คุณหนูสี่ สตรีเปื้อนเลือด - ตอนที่ 454 เข้ารับตำแหน่ง
ณ เมืองมายา เมืองที่มีชีวิตชีวาอย่างยิ่งและมีผู้คนเข้าออกอยู่ตลอดเวลา
ทว่าในเวลานี้ ฉินหวยและคนอื่น ๆ กำลังยืนอยู่ข้างหน้าประตูเมืองด้วยใบหน้าที่แสดงถึงความประหม่ากังวล
“พี่สาม เหตุใดจอมยุทธ์อวี้โม่ถึงยังไม่มาอีกล่ะ ?”
เซวียเม่ยเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงที่แสดงถึงความกังวล จนกระทั่งตอนนี้ นางยังคงไม่ชอบหน้าฉินอวี้โม่เท่าไหร่นัก ทว่าเนื่องจากกล่าวสัตย์ปฏิญาณและหลั่งเลือดสาบานไปแล้ว เซวียเม่ยก็มิใช่คนทรยศหรือไร้สัจจะ ต่อให้มีความคิดขุ่นเคืองใจ นางก็เห็นแก่ประโยชน์ของฉินอวี้โม่พอสมควร
“นี่ก็ผ่านมาครึ่งเดือนแล้วนับตั้งแต่ได้รับข่าว เหตุใดพวกเขาจึงยังมาไม่ถึงกัน ?”
อีกคนกล่าวด้วยความฉงนสงสัย เขาไม่เข้าใจเลยว่าฉินอวี้โม่ต้องการทำสิ่งใดกันแน่ เหตุใดจู่ ๆ นางจึงต้องการมาที่เมืองมายาเพื่อรับตำแหน่งประธานสมาคมผู้ฝึกสัตว์อสูร ?
“ไม่ต้องห่วง ในเมื่อนางตัดสินใจเช่นนั้นแล้ว นางก็ย่อมมีแผนการของตนเองอยู่ ตราบใดที่พวกนางมาถึง เราก็จะได้เข้าใจเอง ยิ่งไปกว่านั้น ด้วยการคุ้มครองของฉินเฟิง มันจะไม่มีเรื่องร้ายใด ๆ เกิดขึ้นกับนาง”
ฉินหวยยิ้มอย่างจนปัญญาขณะกล่าวกับหลายคนที่ยังงุนงงและไม่เข้าใจ
เขาเองก็ไม่เข้าใจนักว่าเหตุใดจู่ ๆ ฉินอวี้โม่จึงเสนอที่จะเดินทางมายังเมืองมายาเพื่อรับตำแหน่งประธานสมาคมผู้ฝึกสัตว์อสูรเช่นนี้ เวลานี้ทุกคนทราบตรงกันแล้วว่าในอีกไม่นาน เบื้องบนจะส่งคนมาที่โลกมายา การที่นางเดินทางมาที่นี่เพื่อรับตำแหน่งประธานสมาคมผู้ฝึกสัตว์อสูรในครานี้จะไม่เป็นการที่แกะเดินเข้าปากเสือหรอกหรือ ?
อย่างไรก็ตาม ฉินหวยเชื่อมั่นในตัวฉินอวี้โม่ แม้ว่าเคยพบกันเพียงไม่กี่ครั้ง เขาก็มั่นใจในพลังและความแข็งแกร่งของฉินอวี้โม่อย่างยิ่ง การตัดสินใจทำเช่นนี้ของนางจะต้องมีเหตุผลรองรับอยู่อย่างแน่นอน เพียงแต่พวกเขายังไม่เข้าใจเหตุผลนั้น
“ขอโทษที่ทำให้ท่านทั้งหลายต้องรอนาน”
ขณะที่พวกเขาพูดคุยกันอยู่นั้น ทุกคนก็มองเห็นร่างที่คุ้นเคยสองร่างปรากฏตรงหน้า
“สหายน้อยอวี้โม่ ฉินเฟิง ปล่อยให้พวกเรารอนานเชียว”
เมื่อเห็นฉินอวี้โม่และฉินเฟิง ฉินหวยและคนอื่น ๆ ก็กล่าวทักทายทันที
“มีบางอย่างเกิดขึ้นระหว่างทางและทำให้พวกเราล่าช้า ข้าขออภัยด้วย”
ฉินอวี้โม่ยิ้มและอธิบายอย่างสั้น ๆ ตามแผนการเดินทางเดิม นางและฉินเฟิงควรมาถึงที่นี่ภายในเวลาเจ็ดวัน อย่างไรก็ตาม ในระหว่างการเดินทางก็เกิดเหตุการณ์บางอย่างจนส่งผลให้นางล่าช้าไปหลายวัน
“ผู้อาวุโสฉินหวย พาพวกเราไปพบฉินเหยียนก่อนเถอะ และข้าจะบอกแผนการกับท่านในภายหลัง”
ฉินอวี้โม่ยิ้มเล็กน้อยและบอกให้ฉินหวยนำนางไปพบกับฉินเหยียน—ผู้ปกครองของโลกมายาคนปัจจุบัน
“เจ้าจะเข้าไปแบบนี้เลยรึ ?”
จู่ ๆ เซวียเม่ยก็กล่าวออกไป
เมื่อได้ยินวาจาของนาง ฉินอวี้โม่ก็ชะงักไปเล็กน้อยและเอ่ยถาม “แล้วข้าควรเข้าไปอย่างไรรึ ?”
เซวียเม่ยจ้องหน้าสตรีตรงหน้าและกล่าวอย่างเย็นชา “สิ่งที่ฉินเหยียนไม่ชอบมากที่สุดคือสตรีที่งดงามกว่านาง แม้เป็นข้าเอง นางก็ไม่ค่อยชอบหน้าข้าเท่าไหร่นัก หากเจ้าเข้าไปเช่นนี้ ไม่เพียงแต่การรับตำแหน่งประธานสมาคมผู้ฝึกสัตว์อสูรจะล้มเหลวเท่านั้น ทว่าฉินเหยียนอาจหาทางสร้างปัญหาที่น่าปวดหัวให้กับเจ้า”
เมื่อเห็นรอยยิ้มบาง ๆ ของฉินอวี้โม่ เซวียเม่ยก็กล่าวต่อ “เหอะ อย่าคิดว่าข้าเป็นห่วงเจ้าล่ะ ข้าก็แค่กลัวว่าจะมีบางอย่างเกิดขึ้นกับเจ้าและทำให้แผนการของเราล้มเหลว อย่าคิดไปไกลเชียวล่ะ”
หลังจากกล่าวจบ นางก็ไม่พูดอะไรต่อและสะบัดหน้าหันหลังมุ่งหน้าตรงไปในทิศทางของจวนเจ้าเมือง
“สหายน้อยอวี้โม่ เซวียเม่ยมีนิสัยแบบนี้มาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว โปรดอย่าถือสานางเลย”
สำหรับท่าทีและทัศนคติของผู้เป็นดั่งน้องสาว ฉินหวยเองก็จนปัญญาเช่นกัน นางมีนิสัยใจคอเช่นนี้มาตลอด การที่นางเอ่ยวาจาและควบคุมตัวเองได้ถึงระดับนี้ทำให้เขารู้สึกดีมากแล้ว
“ข้าคิดว่าสิ่งที่เซวียเม่ยกล่าวมาก็ถูก หากข้าเข้าไปเช่นนี้ เกรงว่าฉินเหยียนคงจะไม่พอใจแน่”
ฉินอวี้โม่ส่ายศีรษะและยิ้มมุมปากเล็กน้อย
“ผู้อาวุโสฉินหวย ข้าขอตัวเข้าไปในคฤหาสน์เฟิงหัวก่อน”
ก่อนที่ฉินหวยจะเอ่ยตอบสิ่งใด ฉินอวี้โม่ก็หายวับไปจากตรงหน้าเขาเสียแล้ว
“ไปกันเถอะ เรามุ่งหน้าไปยังจวนเจ้าเมืองก่อน อวี้โม่น่าจะตามเรามาได้ทัน”
ฉินเฟิงยิ้มบาง ๆ ก่อนเดินนำไปข้างหน้า
ฉินหวยและคนอื่น ๆ ออกเดินตามไปอย่างรวดเร็ว พวกเขาไม่กังวลเกี่ยวกับฉินอวี้โม่อีกต่อไป
ทว่าภายในเวลาไม่ถึงหนึ่งก้านธูป ฉินอวี้โม่ก็ปรากฏกายตรงหน้าทุกคนอีกครา
อย่างไรก็ตาม ฉินอวี้โม่ผู้นี้ไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป บัดนี้นางดูเหมือนสตรีผู้มีรูปลักษณ์ธรรมดาทั่วไป อย่างมากนางก็มีกลิ่นอายที่พิเศษบางอย่างทว่าก็มิได้โดดเด่นสะดุดตาจนเกินไป
จากนั้นกลุ่มของคณะเดินทางก็เข้าสู่จวนเจ้าเมืองและมุ่งหน้าตรงไปยังห้องโถงทันที
“ฉินหวย ประธานอวี้โม่มาถึงแล้วรึ ?”
เวลานี้ฉินเหยียนกำลังนั่งรอการมาถึงของฉินอวี้โม่และคณะ เมื่อเห็นทุกคนเดินเข้ามา นางก็ลุกขึ้นยืนและกล่าวพร้อมรอยยิ้ม
“ท่านผู้นำฉินเหยียน นี่คืออวี้โม่—ผู้ฝึกสัตว์อสูรระดับเทวะที่ข้าเคยกล่าวไว้ก่อนหน้านี้”
ฉินหวยยิ้มและกล่าวแนะนำฉินอวี้โม่ซึ่งอยู่ด้านหลัง
เมื่อเห็นรูปลักษณ์ของฉินอวี้โม่ ฉินเหยียนก็ชะงักไปเล็กน้อย
เหตุใดสตรีรูปลักษณ์ธรรมดาไม่โดดเด่นผู้นี้จึงมีกลิ่นอายบางอย่างที่ไม่สอดคล้องกับรูปลักษณ์ของนางกัน ?
“เจ้าคืออวี้โม่—ผู้ฝึกสัตว์อสูรระดับเทวะอย่างนั้นรึ ?”
ฉินเหยียนกล่าวขึ้นเบา ๆ และไม่ปกปิดความทะนงตนในตำแหน่งที่สูงกว่าของตน
“ถูกต้อง ข้าเอง”
แน่นอนว่าฉินอวี้โม่ไม่หวาดหวั่นใด ๆ นางเพียงยิ้มมุมปากและกล่าวตอบด้วยสีหน้าเรียบเฉย
“มีข่าวลือกันว่าเจ้าเป็นหญิงงามล่มเมืองมิใช่รึ ? แล้วเหตุใดข้าจึงคิดว่าเจ้ามีรูปลักษณ์ที่ธรรมดา ๆ เพียงเท่านั้น”
ฉินเหยียนเอ่ยข้อสงสัยออกไปตามตรง นางจำได้ดีถึงข่าวลือหนาหูที่กล่าวกันว่า ‘อวี้โม่’ คือสตรีผู้มีรูปลักษณ์งดงามสะเทือนทั้งใต้หล้า และคิดว่าหากเป็นดั่งข่าวลือเหล่านั้นจริง นางจะหาเรื่องให้อีกฝ่ายต้องเผชิญช่วงเวลาที่ยากลำบากอย่างแน่นอน อย่างไรก็ตาม สตรีผู้ที่ปรากฏตรงหน้าในเวลานี้กลับมิใช่อย่างที่จินตนาการไว้แม้แต่น้อย
“ฮ่า ๆ ๆ ท่านกล่าวเองว่ามันเป็นข่าวลือ แน่นอนว่าข่าวลือมักเชื่อถือไม่ได้”
ฉินอวี้โม่ยิ้มและสัมผัสได้ถึงการหยั่งเชิงในน้ำเสียงของฉินเหยียน นางตอบกลับอย่างไม่อ่อนน้อมหรือทะนงตนเกินไป ในฐานะผู้ฝึกสัตว์อสูรระดับเทวะ นางไม่จำเป็นต้องแสดงความเคารพต่อฉินเหยียนมากเกินไป
“ข้าได้ยินว่าเจ้าเป็นถึงผู้ฝึกสัตว์อสูรระดับเทวะใช่รึไม่ ? ดูแล้วเจ้ายังเยาว์วัยนัก ด้วยความสำเร็จในระดับนี้ ข้าเชื่อว่าเจ้าคงจะมีอาจารย์ที่ทรงพลังอย่างมาก”
ฉินเหยียนเอ่ยถามอีกครั้งด้วยน้ำเสียงลองเชิงไม่เปลี่ยนแปลง
“ผู้อาวุโสฉินหวยบอกอะไรท่านผู้นำฉินเหยียนเกี่ยวกับเรื่องนี้อย่างนั้นรึ ?”
ฉินอวี้โม่แสร้งแสดงท่าทีงุนงงขณะมองฉินหวยสลับกับฉินเหยียน
เมื่อเห็นท่าทางของนาง ฉินเหยียนก็ไม่สงสัยและไม่พยายามหยั่งเชิงเพื่อทดสอบสิ่งใดอีก
“ฮ่า ๆ ๆ จอมยุทธ์อวี้โม่ ในเมื่อเจ้าเป็นถึงผู้ฝึกสัตว์อสูรระดับเทวะ แน่นอนว่าเจ้าก็มีคุณสมบัติเพียงพอที่จะเป็นประธานสมาคมผู้ฝึกสัตว์อสูรของเราได้ ในอนาคตข้างหน้า ข้าเชื่อว่าเจ้าจะทำให้สมาคมผู้ฝึกสัตว์อสูรของเรารุ่งเรืองขึ้นและมีส่วนช่วยในการพัฒนาโลกมายาของเราอย่างแน่นอน”
การมีผู้ฝึกสัตว์อสูรระดับเทวะเข้าร่วมสมาคมจะพัฒนาความแข็งแกร่งโดยรวมได้เป็นอย่างมาก นี่เป็นสิ่งที่ดีสำหรับฉินเหยียนและนางจะไม่พลาดโอกาสนี้อย่างแน่นอน
ยิ่งไปกว่านั้น ฉินอวี้โม่ก็เป็นเพียงสตรีธรรมดาคนหนึ่ง ต่อให้จะมีความแข็งแกร่งพอสมควร ทว่าก็ยังด้อยกว่านางมากนัก
ต้องกล่าวเลยว่าความมั่นใจในตัวเองของฉินเหยียนก็สมเหตุสมผลในระดับหนึ่ง
ฉินเหยียนผู้นี้ไม่เพียงแต่ทรงพลังและมีสถานะที่สูงส่งเท่านั้น ทว่านางยังมีใบหน้าที่งดงามอย่างน่าทึ่ง แม้แต่เซวียเม่ยก็ยังด้อยกว่าอย่างเห็นได้ชัดเมื่อเทียบกับนาง
รูปลักษณ์ของฉินอวี้โม่หลังจากปลอมตัวก็ดูธรรมดากว่าเซวียเม่ยมากและเทียบกับฉินเหยียนไม่ได้เลยสักนิด
“แน่นอน ข้าจะช่วยพัฒนาให้โลกมายาของเราแข็งแกร่งขึ้นอย่างแน่นอน”
ฉินอวี้โม่กล่าวพร้อมรอยยิ้ม เพราะถึงอย่างไร ในไม่ช้าก็เร็วโลกมายาแห่งนี้ก็จะตกเป็นของนาง แน่นอนว่านางย่อมต้องการพัฒนาให้โลกมายาแข็งแกร่งขึ้นเรื่อย ๆ
“ฮ่า ๆ ๆ ดีเลย หากเป็นเช่นนั้น ผู้อาวุโสฉินหวย พาประธานอวี้โม่ไปที่สมาคมเถอะ”
“ขอรับ ท่านผู้นำฉินเหยียน”
ฉินหวยพยักศีรษะรับคำและผายมือเชิญฉินอวี้โม่มุ่งหน้าตามไป
“ฉินเฟิง รอประเดี๋ยว ข้ามีบางอย่างจะคุยด้วย”
เดิมทีฉินเฟิงต้องการเดินตามไปเช่นกันทว่าถูกฉินเหยียนเอ่ยรั้งไว้ เขาขมวดคิ้วเล็กน้อยทว่าพยักหน้าให้กับฉินอวี้โม่และหยุดเดิน เขาเองก็อยากได้ยินว่าฉินเหยียนต้องการพูดสิ่งใด
ฉินหวยและคนอื่น ๆ ออกจากห้องโถงไปพร้อมกับฉินอวี้โม่ เวลานี้มีเพียงฉินเหยียนและฉินเฟิงเท่านั้นที่ยังคงอยู่ที่นี่
“ฉินเฟิง การที่ไม่ได้พบกันนานหลายสิบปี ข้ามองพลังของท่านไม่ออกอีกต่อไป”
ฉินเหยียนค่อย ๆ เดินตรงเข้ามาหาฉินเฟิงและกล่าวอย่างเปี่ยมไปด้วยความรู้สึก
“ใช่ ความแข็งแกร่งของท่านก็พัฒนาขึ้นมากเช่นกัน”
ฉินเฟิงกล่าวอย่างสุภาพ ตอนนี้มิใช่เวลาสำหรับการหักหน้าหรือสร้างความขุ่นเคืองใจ เขาต้องการรักษาความสัมพันธ์ให้ปกติ
“ฮ่า ๆ ๆ แข็งแกร่งขึ้นแล้วอย่างไรเล่า ? ตอนนี้ข้าก็มีอายุเกือบสองร้อยปีแล้ว”
ฉินเหยียนยิ้มอ่อน ๆ ด้วยความรู้สึกปลงตกเล็กน้อยเจือด้วยความหวัง
“ฉินเหยียน เจ้าอยากจะพูดอะไรก็พูดมาเถอะ เจ้ารู้นิสัยใจคอของข้าดี ไม่จำเป็นต้องอ้อมค้อมให้เสียเวลา”
ฉินเฟิงหันกลับไปสบตากับฉินเหยียนด้วยใบหน้าเรียบเฉย สีหน้าและแววตาของเขาไม่ผันผวนแม้แต่น้อย
ขณะมองใบหน้าหล่อเหลาของฉินเฟิง ฉินเหยียนก็เดินเข้ามาใกล้อย่างช้า ๆ
“พี่เฟิง ท่านอยากให้เป็นเช่นนี้จริง ๆ รึ ?”
ฉินเหยียนเอื้อมมือออกไปหมายจะแตะใบหน้าของฉินเฟิง เพียงแต่ยังเอื้อมไม่ถึง นางก็ดึงมือกลับอย่างรวดเร็ว
น้ำเสียงของนางเมื่อเอ่ยเรียกฉินเฟิงเจือด้วยความเย้ายวนบางอย่างรวมถึงความรักที่มิอาจอธิบาย
เมื่อได้ยินวาจาของฉินเหยียน สีหน้าของฉินเฟิงก็เปลี่ยนไปเล็กน้อยและความรู้สึกบางอย่างฉายในแววตาของเขาก่อนหายไปอย่างรวดเร็ว
“อย่าพูดจาแบบนี้เลย อย่าลืมว่าตัวตนของเราเป็นใคร”
เขากล่าวด้วยน้ำเสียงเรียบเฉยพร้อมแสดงท่าทางปฏิเสธและห่างเหินอย่างชัดเจน
“ข้าคิดถึงครั้งอดีตที่ข้าสามารถเรียกท่านว่าพี่เฟิงได้อย่างอิสระและท่านก็จะแตะศีรษะของข้าอย่างตามใจ เราฝึกยุทธ์และเล่นสนุกด้วยกัน วันเวลาเหล่านั้นช่างมีความสุขจริง ๆ”
ราวกับไม่ได้ยินวาจาของฉินเฟิง ฉินเหยียนนึกถึงเหตุการณ์ในอดีตและกล่าวด้วยความรู้สึกโหยหา
ร่างของฉินเฟิงสั่นเทาเล็กน้อย ดูเหมือนว่าเขาเองก็นึกถึงบางอย่างและลมหายใจผ่อนคลายลงเล็กน้อย
“แต่…เหตุใดเราจึงกลายเป็นแบบนี้ไปได้ ? ข้าไม่เข้าใจเลยจริง ๆ เหตุใดท่านจึงพยายามหลบหน้าซ่อนตัวจากข้าและท่านเฉยเมยกับข้ามากขึ้นเรื่อย ๆ ตลอดหลายปีที่ผ่านมา เกิดอะไรระหว่างเรากันแน่ ?”
เมื่อสัมผัสได้ถึงอารมณ์ที่ผันผวนของฉินเฟิง ฉินเหยียนก็จับมือของเขาและกล่าวด้วยน้ำเสียงเจือความตื่นเต้น
นางเป็นสตรีคนหนึ่งและเคยมีช่วงเวลาที่หัวใจเบ่งบาน เมื่อเติบโตมากับฉินเฟิง ความรู้สึกที่มีต่อเขาก็พัฒนามากขึ้น ตลอดหลายปีที่ผ่านมา ความรักที่มีต่อฉินเฟิงไม่เคยเปลี่ยนแปลง แม้ว่ามีคนเข้าหามากมาย นางก็ไม่เคยสนใจคนเหล่านั้น
เพียงแต่พี่เฟิงผู้ที่เอาใจและตามใจนางมานานตั้งแต่เด็กกลับตีตัวห่างเหินจากนางไปเรื่อย ๆ ภายในเวลานับร้อยปี ทั้งสองเคยพบหน้ากันเพียงไม่กี่ครั้งเท่านั้น
ตลอดช่วงร้อยปีที่ผ่านมา ฉินเฟิงไม่เคยสนใจคำสั่งของนางและไม่เคยมาที่เมืองมายา หากคนธรรมดาคนอื่นกล้าขัดคำสั่งของนางเช่นนั้น นางก็คงโกรธแค้นและไม่พอใจอย่างที่สุด อย่างไรก็ตาม ผู้ที่ขัดคำสั่งเหล่านั้นกลับเป็นพี่เฟิงของนางและนางไม่อาจทำอะไรได้เลย
ครานี้การที่ฉินเฟิงมาถึงเมืองมายา มันก็ทำให้นางมีความสุขไม่น้อยและนางก็ต้องการที่จะลองปรับความเข้าใจกับเขาดู
.