
ฉินขุยแค่นเสียงเย็นชาและกระบวนท่าโจมตีของเขาก็รวดเร็วขึ้นเช่นกัน
“ฮ่า ๆ ๆ ข้าก็อยากจะถามเจ้าเมืองไม้มายาเช่นกันว่าปิดบังพลังที่แท้จริงรึไม่ ?”
ฉินจินยกยิ้มมุมปาก แม้ว่าทั้งสองจะกำลังพูดคุยกัน ทว่าการเคลื่อนไหวของพวกเขาก็ไม่ได้หยุดลงเลย หนำซ้ำยังรวดเร็วกว่าเดิมมาก
เวลานี้มีผู้คนมากมายที่กำลังจับตาดูพวกเขาทั้งสองอยู่ หากจัดการปลิดชีวิตเจ้าพยัคฆ์ขาวนี้ไม่ได้โดยเร็ว เจ้าเมืองทั้งสองคงจะกลายเป็นตัวตลกต่อหน้าทุกคน
ตู้ม !
การโจมตีของฉินจินกระแทกเข้าที่หางของพยัคฆ์ขาวอย่างรุนแรง
“โฮกกกกก !”
พยัคฆ์ขาวส่งเสียงคำรามดังสนั่นและลำตัวของมันเริ่มพร่าเลือนเป็นภาพมายาก่อนค่อย ๆ หายสาบสูญไปในอากาศ
ฉินจินและฉินขุยถอนหายใจด้วยความโล่งอกทันที จากนั้นพวกเขาก็กลับไปปรากฏตรงข้ามฉินหวยและคณะอย่างรวดเร็ว
“อสูรมายาทั้งสี่ก็ถูกจัดการไปแล้ว เหตุใดทางเข้าของซากปรักหักพังจึงยังไม่ปรากฏขึ้นมา ?”
ใครคนหนึ่งหันมองไปรอบ ๆ เมื่อไม่พบความเปลี่ยนแปลงใด ๆ เขาจึงเอ่ยถามด้วยความสงสัยใคร่รู้
“รอสักประเดี๋ยวเถอะ ไม่ต้องกังวล”
ฉินอวี้โม่กล่าวเพื่อไม่ให้คนผู้นั้นกังวลจนออกนอกหน้าเกินไป นางสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายที่แปลกประหลาด และหากไม่มีสิ่งใดผิดพลาด ซากปรักหักพังของสุดยอดผู้ใช้ข่ายอาคมจะปรากฏขึ้นมาอย่างแน่นอน
ทุกคนนั่งเงียบและใช้ความคิดกับตัวเองนานหนึ่งก้านธูป ทว่าทันใดนั้นกลุ่มเมฆาสีทะมึนก็เคลื่อนตัวเข้าไปปกคลุมเหนือศีรษะของทุกคนและบรรยากาศทั่วทั้งบริเวณเริ่มเลวร้ายลง ยิ่งไปกว่านั้นก็ยังเกิดลมกระโชกพัดผ่านภูเขาอเวจีอย่างแรงจนหลายคนเริ่มรู้สึกอึดอัดใจ
“ดูนั่นสิ นั่นมันอะไรกัน !?”
ทันใดนั้น เสียงใครคนหนึ่งก็ดังขึ้นขณะมองไปยังจุดหนึ่งด้วยดวงตาเบิกกว้างและอุทานด้วยความตกใจ
ทุกคนตวัดสายตามองตามทิศทางนั้นไปทันทีและพบว่ามีสะพานแขวนปรากฏขึ้นโดยไม่รู้ตัว ในอีกฟากหนึ่งของสะพานแขวนดังกล่าวคือประตูทางเข้าที่ดูเป็นประกายสะดุดตา
เดิมทีไม่มีสิ่งใดอยู่ที่ริมหน้าผาของภูเขาอเวจี ทว่าจู่ ๆ สะพานแขวนเชื่อมไปสู่ทางเข้านี้ก็ปรากฏขึ้นมา เป็นธรรมดาที่ใครหลายจะตื่นเต้นตกใจไม่น้อย
“นั่นจะต้องเป็นทางเข้าของซากปรักหักพังแน่ ๆ ทุกคนไปเร็วเข้า !”
ใครคนหนึ่งตอบสนองเป็นคนแรก เขาไม่รอช้าและพุ่งตรงไปยังทางเข้าดังกล่าวทันที เขาไม่คิดที่จะเดินไปตามสะพานแขวนนั้นแม้แต่น้อย ทว่าเลือกที่จะเหาะข้ามไปโดยตรง
“อ๊ากกกก !”
อย่างไรก็ตาม ก่อนเข้าใกล้ทางเข้า จู่ ๆ เสียงกรีดร้องก็ดังขึ้น จากนั้นจอมยุทธ์คนดังกล่าวก็ดูเหมือนเสียการควบคุมไปเสียดื้อ ๆ และร่วงตกหน้าผาจนหายไปจากทัศนวิสัยของทุกคน
“สะพานแขวนนี้แปลกประหลาดจริง ๆ ดูเหมือนว่าจะไม่มีทางเหาะข้ามมันไปได้ ทำได้เพียงแค่เดินตรงผ่านสะพานไปเท่านั้น”
ฉินอวี้โม่สัมผัสได้ถึงความผิดปกติของสะพานแขวนประหลาดนี้ทันที นางขมวดคิ้วมุ่นพร้อมกล่าวออกไป
เป็นจริงดังที่คิดไว้ไม่มีผิด ซากปรักหักพังของสุดยอดผู้ใช้ข่ายอาคมเต็มไปด้วยเรื่องลึกลับและแปลกพิกล ที่นั่นอาจมีภยันตรายอยู่ทั่วบริเวณและเล่ห์เหลี่ยมกลไกต่าง ๆ ก็ไม่เคยเป็นไปตามหลักการโดยทั่วไป
เมื่อได้ยินคำอธิบายของฉินอวี้โม่ หลายคนที่กระตือรือร้นจะพุ่งตัวออกไปก่อนหน้านี้ก็ถึงกับชะงักและระแวดระวังมากขึ้น
“เหอะ ในเมื่อไม่มีใครเข้าไป พวกเราก็จะเข้าไปก่อน”
เมื่อเห็นว่าไม่มีใครต้องการล่วงหน้าเข้าไปก่อน ฉินจินก็แค่นเสียงเย็นชาและเดินตรงไปที่สะพานแขวนพร้อมด้วยสมาชิกเมืองทองมายาทั้งหลาย
หลังจากก้าวขึ้นมาบนสะพานแขวน มันก็เกิดการสั่นไหวบนสะพานเล็กน้อยและมันก็เหมือนจะไม่แข็งแรงนัก อย่างไรก็ตาม หลังจากผู้คนของเมืองทองมายาข้ามสะพานไปถึงอีกฟากได้ มันก็ไม่เกิดสิ่งผิดปกติใด ๆ สะพานแขวนมิได้แสดงให้เห็นถึงสัญญาณของความเสียหายใด ๆ ในทางกลับกันมันกลับดูแข็งแรงอย่างไม่น่าเชื่อ
ฉินจินลังเลเล็กน้อยเมื่อเดินตรงไปหยุดหน้าประตูที่ส่องประกายเจิดจ้า เขาหันหลังกลับมาสบตาฉินอวี้โม่และคนอื่น ๆ ก่อนกัดฟันแน่นและตัดสินใจก้าวเข้าไป
เหล่าชาวเมืองทองมายาก็ไม่รอช้าและเดินตามเข้าไปโดยเร็ว
เมื่อไม่รู้สึกถึงความผิดประหลาดใด คนอื่น ๆ ก็เตรียมพร้อมที่จะเดินหน้าออกไปเช่นกัน
ฉินขุยก็ไม่ได้สนใจฉินหวยและคนอื่น ๆ อีก เขาพร้อมด้วยชาวเมืองไม้มายาก็มุ่งหน้าเดินข้ามสะพานแขวนโดยเร็วและเข้าไปในประตูลึกลับนั้น
ผู้อาวุโสฉินหวยและคนอื่น ๆ ก็มองหน้ากันก่อนตามไปอย่างใกล้ชิดโดยลืมคณะของฉินอวี้โม่ไปเสียสนิท
เมื่อเห็นฉินหวยและคนอื่น ๆ ผ่านประตูทางเข้าของซากปรักหักพังเข้าไป ฉินอวี้โม่ก็โล่งใจขึ้นมา นางไม่ต้องการอยู่ร่วมกับฉินหวยและพวก การที่พวกเขาเหล่านั้นเข้าไปก่อนก็ถือเป็นเรื่องดีสำหรับนาง
หลังจากฉินหวยและคนอื่น ๆ ก้าวเข้าไป บนแท่นสูงเวลานี้ก็ยังเหลือสมาชิกจากสามขุมกำลัง
กลุ่มแรกคือกองทหารหงเฟิงซึ่งยังไม่ขยับเขยื้อน อีกกลุ่มหนึ่งคือเหล่านักผจญภัยและจอมยุทธ์อิสระที่นำโดยเฉิงห่าวซวน ส่วนกลุ่มสุดท้ายก็คือฉินอวี้โม่และคณะสหาย
“ฮ่า ๆ ๆ จอมยุทธ์อวี้โม่ ไม่ทราบว่าข้าจะไปกับท่านได้รึไม่ ?”
จู่ ๆ เฉิงห่าวซวนก็ก้าวออกมาข้างหน้าและมายืนข้างฉินอวี้โม่ เขายิ้มบาง ๆ และกล่าวด้วยน้ำเสียงเปี่ยมไปด้วยความเคารพ
ซากปรักหักพังของสุดยอดผู้ใช้ข่ายอาคมนี้น่าจะมีข่ายอาคมอยู่มากมาย ทว่าในบรรดาจอมยุทธ์อิสระเหล่านี้ไม่มีผู้ใช้ข่ายอาคมแม้แต่คนเดียว หากได้ออกสำรวจไปกับฉินอวี้โม่ พวกเขาก็ย่อมที่จะปลอดภัยมากกว่า
ต้องยอมรับเลยว่าเฉิงห่าวซวนผู้นี้มีไหวพริบดีและมีปัญญาเป็นเลิศอย่างแท้จริง
“เหอะ ไปกับพวกนั้นน่ะรึ ? เราไปกันก่อนเถอะ”
จู่ ๆ คน ๆ หนึ่งก็ก้าวออกมาจากกลุ่มของจอมยุทธ์อิสระ เขามิใช่ใครอื่นใด หากแต่เป็นเฮยรองที่มีเรื่องบาดหมางใจกับฉินอวี้โม่และซูวั่งชวนนั่นเอง
เขาชำเลืองมองฉินอวี้โม่และซูวั่งชวนด้วยแววตาดุดันไม่เป็นมิตร จากนั้นก็นำคนของตนเองก้าวขึ้นไปบนสะพานแขวนมุ่งหน้าเข้าสู่ซากปรักหักพัง
เฉิงห่าวซวนไม่ได้หยุดคนเหล่านั้นไว้ เขาเองก็ไม่ชอบหน้าเฮยรองอยู่แล้วเช่นกัน
“ฮ่า ๆ ๆ ตราบใดที่จอมยุทธ์เฉิงห่าวซวนไม่รังเกียจ เราก็ไม่มีปัญหา”
ฉินอวี้โม่กล่าวพร้อมรอยยิ้มเล็ก ๆ เดิมทีนางก็ต้องการทาบทามและซื้อใจเฉิงห่าวซวนและคนอื่น ๆ อยู่แล้ว ในเมื่ออีกฝ่ายเข้าหานางก่อนเช่นนี้ นางก็ไม่มีเหตุผลที่จะต้องปฏิเสธ
เมื่อได้ยินวาจาของสตรีจอมยุทธ์ เฉิงห่าวซวนก็ยิ้มอย่างเป็นมิตรและพยักศีรษะอย่างพึงพอใจ
“เช่นนั้นเราเข้าไปกันเถอะ”
เลี่ยหยางกล่าวพร้อมรอยยิ้มบาง ๆ และเดินตรงไปยังทางเข้าซากปรักหักพัง ทว่าเมื่อเดินผ่านผู้บัญชาการของกองทหารหงเฟิง จู่ ๆ ฉินอวี้โม่ก็ได้กลิ่นอายที่คุ้นเคยจากร่างของเขา ทว่าแม้จะพยายามครุ่นคิดแค่ไหน นางก็นึกไม่ออกเลย
“พวกเราก็เข้าไปกันเถอะ”
เมื่อฉินอวี้โม่และคนอื่น ๆ เข้าไป ผู้บัญชาการกองทหารลึกลับก็กล่าวขึ้นเบา ๆ ก่อนที่พวกเขาทั้งหมดจะมุ่งหน้าก้าวเข้าสู่ซากปรักหักพัง