คุณหนูสี่ สตรีเปื้อนเลือด - ตอนที่ 467 ดินแดนเทพมายา
ตลอดหลายปีที่ผ่านมานี้ ดินแดนเทพมายามีความเคลื่อนไหวและดูมีชีวิตชีวากว่าแต่ก่อนมาก
ในอดีตแม้ว่าจะมีความขัดแย้งในหมู่ขุมกำลังใหญ่ทั้งหลาย ทว่าการประจันหน้าหรือรบราฆ่าฟันก็เกิดขึ้นไม่บ่อยนัก
อย่างไรก็ตาม ในช่วงหลายปีมานี้ การต่อสู้ระหว่างขุมกำลังใหญ่แต่ละแห่งล้วนเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง
นครกระบี่ศักดิ์สิทธิ์ นครเวหาและวิหารทมิฬรวมตัวกันก่อตั้งกลุ่มพันธมิตรขึ้นมา ในขณะที่อีกสามขุมกำลังก็ก่อตั้งกลุ่มพันธมิตรอีกกลุ่มหนึ่งเช่นกัน
ทั้งสองฝ่ายมีการต่อสู้เผชิญหน้ากันอยู่บ่อยครั้งและความขัดแย้งที่มีก็ยืดเยื้อรุนแรงมากขึ้น นอกจากนี้ ในช่วงหลายปีที่ผ่านมาก็ได้มีบุคคลมากหน้าหลายตาที่ปรากฏตัวขึ้นมาในดินแดนเทพมายาซึ่งสร้างความตกตะลึงไปทั่วทั้งดินแดน
คนแรกที่ปรากฏตัวคือจอมยุทธ์ขอบเขตพสุธาเซียนที่อายุน้อยที่สุด—มู่อวิ๋น อธิการแห่งโรงเรียนราชสำนักจากดินแดนหวนหลิง
ด้วยอายุเพียงห้าร้อยปี พลังของเขาบรรลุขอบเขตพสุธาเซียนขั้นสูงและสามารถรับมือกับยอดฝีมือผู้แกร่งกล้าของดินแดนได้อย่างไม่เสียเปรียบซึ่งเป็นสิ่งที่น่าทึ่งยิ่งนัก ยิ่งไปกว่านั้น เขานำกลุ่มคนจากดินแดนหวนหลิงเข้ามาและก่อตั้งขุมกำลังใหม่ชื่อว่า ‘นครล่าฝัน’ ด้วยความช่วยเหลือจากนครกระบี่ศักดิ์สิทธิ์ นครเวหาและวิหารทมิฬ ขุมกำลังดังกล่าวได้พัฒนากลายเป็นขุมกำลังแข็งแกร่งที่มีพลังอันดับต้น ๆ ภายในระยะเวลาไม่กี่ปี
แม้ว่าอารามโชติช่วงและขุมกำลังอื่น ๆ จะพยายามส่งคนมาขัดขวางแค่ไหน มันก็เปล่าประโยชน์ เมื่อตระหนักได้ว่าในไม่ช้านครล่าฝันจะกลายเป็นอีกหนึ่งขุมกำลังที่แข็งแกร่งในดินแดนเทพมายาที่สามารถประจันหน้ากับขุมกำลังเก่าอื่น ๆ ได้อย่างไม่น้อยหน้า และเนื่องจากทราบตัวตนของมู่อวิ๋นและคนของเขาดี กลุ่มพันธมิตรที่เหนียวแน่นทั้งสามของอารามโชติช่วงจึงไม่มีทางนิ่งเฉยและรอดูการเติบโตของพวกเขาแน่
พวกเขาจึงก่อตั้งขุมกำลังขึ้นมาเพื่อต่อกรกับนครล่าฝันเช่นกันโดยใช้ชื่อว่า ‘เรือนกระจกน้ำแข็ง’ ผู้นำของขุมกำลังนี้เป็นจอมยุทธ์ขอบเขตพสุธาเซียนขั้นสูงและยังมีผู้หลอมโอสถระดับปรมาจารย์ผู้ซึ่งทรงพลังอย่างยิ่งอีกคน
ภายในนครล่าฝัน ในเวลานี้ทุกคนกำลังรวมตัวกันเพื่อหารือถึงเรื่องบางอย่าง
“นี่ก็ผ่านมาหลายปีแล้ว อวี้โม่ยังไม่มาที่ดินแดนเทพมายาอีกรึ ?”
ผู้ที่กล่าวประโยคนี้ออกมาคือเยว่ชิงเฉิงผู้ซึ่งเป็นมิตรและมีความสัมพันธ์อันดีกับฉินอวี้โม่ ในเวลานี้สีหน้าของนางบ่งบอกถึงความกังวลไม่น้อยเลย
แม้นางจะกล่าวว่ามันผ่านมานานหลายปีแล้ว ทว่าแท้ที่จริงแล้วเวลาในดินแดนเทพมายาแห่งนี้ผ่านไปมากกว่าหลายร้อยปีเสียอีก
กระแสของเวลาในดินแดนเทพมายาเดินเร็วกว่าเวลาในดินแดนหวนหลิงมาก เวลารอบหนึ่งปีของดินแดนหวนหลิงนั้นเท่ากับเวลาหนึ่งร้อยปีในดินแดนเทพมายา เพราะเหตุนั้น แม้ว่าคนเหล่านี้คุ้นชินกับเวลาในดินแดนเทพมายาแล้ว พวกนางก็ยังรู้สึกราวกับว่ามันผ่านไปเพียงไม่กี่ปีเท่านั้น
“เมื่อคำนวณจากเวลา นางก็ควรจะมาถึงที่นี่ในอีกไม่นาน จากสิ่งที่เราเข้าใจเกี่ยวกับอวี้โม่ หากนางไม่เผชิญกับเหตุการณ์ใด นางก็คงจะมาถึงที่นี่แล้ว”
โอวหยางชิงเฟิงยิ้มและกล่าวความคิดของตนออกไป เขาเองก็คิดถึงสหายอวี้โม่มากเช่นกัน
“ใช่แล้ว พี่อวี้โม่น่าจะมาถึงในไม่ช้า เราไปถามหาข่าวคราวจากคนอื่นกันเถอะ บางทีอาจจะมีข่าวเกี่ยวกับนางก็ได้”
ฉีฉีกล่าว เวลานี้นางโตเป็นสาวแล้ว ด้วยเครื่องหน้าที่ได้สัดส่วนงดงามควบคู่กับรูปร่างที่เติบใหญ่ขึ้นมาก อีกทั้งใบหน้าที่ดูอ่อนโยน ในเวลานี้นางจึงกลายเป็นโฉมนารีที่งดงามชวนมองคนหนึ่ง
“อย่าเลย ตอนนี้เราอยู่ในดินแดนเทพมายาที่กว้างใหญ่ หากอวี้โม่มาถึงที่นี่ นางจะต้องหาทางติดต่อกับพวกเราแน่ หากเราไปตามสืบหาข่าวคราวของนางอย่างไม่มีทิศทาง มันคงไม่ต่างจากการงมเข็มในมหาสมุทร ข้าไม่เห็นด้วยกับเรื่องนี้”
ฉินเฟินกล่าวอย่างไม่เห็นด้วย เขาคือท่านปู่ของฉินอวี้โม่และแน่นอนว่าเป็นคนที่คิดคำนึงถึงหลานสาวมากที่สุดในบรรดาคนทุกคนที่นี่ ยิ่งไปกว่านั้น เขามิได้กังวลเพียงฉินอวี้โม่เท่านั้น ทว่ายังรวมถึงฉินเทียนและฉินอี้เฟยอีกด้วย เขาไม่มีข้อมูลและหนทางสืบหาได้เลยว่าพวกเขาจะอยู่ที่ไหนและเป็นอย่างไร
“ท่านปู่พูดถูก อวี้โม่จะต้องติดต่อเรามาแน่ การที่นางยังไม่ติดต่อมาเช่นนี้ก็คงเป็นเพราะนางยังไม่ได้อยู่ที่นี่”
ฉินอี้เฉียงกล่าวพร้อมรอยยิ้มเรียกความมั่นใจ เขาเองก็เป็นห่วงและกังวลเกี่ยวกับสถานการณ์ของฉินอวี้โม่มาก ทว่าเขาทราบดีว่าตอนนี้ควรทำอย่างไร
ทุกคนมองหน้ากันและยิ้มออกมาอย่างจนปัญญา ความกังวลที่พวกเขามีต่อฉินอวี้โม่นั้นจริงจังและชัดเจนอย่างยิ่งโดยไม่เคยลดน้อยขาดหายไป
“มาคุยเรื่องสิ่งที่เราต้องทำต่อไปกันเถอะ เมื่อไม่นานมานี้ เรือนกระจกน้ำแข็งชักจะเหิมเกริมเกินไปแล้ว หากเราไม่ทำอะไรสักอย่าง พวกนั้นคงคิดว่าเราเป็นเป้าหมายที่รังแกได้ง่าย ๆ !”
จู่ ๆ หลินจิ้งหงก็กล่าวขึ้นมา น้ำเสียงของเขายังคงเย็นชาและปราศจากการแสดงอารมณ์ใด ๆ
“เหอะ หากมิใช่เพราะมีผู้หลอมโอสถระดับปรมาจารย์คนนั้น เรือนกระจกน้ำแข็งนั่นจะมีดีอะไรกัน ? ผู้หลอมโอสถระดับปรมาจารย์ทำให้ผู้คนมากมายเข้าร่วมขุมกำลังของพวกเขา ดังนั้นจึงได้มีพลังอำนาจที่สามารถทัดเทียมกับเราได้ หากผู้หลอมโอสถระดับปรมาจารย์คนนั้นถูกฆ่าตาย มันจะส่งผลกระทบต่อพวกเขาอย่างแสนสาหัสเป็นแน่”
หลินซิวหยาแค่นเสียงเย็นชาและหันไปสบตากับหลินหยวนอย่างเข้าใจตรงกัน
“เอาล่ะ ปิงเสวียน หลินหยวน หลินซิวหยา โอวหยางชิงเฟิง พวกเจ้าทั้งสี่จงไปจัดการกับผู้หลอมโอสถระดับปรมาจารย์ที่เรือนกระจกน้ำแข็งนั่น ข้าเชื่อว่าด้วยความแข็งแกร่งของพวกเจ้า ต่อให้จะสังหารเขาไม่ได้ พวกเจ้าก็น่าจะล่าถอยออกมาได้อย่างไม่เป็นปัญหา”
มู่อวิ๋นตัดสินใจและถ่ายทอดคำสั่งให้ทั้งสี่คนเดินทางไปจัดการกับผู้หลอมโอสถระดับปรมาจารย์ที่เรือนกระจกน้ำแข็ง
ทั้งสี่พยักศีรษะรับคำสั่งโดยไม่ลังเล
หลังจากจัดการเรื่องต่าง ๆ มู่อวิ๋นก็ปล่อยให้ทุกคนแยกย้ายกันไปทำหน้าที่ของตนเองในขณะที่ตัวเขาจัดการเรื่องของนครล่าฝันต่อไป
….
ในอีกฝั่งหนึ่ง ภายในเรือนกระจกน้ำแข็งก็มีการประชุมเกิดขึ้นเช่นกัน
“ฮ่า ๆ ๆ ท่านจอมยุทธ์ฉินเฟย การที่เรือนกระจกน้ำแข็งของเราสามารถพัฒนาเติบโตได้อย่างต่อเนื่องเช่นนี้ ต้องขอบคุณท่านจริง ๆ”
ผู้ที่กล่าวมานี้คือผู้นำของเรือนกระจกน้ำแข็งคนปัจจุบัน เขาคือจอมยุทธ์ผู้แข็งแกร่งที่มีพลังในขอบเขตพสุธาเซียนขั้นสูง—หานปิง
หานปิงมองบุรุษที่นั่งต่ำกว่าระดับของตนเองเล็กน้อยด้วยแววตาเปี่ยมไปด้วยความขอบคุณและซาบซึ้งในความช่วยเหลือ
ผู้ที่นั่งอยู่ในระดับต่ำกว่าเขาผู้นี้คือบุรุษหนุ่มที่ดูเยาว์วัย เขาเพียงยิ้มตอบเล็กน้อยก่อนสีหน้ากลับคืนเป็นราบเรียบเช่นเดิม เห็นได้ชัดว่าเขาไม่ได้สนใจวาจาท่าทางเคารพและซาบซึ้งใจของหานปิงเลยสักนิด
แม้ได้รับการตอบสนองที่เมินเฉยจากอีกฝ่าย หานปิงก็มิได้โกรธเคืองใด ๆ
คนผู้นี้คือหัวหน้าผู้หลอมโอสถของเรือนกระจกน้ำแข็งซึ่งเป็นถึงผู้หลอมโอสถระดับปรมาจารย์และเป็นผู้ที่เก่งกาจอย่างยิ่ง
โอสถหลากหลายชนิดที่เขาปรุงขึ้นมาล้วนเป็นที่นิยมและมีสรรพคุณที่เหนือความคาดหมายของผู้คนโดยทั่ว เป็นเพราะมีเขาอยู่ที่นี่ หลายคนในดินแดนจึงเลือกเข้าร่วมเป็นสมาชิกของเรือนกระจกน้ำแข็งแห่งนี้
หานปิงเข้าใจดีว่าเขามิอาจขัดแย้งหรือทำให้บุรุษผู้นี้ขุ่นเคืองใจได้ แม้ว่าตัวเขาจะเป็นถึงผู้นำของขุมกำลัง แต่สถานะของผู้หลอมโอสถผู้นี้ก็ไม่ได้ด้อยไปกว่าตัวเขาเลย
ยิ่งไปกว่านั้น ผู้หลอมโอสถนามว่า ‘ฉินเฟย’ ดูจะไม่มีความคิดเกี่ยวกับการต่อสู้แย่งชิงอิทธิพล เพราะเหตุนั้นหานปิงจึงวางใจได้มาก
“ข้าคิดว่าในช่วงนี้นครล่าฝันอาจจะส่งคนมาลอบโจมตีท่านได้ ไม่ทราบว่าท่านต้องการให้ข้าส่งคนไปคอยคุ้มกันท่านรึไม่ ?”
หานปิงเอ่ยถาม ไม่คาดคิดเลยว่าเขาจะคาดเดาถึงแผนการของมู่อวิ๋นได้อย่างแม่นยำ แน่นอนว่าในฐานะผู้นำแห่งเรือนกระจกน้ำแข็ง เขาย่อมมีความคิดเชิงกลยุทธ์และการรับมือที่ดี
เมื่อได้ยินอีกฝ่ายเอ่ยถึงนครล่าฝัน สีหน้าของผู้หลอมโอสถระดับปรมาจารย์ที่รู้จักในนาม ‘ฉินเฟย’ ก็เปลี่ยนไปเล็กน้อย ทว่าเขาก็ปรับสีหน้าอารมณ์กลับมาเป็นสงบนิ่งได้อย่างรวดเร็ว
“ไม่จำเป็น พวกเขาทำอะไรข้าไม่ได้หรอก หากพวกเขาอยากจะมาก็ปล่อยให้พวกเขามา ข้าก็อยากพบคนของนครล่าฝันสักครา”
หลังจากกล่าวจบ เขาก็ลุกขึ้นและกล่าวลาก่อนเดินออกไปอย่างช้า ๆ
ขณะมองดูร่างที่ค่อย ๆ เดินจากไป หานปิงไม่กล่าวสิ่งใดต่อ ทุกวันนี้เขาเข้าใจนิสัยใจคอของฉินเฟยอย่างชัดเจน ในเมื่ออีกฝ่ายลั่นวาจาว่าไม่สนใจ เขาก็ไม่คิดที่จะเข้าไปแทรกแซง มิฉะนั้นมันอาจพาลทำให้ฉินเฟยโกรธเกรี้ยวและไม่พอใจได้
ฉินเฟยออกจากห้องโถงและกลับไปสู่ลานที่พักของตน เรือนกระจกน้ำแข็งมีพื้นที่กว้างขวาง ลานเล็ก ๆ ซึ่งเป็นบริเวณที่เขาพักอยู่นั้นมิได้อยู่ตรงกลางทว่าเป็นบริเวณที่เงียบสงบที่อยู่ด้านข้าง
หลังจากก้าวเข้าไปในเขตลานเล็ก ๆ เขาก็เดินตรงไปที่ห้องนอนของตนเองทันที
เขาทิ้งตัวนั่งลงบนเตียงนุ่มก่อนหยิบสิ่งของบางอย่างออกมาจากแหวนมิติ แววตาของเขาเวลานี้เปี่ยมไปด้วยความคิดคำนึงหาอย่างชัดเจน
“โม่เอ๋อร์… เสี่ยวโร่ว… พวกเจ้าเป็นอย่างไรกันบ้าง ?”
ด้วยเสียงพึมพำเบา ๆ ตัวตนของเขาก็ถูกเปิดเผยออกมา
บุรุษผู้นี้มิใช่ใครอื่น หากแต่เป็นฉินอี้เฟยผู้ซึ่งเดินทางมายังดินแดนเทพมายาก่อนใคร ส่วนเรื่องที่เขาอยู่ในเรือนกระจกน้ำแข็งได้อย่างไรนั้นมีความเป็นมาค่อนข้างยืดยาว หลายสิ่งหลายอย่างเกิดขึ้นในช่วงที่ผ่านมานี้และท้ายที่สุดเขาก็กลายเป็นหัวหน้าผู้หลอมโอสถของเรือนกระจกน้ำแข็ง
อย่างไรก็ตาม การได้เป็นหัวหน้าผู้หลอมโอสถของเรือนกระจกน้ำแข็งได้นำพาผลประโยชน์มาให้เขามากมาย อย่างน้อยที่สุดเขาก็มีเบาะแสเกี่ยวกับเสี่ยวโร่วแล้วเล็กน้อยและทราบถึงสถานการณ์ของตระกูลของนาง
เวลานี้เขาทำได้เพียงพัฒนาตนให้แข็งแกร่งขึ้นโดยเร็วที่สุด เมื่อเขาแข็งแกร่งมากพอที่จะเมินเฉยและมองข้ามทุกอย่าง เขาจะไปรับตัวเสี่ยวโร่วออกมาและให้นางได้ใช้ชีวิตดั่งที่ต้องการ
ในขณะที่นึกถึงเรื่องราวมากมาย จู่ ๆ ฉินอี้เฟยก็ขมวดคิ้วเล็กน้อยเมื่อสัมผัสถึงกลิ่นอายของคนหลายคนที่ใกล้เข้ามาอย่างกะทันหัน
“ออกมาเถอะ ข้ารู้ว่าพวกท่านคือคนจากนครล่าฝัน”
ฉินอี้เฟยกล่าวโดยไม่หันหลังกลับไปมองด้วยซ้ำ หลังจากเขาโบกมือเบา ๆ ตรงหน้าเขาก็ถูกจัดระเบียบจนกลายเป็นพื้นที่เปิดโล่ง
“ฮ่า ๆ ๆ ผู้หลอมโอสถระดับปรมาจารย์ของเรือนกระจกน้ำแข็งไม่ธรรมดาจริง ๆ อีกทั้งยังคาดเดาตัวตนของเราได้อย่างง่ายดายเช่นนี้”
หลินซิวหยายิ้มบาง ๆ และร่างของทั้งสี่ก็ปรากฏในห้องของฉินอี้เฟย
เมื่อมองแผ่นหลังของบุรุษตรงหน้า โอวหยางชิงเฟิงรู้สึกถึงความคุ้นเคยเป็นอย่างยิ่ง อีกทั้งน้ำเสียงของฉินอี้เฟยก็คุ้นหูเขาเหลือเกิน
เมื่อครั้งยังอยู่ในดินแดนหวนหลิง เขาสนิทสนมกับฉินอวี้โม่มากและได้พบกับฉินอี้เฟยหลายครั้งหลายครา เขาจึงรู้สึกคุ้นเคยกับฉินอี้เฟยพอสมควร บัดนี้เมื่อไตร่ตรองอย่างรอบคอบ เขาก็เกิดความตื่นเต้นขึ้นมา
ฉินอี้เฟยหันกลับมาช้า ๆ และเห็นใบหน้าของคนทั้งสี่อย่างชัดเจน
ปิงเสวียน หลินซิวหยาและหลิวหยวนไม่รู้จักเขามาก่อน อย่างไรก็ตาม เขาจำโอวหยางชิงเฟิงได้ดีตั้งแต่แวบแรกที่เห็น
ตลอดหลายปีที่ผ่านมา โอวหยางชิงเฟิงไม่เปลี่ยนไปมากนัก เขายังคงมีใบหน้าที่ดูน่ารักเช่นเดิมเพียงแต่ดูโตขึ้นเท่านั้น
“พี่อี้เฟย เป็นท่านจริง ๆ ด้วย !”
เมื่อเห็นหน้าของอีกฝ่ายอย่างชัดเจน โอวหยางชิงเฟิงก็ปรี่เข้าไปใกล้เขาทันทีและยื่นแขนออกไปสวมกอดฉินอี้เฟยเต็มแรง
ฉินอี้เฟยกอดตอบและตบหลังเขาเบา ๆ พร้อมยิ้มกว้าง
คนอื่น ๆ มองดูสถานการณ์ตรงหน้าด้วยความงุนงง เพียงเห็นความสนิทสนมของโอวหยางชิงเฟิงและฉินอี้เฟยตรงหน้า พวกเขาก็คาดเดาได้ว่าความสัมพันธ์ของทั้งสองน่าจะเป็นไปด้วยดีอย่างยิ่ง
“พี่ใหญ่อี้เฟย เหตุใดท่านถึงมาอยู่ที่นี่ได้ ? เราตามหาท่านมานานหลายปีและไม่ได้รับข่าวคราวใด ๆ เลย ไม่คิดเลยว่าจะได้พบท่านที่นี่ ท่านสบายดีรึไม่ ? แล้วเหตุใดท่านจึงกลายเป็นหัวหน้าผู้หลอมโอสถของเรือนกระจกน้ำแข็งได้ ?”
ขณะกอดพี่ชายแน่น โอวหยางชิงเฟิงก็รัวคำถามชุดใหญ่จนฉินอี้เฟยเลือกตอบไม่ถูก
“เฮ้ ชิงเฟิง อธิบายให้พวกเราเข้าใจก่อนสิ”
หลินซิวหยาก้าวออกมาข้างหน้าและกล่าว
เมื่อได้ยินเช่นนั้น โอวหยางชิงเฟิงก็ยิ้มและกล่าวตอบ “นี่คือพี่ชายของอวี้โม่และเป็นหลานชายของท่านปู่ฉินเฟิน…เขาคือฉินอี้เฟยที่พวกเราตามหามานาน”
เมื่อได้ยินคำตอบของเขา หลินซิวหยาและคนอื่น ๆ ก็ถึงกับตกตะลึง พวกเขาไม่คิดเลยว่าศัตรูของพวกเขาผู้นี้คือคนที่พวกเขาตามหามาโดยตลอด
สายตาของทั้งสามบรรจบลงที่ฉินอี้เฟยเป็นตาเดียวและรอคำอธิบายจากเขา โอวหยางชิงเฟิงก็มองฉินอี้เฟยเพื่อรอฟังคำอธิบายเช่นกัน
ฉินอี้เฟยยิ้มเล็กน้อยและค่อย ๆ เริ่มเล่าเรื่องราวประสบการณ์ของตนในดินแดนเทพมายาตลอดช่วงที่ผ่านมา…
ในขณะเดียวกันนั้น ฉินอวี้โม่และฉินเฟิงก็เพิ่งเหยียบก้าวลงบนผืนแผ่นดินของดินแดนเทพมายา