คุณหนูสี่ สตรีเปื้อนเลือด - ตอนที่ 459 ก่อนวันต่อสู้ชี้ชะตา
เวลาครึ่งปีผ่านไปอย่างรวดเร็ว
ตลอดช่วงหกเดือนที่ผ่านมา สถานการณ์ของโลกมายาดำเนินไปอย่างตึงเครียดและเกิดความเปลี่ยนแปลงขึ้นมากมาย
ประการแรก ฉินขุยและคนอื่น ๆ ประกาศตัวแสดงความจงรักภักดีต่อเทพมายาและเกิดสงครามเผชิญหน้ากับฝ่ายฉินเหยียนหลายครั้งหลายครา
ฉินเหยียนและพวกทรงพลังอย่างยิ่ง และในการเผชิญหน้าแต่ละครั้ง พวกนางก็ทำให้พลังอำนาจและอิทธิพลของฉินจิน ฉินขุยและคนอื่น ๆ ลดลงอย่างต่อเนื่อง
นอกจากนี้ ฉินเหยียนยังได้โอกาสยึดเมืองวารีมายา เมืองไม้มายาและเมืองทองมายากลับคืนมาได้สำเร็จ รวมถึงขับไล่ฉินขุยและพวกจนต้องไปรวมตัวกันที่เมืองเพลิงมายาซึ่งเป็นฐานที่มั่นสุดท้าย
เดิมทีฉินเหยียนต้องการที่จะจัดการกับผู้ก่อกบฏทั้งหมดภายในคราวเดียว หากแต่พวกนางคาดไม่ถึงว่าเฉิงห่าวซวนจะนำกลุ่มกองกำลังจอมยุทธ์อิสระจากทั่วทั้งดินแดนที่มักเก็บตัวเงียบเสมอเข้าจู่โจมเมืองมายาในช่วงที่พวกนางไม่ทันตั้งตัว ซึ่งช่วยให้ฉินขุยและคนอื่น ๆ หลุดออกไปจากวงล้อมการโจมตีได้
เมื่อฝ่ายฉินเหยียนกลับไปที่เมืองมายาโดยหมายจะจัดการกับกองกำลังของเฉิงห่าวซวนและคนอื่น ๆ นั้น พวกนางก็ค้นพบว่าพวกเขาได้ล่าถอยกันออกไปอย่างรวดเร็วแล้ว
และเนื่องจากปัญหาที่เกิดขึ้นจากเฉิงห่าวซวนและกองกำลังของฝ่ายฉินขุย สถานการณ์ของฉินเหยียนจึงย่ำแย่ลงและจุดประกายผู้คนจำนวนมากให้ลุกขึ้นสู้ หลายคนที่จงรักภักดีต่อเทพมายาคนก่อนจึงไม่ลังเลอีกต่อไปและประกาศเข้าร่วมกับกองกำลังของฉินขุยและคนอื่น ๆ เช่นกัน
แม้แต่สมาคมใหญ่ทั้งหมดของเมืองมายาก็นำคนไปเข้าร่วมกับกองกำลังของฝ่ายฉินขุยเพื่อเผชิญหน้ากับฝ่ายฉินเหยียน
ด้วยการมีส่วนร่วมอย่างเต็มที่ของทุกคน ความแข็งแกร่งของฝ่ายฉินขุยและคนอื่น ๆ จึงเพิ่มมากขึ้น เมื่อต้องต่อสู้กับฝ่ายฉินเหยียนอีกครา แม้ว่าพวกเขาจะมีความแข็งแกร่งที่ไม่มากนัก ทว่าพวกเขาก็สามารถเอาชนะได้ด้วยจำนวนคน ซึ่งนี่ก็ทำให้ฉินเหยียนและคนอื่น ๆ ไม่พอใจเป็นอย่างยิ่ง
ยิ่งไปกว่านั้น แผนการของฝ่ายฉินเหยียนก็มักรั่วไหลไปถึงหูของอีกฝ่ายเสมอ ส่งผลให้ฉินขุยและคนอื่น ๆ สามารถหาทางตอบโต้ด้วยวิธีการที่ดีที่สุดได้อย่างทันท่วงที เพราะเหตุนั้นการโจมตีหลายครั้งของพวกนางจึงไม่ประสบผลสำเร็จ
“บัดซบ !”
เวลานี้ ฉินเหยียน ฉินเฟิง ฉินเหว่ย ฉินหวยและคนอื่น ๆ กำลังรวมตัวกันภายในจวนเจ้าเมืองของเมืองมายา
ฉินเหยียนยังคงนั่งอยู่บนบัลลังก์หลักเช่นเดิมและตบกระแทกโต๊ะอย่างแรงพร้อมสบถด้วยความโกรธเกรี้ยวจนดวงตาแดงก่ำ
“ฮ่า ๆ ๆ ฉินเหยียนเอ๋ย ไม่คิดเลยว่าโลกมายาของเจ้าจะมีเรื่องที่น่าสนุกเช่นนี้ ไม่อาจรู้ได้เลยว่าท่านป้าจะคิดอย่างไรหากว่าสถานการณ์ของที่นี่แพร่งพรายไปถึงหูของนาง”
ฉินเหว่ยกล่าวด้วยน้ำเสียงมีความสุข ตลอดหกเดือนที่ผ่านมานี้ นอกเหนือจากการตามหาเทพมายาคนใหม่ เขาแทบไม่มีส่วนร่วมในเรื่องใดเลย โดยปกติแล้วเขาและผู้ติดตามมักนั่งสนทนาพาทีเรื่องตลกขบขันและกล่าววาจาเยาะเย้ยถากถางฉินเหยียนในทุกครั้งที่นางพ่ายแพ้กลับมา
“ฉินเหว่ย ไม่ต้องเยาะเย้ยข้าหรอก เจ้าก็ทราบถึงความสำคัญของโลกมายาดี หากท่านอาจารย์รู้เข้าล่ะก็ เจ้าคิดว่าเจ้าจะรอดตัวงั้นรึ ?!”
ฉินเหยียนจ้องหน้าฉินเหว่ยอย่างไม่สบอารมณ์และไม่ต้องการสนใจนัก เพราะบุรุษผู้นี้ช่างน่าเกลียดชังจนเกินทนไหว
เมื่อได้ยินวาจาของฉินเหยียน ฉินเหว่ยก็จ้องนางตาเขม็งทว่าไม่ได้โต้เถียงแต่อย่างใด สิ่งที่ฉินเหยียนกล่าวมาเป็นความจริงที่มิอาจปฏิเสธได้ หากท่านป้าของเขาทราบเรื่องนี้ เขาก็จะต้องพลอยเดือดร้อนไปด้วย
“ตลอดหกเดือนที่ผ่านมานี้ เหมือนว่าฝ่ายของฉินขุยจะคาดเดาได้ถึงการเคลื่อนไหวของพวกเรามาโดยตลอดจนพวกเขาเตรียมความพร้อมรับมือได้ทุกครั้งทุกครา กอปรกับการที่พวกเขามีจำนวนสมาชิกมาก เราจึงจัดการกับพวกเขาไม่ได้เสียที ไม่ทราบว่าทุกคนมีวิธีแก้ปัญหานี้รึไม่ ?”
ขณะกวาดสายตามองทุกคนรอบตัว ฉินเหยียนก็กล่าวถามด้วยความลังเล
“ผู้นำฉินเหยียน ข้าคิดว่าจะต้องมีสายลับอยู่ในจวนเจ้าเมืองของเราเป็นแน่ มิฉะนั้นฉินขุยและพวกก็คงไม่ทราบถึงแผนการของเราทุกคราและหาทางรับมือได้อย่างสมบูรณ์แบบเช่นนี้ เพราะเหตุนั้นข้าจึงเชื่อว่าเราต้องหาตัวสายลับที่แฝงตัวอยู่ในจวนเจ้าเมืองให้ได้ก่อนแล้วจึงคิดวางแผนในภายหลัง !”
ผู้อาวุโสใหญ่ไป๋จั่วกล่าวขึ้นเป็นคนแรกและสายตาของเขาบรรจบลงที่ฉินหวย เห็นได้ชัดว่าเขาสงสัยในตัวฉินหวยไม่น้อย
เมื่อเห็นสายตาคลางแคลงใจของผู้อาวุโสใหญ่ ฉินหวยก็กล่าวพร้อมรอยยิ้มจาง ๆ “ข้าไม่คิดเช่นนั้น ข้าคิดว่าพวกฉินขุยน่าจะมีผู้ทรงพลังอยู่เบื้องหลัง เพราะจากความเข้าใจของเรา แม้ว่าพวกเขาจะพอมีฝีมืออยู่บ้าง ทว่าพวกเขาก็ไม่ได้ทรงพลังมากนัก”
แน่นอนว่าเขาไม่มีทางยอมรับออกไปตามตรงว่าตนเองคือคนทรยศผู้นั้น เขาเพียงยิ้มอย่างไม่สะทกสะท้านและเพิกเฉยต่อความสงสัยของผู้อาวุโสใหญ่
หากว่าเขาแสดงอากัปกิริยาใดที่โจ่งแจ้งออกไป ผู้อาวุโสใหญ่ ฉินเหยียนและคนอื่น ๆ ก็อาจสงสัยได้
“ข้าคิดว่าสิ่งที่ผู้อาวุโสสามกล่าวมาก็สมเหตุสมผล ถึงอย่างไรเราก็ไม่พบตัวเทพมายาคนใหม่ตลอดหกเดือนที่ผ่านมานี้ และจากลักษณะท่าทางของฉินขุยและคนอื่น ๆ พวกเขาต้องเคยพบกับเทพมายาคนใหม่แล้วอย่างแน่นอน พวกเขาจึงได้ยอมจำนนและภักดีต่อนางเช่นนี้ เพราะเหตุนั้นผู้ที่อยู่เบื้องหลังพวกเขาจะต้องเป็นเทพมายาผู้นั้นเป็นแน่”
เซวียเม่ยพยักศีรษะและกล่าวแสดงความเห็นด้วยกับวาจาของฉินหวย หลังจากผ่านมาหกเดือน ทัศนคติที่นางมีต่อฉินอวี้โม่ก็ดีขึ้นมาก ถึงอย่างไรฉินอวี้โม่ก็เป็นคนดีและควรค่าแก่ความภักดีของพวกนางทุกคน เซวียเม่ยไม่ต้องการนึกถึงเรื่องเก่าที่เคยเกิดขึ้นอีกต่อไปและเวลานี้นางยอมจำนนต่อฉินอวี้โม่อย่างแท้จริง
ฉินเหยียนพยักศีรษะเมื่อได้ยินความคิดเห็นของฉินหวยและเซวียเม่ย
“พี่เฟิง ท่านคิดว่าอย่างไร ?”
เมื่อหันไปมองฉินเฟิงข้างกายผู้ซึ่งนิ่งเงียบไม่เอ่ยสิ่งใด ฉินเหยียนก็กล่าวด้วยน้ำเสียงอบอุ่นและจริงใจ
ตลอดหกเดือนที่ผ่านมา นางรู้สึกได้ว่าฉินเฟิงเป็นห่วงและใส่ใจนางซึ่งแน่นอนว่านั่นเป็นสิ่งที่ทำให้นางสุขใจอย่างยิ่ง แม้ว่าทัศนคติของฉินเฟิงยังคงเฉยเมยเล็กน้อย ทว่าความใส่ใจเล็ก ๆ นั้นก็ทำให้นางมีความสุขเหนือสิ่งอื่นใด
“ข้าก็คิดว่าวาจาของฉินหวยมีเหตุผล น่าจะมีผู้ที่อยู่เบื้องหลังฉินขุยจริง ๆ”
ฉินเฟิงเงยหน้าขึ้นและกวาดสายตามองทุกคน แน่นอนว่าเขาต้องเห็นด้วยกับวาจาของฉินหวยและเซวียเม่ย แท้ที่จริงแล้วเขาก็ต้องการประกาศออกไปด้วยซ้ำว่ามีใครบางคนอยู่เบื้องหลังฉินขุยจริง ๆ ทว่าคน ๆ นั้นมิใช่ฉินอวี้โม่ หากแต่เป็นเขาเอง
ในช่วงครึ่งปีที่ผ่านมา เขามักจะปรากฏตัวอยู่ข้างกายฉินขุยและคนอื่น ๆ ในฐานะผู้บัญชาการของกองทหารหงเฟิงเพื่อช่วยพวกเขาจัดการกับฝ่ายฉินเหยียน หลายสิ่งหลายอย่างที่เกิดขึ้นก็มาจากการตัดสินใจของเขา
เมื่อได้ยินวาจาของฉินเฟิง ฉินเหยียนก็มิได้สงสัยแต่อย่างใด หลังจากไตร่ตรองครู่หนึ่ง นางก็กล่าวออกไป “ข้าตัดสินใจแล้ว อีกสามวันข้างหน้า เราจะนำกองทัพมุ่งหน้าไปที่เมืองเพลิงมายา ถึงเวลาที่ต้องสู้ให้ตายกันไปข้างหนึ่ง เมื่อถึงตอนนั้น ไม่ว่าอย่างไรเราก็ต้องควบคุมความวุ่นวายโกลาหลที่เกิดขึ้นกับโลกมายาของเราให้จงได้ ยิ่งไปกว่านั้น เราต้องทำให้ผู้ที่อยู่เบื้องหลังคนพวกนั้นเปิดเผยตัวออกมา !”
“แต่ว่าคนเหล่านั้นก็มีเล่ห์เหลี่ยมและลูกไม้มากมาย การจัดการกับพวกเขาไม่ใช่เรื่องที่ง่ายนัก หากเราบุกไปอย่างโจ่งแจ้ง ผลลัพธ์จะไม่เป็นเหมือนกับก่อนหน้านี้อย่างนั้นหรือ ?”
ฉินหวยลังเลเล็กน้อย แท้ที่จริงเขาก็เกิดความกังวลขึ้นมา ในเมื่อฉินเหยียนลั่นวาจาเช่นนี้ นางจะต้องมั่นใจพอสมควร เกรงว่าครานี้ฉินเหยียนจะใช้ไพ่ตายที่ซ่อนไว้ และเมื่อถึงตอนนั้น ฉินขุยและคนอื่น ๆ จะต้องตกอยู่ในอันตราย
“ฮ่า ๆ ๆ เมื่อเผชิญหน้ากับพลังอำนาจที่แท้จริง ไม่ว่าเล่ห์เหลี่ยมหรือกลอุบายใด ๆ ก็ไร้ประโยชน์ ตราบใดที่เราเตรียมตัวเป็นอย่างดี ไม่ว่ายังไงเรื่องนี้ก็ต้องถึงคราวสิ้นสุดเสียที”
ฉินเหยียนยิ้มอย่างเยือกเย็นและกล่าวด้วยน้ำเสียงมั่นใจ อย่างไรก็ตาม นางลอบมองไปที่ฉินเฟิงด้านข้างด้วยความคิดบางอย่างและขมวดคิ้วเล็กน้อย
จากนั้นทุกคนก็แยกย้ายกันไปเตรียมความพร้อมในส่วนของตัวเอง ฉินหวยเองก็หาทางส่งข่าวไปแจ้งให้ฉินขุยและคนอื่น ๆ ทราบเพื่อให้พวกเขาเตรียมพร้อมรับมือ ทว่าฉินเหยียนกลับมุ่งหน้าไปที่ห้องของฉินเฟิง
“พี่เฟิง ข้าเข้าไปได้รึไม่ ?”
ขณะเคาะประตูเบา ๆ ฉินเหยียนก็กล่าวด้วยน้ำเสียงระแวดระวัง
ฉินเฟิงกำลังครุ่นคิดกลยุทธ์รับมือในตอนที่ได้ยินเสียงของฉินเหยียน เขาเหยียดกายลุกขึ้นและเดินไปเปิดประตูก่อนพบกับสตรีผู้งดงามที่ยืนอยู่หน้าประตู
“มีเรื่องอะไรรึ ?”
หลังจากผายมือเชิญแขกเข้ามาในห้อง ฉินเฟิงก็นั่งลงบนเก้าอี้ฟากหนึ่งและกล่าวถามโดยตรง
“พี่เฟิง ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด จู่ ๆ ข้าก็มีลางสังหรณ์ที่ไม่ดีนัก ดูเหมือนว่าครานี้จะเกิดผลลัพธ์ที่คาดไม่ถึงแน่”
ฉินเหยียนเดินเข้าไปใกล้ฉินเฟิงอย่างช้า ๆ และกล่าวด้วยความกังวลใจ
“ไม่ต้องห่วงหรอก จะไม่มีอะไรเกิดขึ้นทั้งนั้น อย่างมากเราก็แค่พ่ายแพ้ มันจะมีสิ่งใดเลวร้ายไปกว่านั้นกัน ?”
เมื่อเห็นสีหน้าแววตากังวลของฉินเหยียน ฉินเฟิงก็อดกล่าวปลอบประโลมไม่ได้ เขาเข้าใจดีว่าสตรีตรงหน้ากำลังคิดหนักเรื่องใด ทว่าเขามิอาจกล่าวปลอบออกไปตรง ๆ ได้
หากถึงช่วงเวลาวิกฤตจริง ๆ เขาและฉินหวยคงไม่มีทางปล่อยให้ฝ่ายฉินขุยรับมือเพียงลำพังแน่และจะต้องลงมือทำอะไรสักอย่าง
“บางคราข้าก็คิดถึงช่วงวัยเด็กของเราจริง ๆ ในตอนนั้นเราเป็นอิสระและไม่ต้องกังวลถึงเรื่องใด ข้าเพียงติดตามท่านไปเรื่อย ๆ ท่านก็ตามใจข้าและพาข้าไปเล่นสนุกอยู่เสมอ”
ฉินเหยียนถอนหายใจเบา ๆ ขณะยืนมองบุรุษตรงหน้าด้วยแววตาที่เปี่ยมไปด้วยความรัก นางคิดถึงความสัมพันธ์ของนางและเขาเมื่อครั้งเยาว์วัยยิ่งนัก
เมื่อเห็นความรู้สึกที่เอ่อล้นในแววตาของฉินเหยียน ฉินเฟิงก็ค่อย ๆ ยืนขึ้น เขายื่นแขนออกไปโอบกอดร่างบางไว้อย่างแผ่วเบา เขาก็ต้องการกล่าวบางอย่างออกไป ทว่ากลับปากหนักพูดไม่ออกเลยสักนิด
เมื่อได้รับความอบอุ่นจากอ้อมกอดของฉินเฟิง ฉินเหยียนก็เอนกายซบแขนแข็งแกร่งของเขาพร้อมหยดน้ำตาที่ไหลรินจากดวงตา
“พี่เฟิง ข้ากลัวว่าต่อไปข้าจะไม่ได้กอดท่านแบบนี้อีกแล้ว…”
นางกล่าวออกมาเบา ๆ จนฟังราวกับเป็นเสียงกระซิบ นางเหมือนจะทราบเรื่องบางอย่างอยู่แล้ว เพียงแต่แสร้งทำเป็นไม่รับรู้ก็เท่านั้น
ฉินเฟิงไม่ได้ยินถึงคำพูดที่แผ่วเบาของฉินเหยียน เขาเพียงแค่คิดว่าหลังจากนี้เขาจะบอกความรู้สึกที่มีในใจให้นางได้ทราบและพานางออกไปจากวังวนความรู้สึกถูกผิดเช่นนี้ จากนั้นทั้งสองก็จะได้ครองรักเคียงคู่กันดั่งเทพบุตรและเทพธิดา…
……
ในอีกฟากหนึ่งของโลกมายา ฉินขุยและคนอื่น ๆ ก็ได้รับข่าวจากฉินหวยและรวมตัวกันเพื่อหารือวิธีการรับมือ
“นี่ก็ผ่านมากว่าครึ่งปีแล้ว ไม่รู้เลยว่าตอนนี้อวี้โม่จะเป็นอย่างไรบ้าง”
หลังจากเวลาล่วงเลยไปหกเดือนแล้วทว่ายังไม่ได้รับข่าวใด ๆ จากหอคอยต้องห้าม ทุกคนก็เป็นกังวลขึ้นมาไม่น้อย
“ข้าคิดว่านางจะออกมาในไม่ช้า อย่างไรก็ตาม เราต้องคิดหาทางรับมือกับปัญหาในตอนนี้เสียก่อน”
ซูน่ากล่าว นางรู้สึกได้ว่าฉินอวี้โม่น่าจะออกมาจากมิติพิเศษในอีกไม่นาน เพียงแต่ฉินเหยียนจะเริ่มการโจมตีครั้งใหญ่ก่อนถึงวันนั้น ยิ่งไปกว่านั้น ครานี้ฉินเหว่ยก็คงจะไม่อยู่เฉยและเข้าร่วมการต่อสู้อย่างแน่นอน
แม้ว่ายังมีคนอย่างฉินเฟิงและฉินหวย มันก็ยากที่พวกเขาจะจัดการกับฝ่ายฉินเหยียนได้
“อันที่จริงเราไม่ต้องคิดหาทางหรอก ตอนนี้เราเพียงต้องถ่วงเวลาให้ได้นานที่สุด แม้ว่าฉินเหยียนและพวกจะแข็งแกร่งมาก พวกเราก็ไม่ได้อ่อนแอเลยเช่นกัน และเมื่อถึงตอนนั้นเราก็จะมีความช่วยเหลือจากฉินเฟิงและฉินหวย เราน่าจะถ่วงเวลาไว้ได้สักระยะโดยที่ไม่มีปัญหา”
ซูวั่งชวนกล่าวก่อนหยุดขมวดคิ้วครู่หนึ่งและกล่าวต่อ “สิ่งที่ข้ากังวลคือเมื่ออวี้โม่ออกมา นางอาจจะยังไม่แข็งแกร่งพอที่จะต่อสู้กับฝ่ายฉินเหยียนได้ เมื่อถึงตอนนั้น พวกเราจะต้องตกที่นั่งลำบากแน่”
เมื่อได้ยินความกังวลของซูวั่งชวน สีหน้าของทุกคนก็เปลี่ยนไปและกังวลขึ้นมาเช่นกัน พวกเขาไม่เคยพิจารณาถึงเรื่องนี้มาก่อน เมื่อซูวั่งชวนกล่าวออกมาเช่นนี้ พวกเขาก็เชื่อว่าหนทางข้างหน้าอาจไม่ได้ราบรื่นอย่างที่คิด
“จะว่าไปแล้ว หากเบื้องบนส่งคนมาที่นี่อีกครั้ง เราจะรับมือกันอย่างไร ?”
เฉิงห่าวซวนกล่าวเสริมด้วยความกังวลเช่นกัน ตอนนี้เขาเริ่มสงสัยและไม่มั่นใจขึ้นมาก การประกาศสงครามกับฉินเหยียนในตอนนี้เป็นการกระทำที่ถูกแล้วหรือไม่ ?
ทุกคนต่างก็ตกอยู่ในภวังค์ความคิดของตนเองและไม่มีผู้ใดกล่าวสิ่งใดออกมา
ฉินอวี้โม่ก็ไม่ได้ทราบถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นในโลกภายนอกเลยสักนิด เวลานี้นางถูกห่อหุ้มด้วยแสงสว่างจ้าและมีพลังงานอันน่าสะพรึงกลัวแผ่อยู่รอบ ๆ ตัวนาง