คุณหนูสี่ สตรีเปื้อนเลือด - ตอนที่ 455 ความคิดของฉินเฟิง
เมื่อสัมผัสได้ถึงความอบอุ่นจากมือบางของฉินเหยียนและได้กลิ่นหอมหวานของสตรีจากร่างของนาง หัวใจของฉินเฟิงก็ว่อกแว่กไปชั่วขณะทว่าเขาก็เรียกสติกลับคืนมาอย่างรวดเร็ว
เขารีบดึงมือกลับอย่างรวดเร็วและกล่าวเบา ๆ ด้วยน้ำเสียงเชิงเตือนสติ “ฉินเหยียน อย่าลืมว่าเราทั้งสองเป็นใคร”
ฉินเหยียนชะงักไปเล็กน้อยเมื่อได้ยินคำพูดไม่แยแสของฉินเฟิง สีหน้าของนางในตอนนี้ถอดสีเล็กน้อย
“พี่เฟิง ข้าทำอะไรผิดงั้นรึ ? ข้าไม่เข้าใจเลยจริง ๆ ความสัมพันธ์ระหว่างเราในอดีตไม่เคยเป็นเช่นนี้ ท่านไม่เคยเมินเฉยข้ามาก่อน แล้วเหตุใดมันจึงเป็นเช่นนี้ไปได้ ? ข้าทำสิ่งใดให้ท่านขุ่นเคืองใจงั้นรึ…ข้าพอจะแก้ไขมันได้รึไม่ ?”
ฉินเหยียนกล่าวอย่างกระตือรือร้น นางมิอาจทนได้อีกต่อไป นางต้องจมอยู่กับความรู้สึกเช่นนี้มานานนับร้อยปีและไม่ต้องการเก็บงำความรักที่มีอีกต่อไป นางเชื่อว่าฉินเฟิงน่าจะเข้าใจความรู้สึกที่นางมีต่อเขาดี เพียงแต่ไม่เข้าใจว่าเหตุใดเขาจึงไม่ตอบสนองใด ๆ หนำซ้ำยังเย็นชาต่อนางมากขึ้นทุกครา
เมื่อเห็นแววตากระตือรือร้นของฉินเหยียน ฉินเฟิงก็รู้สึกจนปัญญา เขายื่นมือออกไปพยายามจะแตะไหล่ของอีกฝ่ายเพื่อปลอบโยนนาง อย่างไรก็ตาม เขาก็รีบดึงมือกลับด้วยความลังเล
ระหว่างเขาและฉินเหยียนผู้นี้มีปัญหามากมายเกินไป ตัวตนของเขาและตัวตนของฉินเหยียนถูกชะตาฟ้าลิขิตมิให้ได้ครองคู่กัน ในฐานะศิษย์ของผู้ที่อยู่เบื้องบน ฉินหยียนไม่มีทางทรยศต่อคนผู้นั้นเป็นแน่ และสำหรับฉินเฟิงผู้เป็นศิษย์ของเทพมายาคนก่อน เขาถือเป็นศัตรูกับฝ่ายเบื้องบนดังกล่าว นั่นหมายความว่าเขาและนางถูกลิขิตไว้ให้เป็นศัตรูคู่แค้นกันตั้งแต่ต้น
“ขอโทษด้วย ข้าไม่เข้าใจว่าเจ้าพูดเรื่องอะไร ข้ามีเรื่องอื่นที่ต้องทำ ข้าขอตัวก่อน”
เนื่องจากไม่ต้องการอยู่ที่นี่อีกต่อไป ฉินเฟิงจึงกล่าวทิ้งท้ายและหายไปจากตรงหน้าฉินเหยียนอย่างรวดเร็ว
ฉินเหยียนเอื้อมมือออกไปหมายจะคว้าบุรุษตรงหน้าไว้ ทว่ามันก็สายไปเสียแล้ว นางทำได้เพียงมองไปในทิศทางที่เขาจากไปและมีเพียงสายน้ำใสไหลรินจากดวงตาทั้งสอง สิ่งที่เกิดขึ้นระหว่างตนเองและเขา นางจะไม่รู้ได้อย่างไร เพียงแต่นางไม่ต้องการเอ่ยออกไปก็เท่านั้น…
ในขณะเดียวกัน ฉินอวี้โม่เดินทางไปที่สมาคมผู้ฝึกสัตว์อสูรภายใต้การนำทางของฉินหวยและคนอื่น ๆ โดยได้หารือกันเกี่ยวกับแผนการที่วางไว้รวมถึงสอบถามข่าวคราวสถานการณ์ล่าสุดของเมืองมายา
ฉินหวยและคนอื่น ๆ ก็นั่งลงเพื่อสนทนากันพักใหญ่ก่อนกลับออกจากสมาคมผู้ฝึกสัตว์อสูร จากนั้นฉินอวี้โม่และเหล่าผู้ฝึกสัตว์อสูรก็แนะนำตัวกันก่อนที่นางจะแสดงความสามารถของตนเองให้พวกเขาได้เห็น และหลังจากที่ได้รับการยอมรับจากคนเหล่านั้น นางก็กลับไปที่ห้องของตนเอง
นางเข้าไปในคฤหาสน์เฟิงหัวและมองบุตรน้อยทั้งสองที่กำลังหลับใหลด้วยความผ่อนคลายโดยไม่ปลุกพวกเขาแต่อย่างใด นางเพียงจรดริมฝีปากลงบนหน้าผากของเด็กน้อยก่อนกลับออกจากคฤหาสน์เฟิงหัว
ก๊อก ก๊อก ก๊อก !
“อวี้โม่ ข้าเข้าไปได้รึไม่ ?”
ทันใดนั้น เสียงเคาะประตูและเสียงของฉินเฟิงดังขึ้นจากหน้าประตู
“ศิษย์พี่ เชิญเข้ามาเถอะ”
ฉินอวี้โม่ยิ้มก่อนเดินตรงไปเปิดประตูและเชิญฉินเฟิงเข้ามา
ฉินเฟิงยิ้มบาง ๆ และเดินเข้ามาพร้อมขวดสุราสองขวดในมือ
“อวี้โม่ ดื่มกับข้าสักหน่อยเถอะ”
หลังจากนั่งลงบนเก้าอี้ตรงหน้าฉินอวี้โม่ ฉินเฟิงก็ยิ้มและหยิบแก้วสุราสองใบออกมา
เมื่อรู้สึกถึงความผิดปกติของศิษย์พี่ ฉินอวี้โม่ก็ยิ้มและกล่าวตอบ “ข้ายินดีเป็นอย่างยิ่ง”
หลังจากกล่าวจบ นางก็หยิบอาหารเคียงหลายจานออกมาอย่างรวดเร็วราวกับกำลังแสดงมายากล
อาหารเหล่านี้เป็นเครื่องเคียงที่นางเตรียมไว้เพื่อทานคู่กับสุรา ซึ่งก่อนหน้านี้นางได้ใช้ให้มารยาแช่แข็งอาหารจานเล็ก ๆ เหล่านี้ไว้ นางจึงไม่ต้องกังวลว่าพวกมันจะเน่าเสียไป
“ศิษย์พี่ ท่านมีเรื่องอะไรอยู่ในใจงั้นรึ ?”
หลังจากดื่มสุราไปได้ระยะหนึ่ง ฉินอวี้โม่ก็เอ่ยถามด้วยน้ำเสียงเป็นห่วง
ความสัมพันธ์ของนางและฉินเฟิงดำเนินไปด้วยดีอย่างยิ่งและฉินอวี้โม่ก็ทราบว่าฉินเฟิงจริงใจต่อนาง เพราะเหตุนั้นเมื่อสัมผัสได้ถึงท่าทางที่แปลกไปของเขา นางจึงเอ่ยถามด้วยความกังวล
“ฮ่า ๆ ๆ ศิษย์น้อง เหตุใดเจ้าไม่ลองคาดเดาดูล่ะ ?”
ฉินเฟิงยิ้มและไม่เอ่ยเรียกด้วยชื่อแซ่ของฉินอวี้โม่อีกต่อไป ทว่าเรียกด้วยคำว่า ‘ศิษย์น้อง’
“มันเกี่ยวข้องกับฉินเหยียนใช่รึไม่ ?”
ฉินอวี้โม่ไม่ลังเลแม้แต่น้อยและกล่าวข้อคาดเดาของตนเองออกไป
“ฮ่า ๆ ๆ ศิษย์น้องรู้ได้อย่างไรกัน ?”
ฉินเฟิงไม่ปฏิเสธและเพียงยิ้มเจื่อน ๆ เล็กน้อย
“ศิษย์พี่…อย่าดูถูกสัญชาตญาณของสตรีเป็นอันขาด ก่อนหน้านี้ที่เราเข้าไปในจวนเจ้าเมืองด้วยกัน แววตาของฉินเหยียนที่เต็มไปด้วยความโหยหาและความซับซ้อนเมื่อมองไปที่ท่านนั้นซ่อนจากข้ามิได้หรอก ยิ่งไปกว่านั้น เมื่อท่านกลับมาจากคุยกับนาง ท่านก็มีท่าทีเช่นนี้ ข้าเดาได้ไม่ยากหรอก”
เมื่ออยู่ในจวนเจ้าเมืองก่อนหน้านี้ ฉินอวี้โม่สังเกตเห็นแววตาที่ฉินเหยียนใช้มองฉินเฟิง หลายคราระหว่างการสนทนา ฉินเหยียนกำลังเอ่ยวาจากับนางทว่าสายตากลับอยู่ที่ฉินเฟิง เมื่อพิจารณาปัจจัยเหล่านั้นฉินอวี้โม่จึงคาดเดาได้ไม่ยากว่าน่าจะมีเรื่องราวบางอย่างระหว่างฉินเฟิงและฉินเหยียน
“อันที่จริง เมื่อร้อยปีก่อนนางมิได้เป็นแบบนี้”
ฉินเฟิงกล่าวขึ้นด้วยประโยคหนึ่งซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นเรื่องราวระหว่างเขาและฉินเหยียน
“ข้าเติบโตมาพร้อมกับนางและนางเป็นศิษย์สายตรงของคนผู้นั้น ในอดีตข้ายังไม่ทราบถึงตัวตนที่แท้จริงหรือภารกิจของตนเอง ในช่วงที่นางยังเด็ก นางก็มักจะเกาะติดข้างกายข้าอยู่เสมอ ข้าก็ชื่นชอบเด็กสาวที่เรียบง่าย น่ารักและจิตใจดีคนนั้นมาก ทว่าหลังจากความทรงจำในตัวของข้าถูกปลุกขึ้นมา ข้าก็ตระหนักถึงความรับผิดชอบของตัวเอง นั่นคือสาเหตุที่ข้าจงใจปลีกตัวห่างจากนาง ข้ารู้ดีว่านางรู้สึกกับข้าเช่นไร…แต่เราก็เป็นได้เพียงศัตรูต่อกันมิใช่รึ ?”
คำพูดของเขาทำให้ฉินอวี้โม่เข้าใจความสัมพันธ์ระหว่างทั้งสองได้ทันที
ทั้งสองเป็นดั่งคนรู้ใจเมื่อครั้งเยาว์วัยและเติบโตมาด้วยกัน พวกเขาใกล้ชิดสนิทสนมต่อกันอย่างยิ่ง หากจะกล่าวว่าไม่มีความรู้สึกใดเลยก็คงจะเป็นไปไม่ได้
“แล้วศิษย์พี่ชอบนางด้วยรึไม่ ?”
ฉินอวี้โม่อดถามออกไปไม่ได้และนางก็ถอนหายใจเบา ๆ
“ข้าก็ไม่แน่ใจ แต่ข้าชอบความรู้สึกในตอนนั้น”
ฉินเฟิงส่ายศีรษะเบา ๆ ก่อนพยักหน้า เขาไม่มั่นใจนักว่าความรู้สึกหมายปองใครสักคนนั้นเป็นอย่างไร ทว่าเชื่อว่าน่าจะใช่ความรู้สึกที่ตนเองมีต่อเด็กสาวผู้นั้นในอดีต
“เพราะเหตุนั้น ศิษย์พี่จึงพยายามออกห่างจากนางเพื่อมิให้เกิดความรู้สึกที่ลึกซึ้งไปมากกว่านี้ และความเปลี่ยนแปลงของฉินเหยียนตลอดหลายปีที่ผ่านมาก็คงจะเกี่ยวข้องกับท่าน”
แม้ว่าไม่ต้องการที่จะเอ่ยออกไปตรง ๆ ฉินอวี้โม่ก็ไม่คิดว่าจะมีคำพูดใดดีกว่านี้และจำเป็นต้องกล่าวความคิดของตนเองออกไปตรง ๆ
หากเป็นดังที่ฉินเฟิงกล่าว ฉินเหยียนก็มิใช่อย่างที่นางได้ยินมา ความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นตลอดศตวรรษที่ผ่านมาน่าจะเกี่ยวข้องกับฉินเฟิงพอสมควร
“ก็เป็นไปได้…แต่ข้าไม่รู้หรอก”
ฉินเฟิงส่ายศีรษะเบา ๆ เห็นได้ชัดว่าการสนทนาเรื่องนี้ทำให้เขาปวดหัวไม่น้อย
“ศิษย์พี่ ท่านเคยคิดที่จะบอกความจริงกับนางเกี่ยวกับตัวตนของท่านและถามว่านางอยากร่วมทางไปกับท่านรึไม่ ?”
ฉินอวี้โม่อดกล่าวออกไปเช่นนี้ไม่ได้ แม้ทราบดีว่านั่นเป็นการกระทำที่เสี่ยงยิ่งนัก อย่างไรก็ตาม หากฉินเหยียนมีความรักใคร่ต่อฉินเฟิงอย่างแท้จริง ต่อให้ทราบตัวตนของเขา นางก็คงจะไม่ทำสิ่งใดที่เป็นอันตราย
ไม่ว่าอย่างไร บางครั้งบางคราสตรีก็คิดแตกต่างจากบุรุษ เมื่อเผชิญหน้ากับสถานการณ์บางอย่าง ทางเลือกที่แท้จริงก็อาจไม่เรียบง่ายหรือเป็นอย่างที่คิด
เมื่อได้ยินวาจาของศิษย์น้อง สมองของฉินเฟิงก็แล่นอย่างรวดเร็วเพื่อใช้ความคิด หากมันเป็นไปได้จริง มันก็คงดีสำหรับพวกเขาทั้งคู่มิใช่หรือ ?
“ไม่ ข้าไม่มีทางทำได้”
อย่างไรก็ตาม หลังจากพิจารณาปัจจัยต่าง ๆ ฉินเฟิงก็ส่ายศีรษะเป็นคำตอบ หากเขาทำเช่นนั้น มันก็ถือเป็นการละเลยบกพร่องในหน้าที่ความรับผิดชอบและทำให้ฉินอวี้โม่ตกอยู่ในภยันตราย เขาไม่มีทางตัดสินใจเสี่ยงเช่นนั้นแน่
“ศิษย์พี่ ข้าเข้าใจว่าความรับผิดชอบเป็นสิ่งที่สำคัญอย่างยิ่ง ทว่าท่านเชื่อข้าเถอะ หากท่านโน้มน้าวใจนางได้ ข้าจะสนับสนุนท่านอย่างเต็มที่ ยิ่งไปกว่านั้นหากฉินเหยียนเต็มใจร่วมทางไปกับท่าน เราก็จะขจัดปัญหาไปได้มากทีเดียว สำหรับผู้ที่อยู่เบื้องบนนั้น แน่นอนว่าข้าจะจัดการเอง เพราะฉะนั้น ท่านไม่จำเป็นต้องกังวลเลย”
หากนี่เป็นชีวิตก่อน อดีตนักฆ่าสาวผู้เย็นชาและไม่ปรานีผู้ใดอย่าง ‘เธอ’ คงไม่คิดเช่นนี้ ทว่าในชีวิตปัจจุบันนี้ นางมีทั้งหานโม่ฉือและพยานรักทั้งสอง นางสัมผัสได้ถึงความหวังดีที่ฉินเฟิงมีต่อนางและหวังเป็นอย่างยิ่งว่าทุกคนรอบตัวจะได้มีความสุข หากฉินเฟิงสามารถพาฉินเหยียนออกไปและหนีจากการต่อสู้ความวุ่นวายทั้งหมดนี้ได้ มันก็คงจะดีไม่น้อย
“ศิษย์พี่ ท่านลองดูเถอะ ในเมื่อคนทั้งสองรักใคร่ชอบพอกัน เหตุใดจึงจะยอมปล่อยให้ความรู้สึกนั้นหลุดมือไปง่าย ๆ เล่า ? ตราบใดที่ยังพอมีความหวัง ท่านก็ควรจะลองดูสักตั้ง เมื่อมีโอกาสอยู่ตรงหน้า ท่านก็ควรจะหาทางไขว่คว้ามันมาให้จงได้”
ฉินอวี้โม่กล่าวต่อ นางเองก็เป็นสตรีคนหนึ่ง นางจึงเข้าใจความคิดของสตรีด้วยกันได้เป็นอย่างดี แม้เวลานี้ยังไม่มั่นใจว่าฉินเหยียนจะเลือกอย่างไร นางก็สนับสนุนให้ฉินเฟิงลองทำวิธีดังที่กล่าว
เมื่อได้ยินคำพูดของฉินอวี้โม่ ในที่สุดฉินเฟิงก็เข้าใจอย่างกระจ่างแจ้งและพยักศีรษะเบา ๆ
“หลังจากปลดผนึกที่สองในร่างของเจ้าได้สำเร็จ ข้าจะไปหานางและเอ่ยถามว่านางจะเลือกทางไหน หากนางอยากจะไปด้วยกันกับข้า ข้าจะพานางไปให้ไกลจากปัญหาความวุ่นวายเหล่านี้”
ฉินอวี้โม่พูดถูกต้องแล้ว ฉินเหยียนรอเขามาเนิ่นนานและเขาควรลองดูสักครา ไม่มีความจำเป็นที่พวกเขาจะต้องทนต่อความบาดหมางที่เก่าแก่ในอดีต หากมองข้ามทุกอย่างไปได้ พวกเขาก็จะมีความสุขมากเป็นแน่
ฉินอวี้โม่มองฉินเฟิงพร้อมรอยยิ้มจริงใจ นางมีความสุขกับคนทั้งสองอย่างยิ่ง
เพียงแต่… ทั้งสองไม่รู้เลยว่าหลังจากที่ฉินอวี้โม่ปลดผนึกที่สองได้สำเร็จ พวกเขาจะไม่ได้รับโอกาสนั้น…
ทั้งสองสนทนาและดื่มกันพักใหญ่ ฉินเฟิงเกรงว่าการใช้เวลากับฉินอวี้โม่นานเกินไปจะกระตุ้นความสงสัยของผู้อื่น เขาจึงกลับออกไปและไปอาศัยอยู่กับฉินหวยเป็นการชั่วคราว
แผนการของพวกเขาคือหาทางเข้าไปในหอคอยต้องห้ามเมื่อคนจากเบื้องบนมาถึง หลังจากฉินอวี้โม่ได้สิ่งที่ต้องการจากข้างในนั้น นางก็จะหาทางออกมา และหากไม่มีปัญหาใดเกิดขึ้น จากนั้นฉินอวี้โม่และพวกเขาทุกคนก็จะเปิดฉากการต่อสู้และยึดโลกมายากลับคืนมาโดยตรง
ภายในชั่วพริบตา สิบวันก็ผ่านไปอย่างรวดเร็ว
ตลอดสิบวันที่ผ่านมานี้ ฉินอวี้โม่เก็บตัวอยู่ในสมาคมผู้ฝึกสัตว์อสูรและไม่ออกมาแม้แต่ครั้งเดียว
เพื่อไม่เป็นการกระตุ้นความสงสัยของผู้ใด ฉินหวยและคนอื่น ๆ ก็ส่งอสูรมายาจำนวนหนึ่งมาเพื่อให้ฉินอวี้โม่สยบพวกมัน แน่นอนว่านางไม่ลังเลและสยบอสูรได้อย่างง่ายดายก่อนส่งตัวให้กับพวกเขา
บรรดาสมาชิกในสมาคมผู้ฝึกสัตว์อสูรต่างก็รู้สึกทึ่งกับความสามารถในการสยบอสูรมายาของฉินอวี้โม่ พวกเขาต่างก็ยอมรับนางในฐานะประธานสมาคมมากขึ้นเรื่อย ๆ อย่างไรก็ตาม ฉินอวี้โม่ไม่สนใจพวกเขาเหล่านั้นมากนัก เป้าหมายที่แท้จริงของนางมิใช่สิ่งนี้
เช้าตรู่ของวันนั้น ฉินเหยียนส่งคนมาที่สมาคมผู้ฝึกสัตว์อสูรพร้อมสาส์นว่าให้ฉินอวี้โม่มุ่งหน้าไปที่จวนเจ้าเมือง
ตลอดเวลาสิบวันที่อยู่ในเมืองมายา นอกจากวันแรก ฉินอวี้โม่ก็ไม่เคยไปพบนางแม้แต่ครั้งเดียวและเชื่อว่าฉินเหยียนไม่มีข้อสงสัยใด ๆ เกี่ยวกับนาง หลังจากเตรียมตัวอย่างง่าย ๆ ฉินอวี้โม่ก็เดินทางไปที่จวนเจ้าเมืองพร้อมกับหลายคน
จวนเจ้าเมืองในวันนี้คึกคักอย่างยิ่ง ฉินหวย ฉินเฟิงและคนอื่น ๆ ล้วนมารวมตัวกันที่นี่ รวมถึงอีกหลายคนที่ฉินอวี้โม่ไม่รู้จัก
หลังจากแนะนำตัว นางก็ได้ทราบว่าในบรรดาคนเหล่านั้นมีประธานสมาคมช่างหลอมและประธานสมาคมผู้หลอมโอสถอยู่ด้วย
อีกสองคนในกลุ่มคือผู้อาวุโสใหญ่และผู้อาวุโสรองของจวนเจ้าเมือง
ความแข็งแกร่งของผู้อาวุโสทั้งสองคนนี้ถือว่าไม่ธรรมดาเลยและดูเหมือนว่าพวกเขาจะบรรลุขอบเขตพสุธาเซียนแล้ว
อย่างไรก็ตาม นี่ถือเป็นสิ่งที่อยู่ภายใต้ความคาดหมายของฉินอวี้โม่ นางจึงไม่แปลกใจเลยสักนิด
หลังจากรอครู่ใหญ่ ฉินเหยียนก็ปรากฏตัวตรงหน้าทุกคน
.