คุณหนูสี่ สตรีเปื้อนเลือด - ตอนที่ 452 รอเวลา
หลังออกจากซากปรักหักพัง ทุกคนก็กลับสู่ถิ่นฐานเดิมของตนเองตามการดำเนินการของฉินอวี้โม่
พวกเขาทุกคนมิได้แสดงให้ผู้ใดเห็นถึงความผิดปกติใด ๆ และพวกเขายังดำเนินชีวิตไปอย่างสงบสุขเหมือนก่อน เพียงแต่ความขัดแย้งและการต่อสู้ระหว่างเมืองใหญ่ทั้งหลายลดน้อยลงกว่าเดิมมาก แม้ว่าจะมีข้อพิพาทเกิดขึ้นเป็นครั้งคราว มันก็เป็นเพียงการจงใจแสดงตบตาเท่านั้น
หลังจากฉินหวยและคนอื่น ๆ กลับไปยังเมืองของตนเองตามคำสั่งของฉินอวี้โม่ พวกเขาก็ได้รายงานต่อฉินเหยียนว่าพวกเขาได้ปะทะกับกองทหารหงเฟิงและทำให้ฝ่ายตรงข้ามบาดเจ็บสาหัส อีกทั้งยังเผชิญกับความสูญเสียที่ร้ายแรง นอกจากนี้พวกเขาก็ยังนำสมบัติจำนวนมากจากซากปรักหักพังไปมอบให้กับฉินเหยียนเพื่อความแนบเนียน อย่างไรก็ตาม ของเหล่านั้นเป็นเพียงสมบัติธรรมดาทั่วไปและแน่นอนว่าสิ่งที่สำคัญอย่างแท้จริงมิได้ถูกมอบให้กับฉินเหยียน
แม้ฉินเหยียนจะรู้สึกตงิดใจเล็กน้อย ทว่านางก็ไม่ค้นพบสิ่งใดที่ผิดปกติเลย นางจึงคิดว่าตนเองคงจะคิดมากเกินไป ถึงแม้ว่านางจะรู้สึกผิดหวังอยู่ไม่น้อยที่ไม่มีข่าวคราวใด ๆ เกี่ยวกับเทพมายาในการสำรวจซากปรักหักพังครานี้ ทว่านางก็ยังส่งคนออกไปสืบข่าวเกี่ยวกับเทพมายาคนใหม่ต่อไป
แน่นอนว่าฉินอวี้โม่ไม่ได้เผยพิรุธใด ๆ นางกลับไปที่ชนเผ่าเมฆาครามและอาศัยอยู่ที่นั่นโดยใช้ชีวิตประจำวันเหมือนก่อน
ภายในเวลารวดเร็วราวกับชั่วพริบตา เวลาก็ผ่านไปเกือบหนึ่งปีแล้ว และบุตรตัวน้อยทั้งสองของนางก็ใกล้ที่จะมีอายุครบหนึ่งปี
ตลอดเวลาเกือบหนึ่งปีที่ผ่านมา นอกเหนือจากการฝึกยุทธ์ ฉินอวี้โม่ก็ใช้เวลาส่วนใหญ่ไปกับการดูแลบุตรทั้งสอง
คู่แฝดชายหญิงเติบโตขึ้นมาก เสี่ยวอ้ายฉือสามารถทรงตัวยืนได้เองและก้าวเดินได้เล็กน้อยอย่างเซไปเซมา ในขณะที่เสี่ยวอ้ายโม่เปล่งวาจาได้บางคำและเอ่ยเรียกนางว่า ‘แม่’ ได้แล้ว
เมื่อฉินอวี้โม่ได้ยินเสียงเรียกเป็นครั้งแรกจากเสี่ยวอ้ายโม่ นางก็แทบจะบ่อน้ำตาแตกด้วยความตื้นตันและตื่นเต้น ไม่คิดเลยว่าการเป็นแม่คนจะทำให้นางมีความสุขอย่างเปี่ยมล้นถึงเพียงนี้
“อวี้โม่ อีกสามวันเจ้าหนูน้อยทั้งสองก็จะมีอายุครบหนึ่งปีแล้ว เราจะต้องจัดงานเลี้ยงฉลองกัน”
ป้าหลานกำลังเย้าแหย่เสี่ยวอ้ายฉือผู้ซึ่งกำลังหัดเดินอย่างทุลักทุเลด้วยรอยยิ้มประดับบนใบหน้า ตลอดเวลาหนึ่งปีที่ผ่านมา นางก็ให้การดูแลเจ้าหนูน้อยทั้งสองอย่างเต็มที่จนแทบไม่ได้สนใจการฝึกยุทธ์ของตนเองเลย
แน่นอนว่าฉินอวี้โม่ซาบซึ้งใจกับการกระทำของป้าหลานอย่างที่สุด หากไม่มีป้าหลานคอยช่วยดูแล ด้วยการที่นางไม่มีประสบการณ์เลยสักนิด การดูแลทารกทั้งสองคนก็คงจะน่าปวดหัวไม่น้อยเลย
“เมื่ออายุครบหนึ่งขวบก็จะต้องมีการทำพิธีจวาโจวสินะ”
* พิธีครบขวบ จวาโจว (抓周) จัดเมื่อเด็กอายุครบขวบโดยมื้อกลางวันมีการรับประทานหมี่อายุมั่นขวัญยืน จากนั้นผู้ใหญ่ในบ้านจะวางข้าวของที่ใช้ในการเสี่ยงทายไว้บนเตียงนอนหรือบนถาดน้ำชา หากเป็นเด็กผู้ชายก็จะวางคัมภีร์ต่าง ๆ ของจีน พุทธคัมภีร์ กระดาษ พู่กัน ตราประทับ จานฝนหมึก ลูกคิด สมุดบัญชี ของเล่นหรืออาหาร หากเป็นเด็กผู้หญิงก็จะวางช้อน ส้อม กรรไกร ไม้บรรทัด และเครื่องมือเย็บปักถักร้อยต่าง ๆ ไว้ ผู้ใหญ่จะอุ้มเด็กและให้เด็กเลือกหยิบของที่ตนเองถูกใจ แล้วทำการทำนายอนาคตเด็กจากของสิ่งนั้น การเสี่ยงทายเช่นนี้อาจมีไว้เพื่อสร้างความรื่นเริงให้แก่ครอบครัวที่มีเด็กเกิดใหม่ เมื่อเสร็จพิธีครบขวบก็เป็นอันสิ้นสุดพิธีเกี่ยวกับการเกิด
ฉินอวี้โม่จำได้จากตำราว่าเมื่อเด็กเกิดใหม่อายุครบหนึ่งปี พวกเขาจะต้องทำพิธีจวาโจวเพื่อให้ครบพิธีการเกิด แม้ตัวนางเป็นคนสมัยใหม่และมองว่าพิธีครบขวบนี้มีไว้เพียงเพื่อความรื่นเริงสนุกสนาน ทว่าหากมีธรรมเนียมปฏิบัติเช่นนี้ นางก็ไม่รังเกียจที่จะดำเนินตามรอยเพื่อสร้างความสนุกสนานรื่นเริงเช่นกัน
“ฮ่า ๆ ๆ ถูกต้อง อ้ายฉือและอ้ายโม่ทั้งเงียบและไม่ดื้อมากนัก ข้าสงสัยยิ่งนักว่าทั้งสองจะเลือกสิ่งใดในพิธีจวาโจว”
ป้าหลานกล่าวพร้อมรอยยิ้ม ธรรมเนียมปฏิบัติเช่นนี้มีอยู่จริง ก่อนหน้านี้นางยังไม่ได้เอ่ยสิ่งใดเพราะกังวลว่าฉินอวี้โม่จะมองว่ามันยุ่งยาก ทว่าครานี้ฉินอวี้โม่เป็นฝ่ายเสนอขึ้นมาก่อนเอง
“ถ้าเช่นนั้นเนื่องในวันคล้ายวันเกิดของเจ้าหนูทั้งสอง เราจะจัดงานเลี้ยงฉลองที่สร้างความรื่นเริงให้กับผู้คนทั่วทั้งเมืองเพลิงมายา”
หลังจากหยุดชั่วคราว ฉินอวี้โม่ก็กล่าวต่อ “เวลาก็ผ่านมาเกือบหนึ่งปีแล้ว ไม่รู้เลยว่าความแข็งแกร่งของพวกเขาจะคืบหน้ากันไปถึงไหนแล้ว”
“ฮ่า ๆ ๆ ไม่ว่าจะคืบหน้าหรือพัฒนาเพียงใดก็ไม่มากเท่าเจ้าหรอก”
ป้าหลานหัวเราะคิกคักและถอนหายใจเบา ๆ บัดนี้ฉินอวี้โม่มีความแข็งแกร่งอยู่ในขอบเขตเซียนขั้นหกแล้ว อีกทั้งยังเข้าใกล้ขอบเขตเซียนขั้นเจ็ดเต็มที นางอดถอนหายใจให้กับพรสวรรค์อันน่าทึ่งนี้ไม่ได้ อย่างไรก็ตาม นางมองเห็นความพยายามและทุ่มเทของฉินอวี้โม่เช่นกัน นางจึงไม่แปลกใจกับความสำเร็จในปัจจุบันของฉินอวี้โม่
ฉินอวี้โม่ยิ้มตอบโดยไม่เอ่ยวาจาใด ความแข็งแกร่งในปัจจุบันของนางพัฒนาขึ้นมากจริง ๆ ภายในเวลาเกือบหนึ่งปีที่ผ่านมา อสูรมายาของนางก็เผชิญกับทัณฑ์สายฟ้าไปตาม ๆ กัน และหลังจากที่ผ่านพ้นทัณฑ์สายฟ้า พวกมันทั้งหมดก็กลายเป็นอสูรเซียน
การทะลวงระดับพลังของอสูรมายาทั้งหลายเหล่านี้ก็ส่งผลประโยชน์ต่อนางเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งคือหลังจากหานอวี้ข้ามผ่านการลงทัณฑ์สายฟ้าแปดขั้นไปได้ซึ่งทำให้นางทะลวงพลังก้าวกระโดดมาถึงระดับสูงสุดของขอบเขตเซียนขั้นหก นางต้องใช้เวลาพักใหญ่ในการปรับสภาวะพลังให้คงที่และก็พึงพอใจอย่างยิ่งในเวลาเดียวกัน เวลานี้นางเพียงต้องรวมตัวกับคนอื่น ๆ เพื่อหารือเวลาที่เหมาะสมในการเดินทางไปที่เมืองมายา
“เราควรเชิญฉินขุย ฉินจินและฉินเฟิงด้วยรึไม่ ?”
ป้าหลานยิ้มและกำลังจะออกไปเตรียมการ ทว่าก่อนออกไป นางเอ่ยถามความเห็นของฉินอวี้โม่
“อย่าเลย หากใกล้ชิดสนิทสนมกันเกินไป มันอาจทำให้ฉินเหยียนนึกสงสัยอย่างไม่อาจเลี่ยงได้”
ฉินอวี้โม่ส่ายศีรษะเบา ๆ นางเชื่อว่าการเก็บตัวและไม่กระทำสิ่งใดโจ่งแจ้งคือสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับตอนนี้
ป้าหลานเห็นด้วยและออกไปเตรียมความพร้อมเพื่อส่งคนไปแจ้งเลี่ยหยาง จูเฟยชวี่และคนอื่น ๆ จากนั้นนางก็หารือกับซูวั่งชวนและสวี่ซิ่ว รวมถึงคนอื่น ๆ เพื่อเตรียมความพร้อม
ณ วันที่เจ้าหนูน้อยทั้งสองอายุครบหนึ่งขวบ จูเฟยชวี่ เลี่ยหยางและคนอื่น ๆ ก็เดินทางมายังชนเผ่าเมฆาครามตั้งแต่เช้าตรู่พร้อมของขวัญที่พวกเขาเตรียมไว้แล้ว
ฉินอวี้โม่มีความสุขอย่างยิ่งเมื่อได้ยินว่าพวกเขามาถึง นางอุ้มบุตรทั้งสองและออกไปต้อนรับพวกเขาด้วยตัวเอง
“ฮ่า ๆ ๆ ไม่พบกันเสียนาน ดูเหมือนว่าความแข็งแกร่งของอวี้โม่จะพัฒนาขึ้นมาก”
เมื่อได้พบกับฉินอวี้โม่ จูเฟยชวี่ก็อดถอนหายใจเบา ๆ ไม่ได้ เขาสัมผัสได้ว่าพลังของอวี้โม่ในตอนนี้เหนือกว่าตนเองเสียอีก
“ฮ่า ๆ ๆ เจ้าหนูทั้งสองก็ตัวโตขึ้นมาก”
เลี่ยหยางมองแฝดชายหญิงในอ้อมแขนของฉินอวี้โม่และคลี่ยิ้มอย่างมีความสุข
“มาสิ นี่คือของขวัญวันเกิดที่ข้าเตรียมไว้ให้ ถึงแม้ข้าทราบดีว่าแม่ของพวกเจ้าไม่ขาดแคลนสิ่งใด สิ่งนี้ก็เป็นของขวัญจากใจของข้า”
เลี่ยหยางยื่นของที่เตรียมไว้ให้กับฉินอ้ายฉือและหานอ้ายโม่
ทั้งสองหัวเราะคิกคักและยื่นมือเล็ก ๆ ออกไปรับของด้วยท่าทางมีความสุขอย่างที่สุด
จูเฟยชวี่ก็ยื่นแหวนมิติสองวงที่เตรียมไว้ให้กับเด็กทั้งสองเช่นกัน ภายในนั้นคือของขวัญที่เขาเตรียมไว้แล้ว
แน่นอนว่าฉินอวี้โม่ไม่ปฏิเสธน้ำใจของพวกเขาเหล่านี้ แม้ว่าสำหรับนางแล้วของขวัญที่จูเฟยชวี่และเลี่ยหยางมอบให้นั้นจะไม่ได้มีค่ามากนัก อย่างไรก็ตาม นี่ก็มาจากความจริงใจของพวกเขาและนางไม่มีทางปฏิเสธ
“ขอบคุณท่านทั้งสองแทนลูกของข้าด้วยเจ้าค่ะ”
ฉินอวี้โม่กล่าวพร้อมรอยยิ้มและขอบคุณพวกเขาแทนเจ้าหนูน้อยทั้งสอง
“ฮ่า ๆ ๆ ไม่ต้องสุภาพมากนักหรอก”
เลี่ยหยางอดยิ้มออกมาไม่ได้ เขายื่นมือออกไปรับเสี่ยวอ้ายฉือมาอุ้มและหยอกเย้าด้วยความเอ็นดู
จูเฟยชวี่เองก็รับเสี่ยวอ้ายโม่มาอุ้มเช่นกัน สีหน้าของเขาในเวลานี้เปี่ยมด้วยความประคบประหงมเอาใจ พวกเขาทั้งสองแสดงความรักและเอ็นดูต่อเด็กแฝดทั้งสองอย่างยิ่ง
“ขอดูหน่อยเถอะว่าหลาน ๆ ของข้าน่ารักน่าชังแค่ไหนแล้ว”
แม้อยู่ในระยะที่ห่างออกไป เสียงของซูน่าก็ดังมาถึงฉินอวี้โม่ จากนั้นซูน่าในอาภรณ์สีแดงสดก็วิ่งโร่เข้ามาอย่างรวดเร็วพร้อมรอยยิ้มกว้าง
ตลอดช่วงเกือบหนึ่งปีที่ผ่านมา นางและอาอู่ออกไปท่องโลกฝึกยุทธ์ด้วยกัน เมื่อนับวันเวลาและพบว่าใกล้ถึงวันครบรอบวันเกิดของหลานตัวน้อยทั้งสอง พวกนางจึงรีบกลับมาอย่างรวดเร็ว
ซูน่าเดินตรงเข้าไปหาเลี่ยหยางและจูเฟยชวี่เพื่อรับเจ้าหนูน้อยทั้งสองมาอุ้มไว้และกอดด้วยความคิดถึงทีละคน
“เสี่ยวอ้ายฉือ เสี่ยวอ้ายโม่ พวกเจ้ายังจำน้าคนนี้ได้ไหม ?”
ซูน่าจรดริมฝีปากแนบแก้มจ้ำม่ำของตัวน้อยทั้งสองด้วยความรักและเอ็นดูอย่างที่สุด
“อี๋~ อี๋…”
*姨 อี๋ แปลว่าน้าสาว
เมื่อเสียงเรียกคำว่า ‘น้า’ จากเสี่ยวอ้ายโม่ดังขึ้น ซูน่าก็ยิ้มกว้างด้วยความดีใจสุดขีด
“อวี้โม่ เจ้าได้ยินรึไม่ ? เสี่ยวอ้ายโม่เรียกข้า”
ซูน่าไม่รอฟังคำตอบของฉินอวี้โม่ด้วยซ้ำขณะกล่าวกับเสี่ยวอ้ายโม่และเสี่ยวอ้ายฉือ “หอมแก้มน้าเร็วเข้า”
เสี่ยวอ้ายโม่และเสี่ยวอ้ายฉือหัวเราะคิกคักจนตาหยีและขยับริมฝีปากประทับแก้มของซูน่าอย่างเบา ๆ
“เอาล่ะ เจ้าเพิ่งกลับมา ไปล้างตัวและเปลี่ยนเสื้อผ้าอาภรณ์ก่อนเถอะ อีกประเดี๋ยวแขกน่าจะมาถึงกันแล้ว”
ฉินอวี้โม่กล่าวกับซูน่าผู้ซึ่งมีสีหน้าแสดงถึงความสุขอย่างชัดเจนก่อนรับเด็กทั้งสองกลับมาในอ้อมแขน
“เข้าใจแล้ว ข้าจะรีบไปรีบมา”
ซูน่ารีบวิ่งออกไปด้วยท่าทางกระตือรือร้นอย่างที่สุด
“อาอู่ ความแข็งแกร่งของเจ้าก็พัฒนาขึ้นมากและเจ้าก็โตขึ้นมากเช่นกัน”
ฉินอวี้โม่กล่าวขึ้นพร้อมรอยยิ้มเมื่อมองไปยังอาอู่ผู้ซึ่งยืนนิ่งใจเย็นด้วยใบหน้าที่เผยเพียงรอยยิ้มบาง ๆ
เมื่อได้ยินคำชมของพี่สาวอีกคน แน่นอนว่าอาอู่ย่อมมีความสุขอย่างยิ่ง เขามองเด็กน้อยทั้งสองด้วยแววตาลังเลเล็กน้อย
“มาสิ มาอุ้มเจ้าหนูน้อยทั้งสอง”
แววตาท่าทีลังเลของอาอู่ทำให้ฉินอวี้โม่คาดเดาความคิดของเขาได้ นางจึงกล่าวเชิญชวนให้เขาลองอุ้มบุตรทั้งสองในอ้อมแขน
“เสี่ยวอ้ายฉือ เสี่ยวอ้ายโม่ นี่คือน้าอาอู่”
ฉินอวี้โม่กล่าวกับบุตรทั้งสองเบา ๆ เด็กน้อยดูจะมีความจำดีและนางเชื่อว่าทั้งสองจำอาอู่ได้อย่างแน่นอน
“จิ๊บ… จิ๊บ…”
ดูเหมือนว่าเสี่ยวอ้ายโม่พยายามส่งเสียงเรียก ‘น้า’ ทว่ามันกลับกลายเป็นเสียงร้องของวิหคจนทุกคนอดหัวเราะพรวดไม่ได้
*舅舅 จิ้วจิ่ว แปลว่าน้าชาย
“เราออกไปข้างนอกกันเถอะ หลายคนเริ่มมารอกันแล้ว”
จู่ ๆ ซูวั่งชวนก็เดินเข้ามา ชาวเมืองเพลิงมายาส่วนใหญ่มาถึงกันแล้วและกำลังรอพบกับฉินอวี้โม่
เมื่อทราบเช่นนั้น ฉินอวี้โม่และทุกคนก็เดินออกไปด้วยกัน
นางอุ้มเสี่ยวอ้ายฉือไว้ในอ้อมกอด ในขณะที่เสี่ยวอ้ายโม่ดูจะชื่นชอบอาอู่เป็นพิเศษและยังคงหัวเราะคิกคักชอบใจอยู่ในอ้อมแขนของเขา
ณ ทุ่งหญ้าข้างนอก นางและคนอื่น ๆ ได้เห็นใบหน้าที่คุ้นเคยมากมาย
เมื่อเห็นฉินอวี้โม่และคนอื่น ๆ มาถึง พวกเขาก็ยืนขึ้นทันทีและยิ้มทักทาย
ฉินอวี้โม่ทักทายพวกเขาเหล่านั้นทีละคนก่อนหาที่นั่งของตนเอง
ชาวชนเผ่าเมฆาครามวุ่นอยู่กับการเตรียมอาหารมื้อเที่ยงและพวกเขาต้องให้การต้อนรับแขกเป็นอย่างดี
หลังจากหายไปครู่ใหญ่ ซูน่าก็กลับมาอีกครั้ง นางรับเสี่ยวอ้ายฉือจากอ้อมแขนของฉินอวี้โม่และไปอยู่ข้างอาอู่ผู้ซึ่งอุ้มเสี่ยวอ้ายโม่ไว้ ทั้งสองเล่นสนุกด้วยกันอย่างมีความสุข
“ผ่านไปเกือบหนึ่งปีแล้ว ความแข็งแกร่งของทุกคนก็เพิ่มขึ้นมาก ข้าคิดว่าพวกเราใกล้ที่จะพร้อมกันแล้ว”
ฉินอวี้โม่สัมผัสได้ถึงพลังของทุกคนโดยรวมและตระหนักว่าภายในเวลาไม่ถึงหนึ่งปีที่ผ่านมา ทุกคนแข็งแกร่งขึ้นอย่างมาก
“พวกเราต่างก็พร้อมกันแล้ว รอเพียงให้ท่านเทพมายาออกคำสั่ง และเราจะเริ่มดำเนินการทันที”
ทุกคนพยักศีรษะอย่างพร้อมเพรียง สีหน้าของพวกเขาในเวลานี้แสดงถึงความมั่นใจอย่างเต็มเปี่ยม
พวกเขาพร้อมสำหรับ ‘ภารกิจสำคัญ’ แล้ว ไม่ว่าหนทางข้างหน้าจะมีอุปสรรคขวากหนามยากลำบากเพียงใด พวกเขาก็ไม่หวาดหวั่นแม้แต่น้อย
เมื่อเห็นแววตามั่นใจของทุกคน ฉินอวี้โม่ก็พยักศีรษะด้วยความพึงพอใจ แม้ไม่ทราบว่าการเตรียมตัวของทุกคนเป็นอย่างไร นางก็เชื่อว่าพวกเขาคงจะเตรียมตัวกันเป็นอย่างดี
บัดนี้พวกเขารอเพียงเวลาเท่านั้น…เวลาที่เหมาะสม…เวลาที่จะประจันหน้ากับฉินเหยียน
“ฮ่า ๆ ๆ ครึกครื้นดีจริงเชียว เหตุใดถึงไม่เรียกพวกเรามาด้วยเล่า ?”
ในขณะที่สนทนาพูดคุยกันอยู่นั้น เสียงหัวเราะของคนหลายคนก็ดังขึ้นในหูของทุกคนอย่างชัดเจน จากนั้นใบหน้าของหลายคนที่คุ้นเคยก็ปรากฏให้เห็นตรงหน้า
.
.