คุณหนูสี่ สตรีเปื้อนเลือด - ตอนที่ 468 อาณาเขตทางเหนือ
ในช่วงเวลานี้ ดวงอาทิตย์กำลังส่องแสงสว่างเจิดจ้าลงมาสู่ผู้คน สร้างความอบอุ่นและความสบายใจให้กับบรรยากาศรอบ ๆ
ตรงหน้าเมืองเล็ก ๆ เมืองหนึ่ง บุรุษและสตรีคู่หนึ่งหยุดลงหลังจากการเดินทางอันยาวไกล
ทั้งสองสวมอาภรณ์สีขาวสะอาดและกลิ่นอายของทั้งสองเต็มไปด้วยความสูงส่งทว่าอ่อนโยนทำให้ผู้คนรู้สึกใกล้ชิดอย่างยิ่ง แม้ว่าสตรีจะดูเย็นชาและเข้าถึงยากเล็กน้อย นางก็งดงามอย่างไร้ที่ติ กลิ่นอายที่แผ่มาจากร่างของนางนั้นยากที่ผู้ใดจะละสายตาได้
หลายคนถึงกับถอนหายใจเบา ๆ กับตัวเองเมื่อได้พบเห็นคนทั้งคู่
“ศิษย์พี่ ท่านรู้จักที่นี่รึไม่ ?”
แน่นอนว่าหญิงชายคู่นี้คือฉินอวี้โม่และฉินเฟิงผู้ซึ่งเดินทางมาจากดินแดนอ้างว้าง
ก่อนหน้านี้หลังเดินทางออกจากโลกมายา สิ่งที่ทั้งสองทำเป็นอันดับแรกคือการไปที่ดินแดนอ้างว้างและไปพบหยินหึน
หยินหึนตื่นเต้นเป็นอย่างยิ่งเมื่อได้พบกับฉินเฟิง แต่เมื่อได้ทราบว่าบิดาบุญธรรมของเขาตกอยู่ในการควบคุมของฉินมู่ยวี่ เขาก็อดกังวลไม่ได้
และเมื่อทราบว่าฉินอวี้โม่และฉินเฟิงกำลังจะเดินทางไปที่ดินแดนเทพมายาด้วยกัน หยินหึนก็เอ่ยวาจาเพียงไม่กี่คำและบอกให้ทั้งสองระวังตัวอยู่เสมอ
หลังจากนั้น ฉินอวี้โม่และฉินเฟิงก็มุ่งหน้าเข้าไปในช่องทางที่เชื่อมโยงระหว่างดินแดนอ้างว้างกับดินแดนเทพมายา
เมื่อมาถึงที่นี่ ทั้งสองก็ปรากฏตัวไม่ไกลจากเมืองเล็ก ๆ แห่งนี้เท่าใดนัก และเนื่องจากฉินเฟิงมิได้ใช้ชีวิตอยู่ที่นี่มานานเกือบร้อยปี เขาจึงไม่คุ้นเคยกับมันเช่นกัน
ในเมื่อเป็นเมืองที่อยู่ใกล้ที่สุดในตอนนั้น ทั้งสองจึงไม่ลังเลและมุ่งหน้าตรงมาที่นี่เพื่อเข้าไปสืบหาข่าวคราว
เมืองตรงหน้าคนทั้งคู่มีชื่อว่า ‘เมืองเหลียว’ นี่คือเมืองเก่าแก่ทว่ามีขนาดไม่ใหญ่นักและมีประชากรไม่แน่นหนา เมืองนี้มีผู้คนเดินทางเข้าออกเพียงประปรายซึ่งบ่งบอกได้อย่างชัดเจนว่ามันไม่คึกคักเท่าใดนัก
ฉินเฟิงส่ายศีรษะเบา ๆ และกล่าวออกมา “เข้าไปสอบถามข้อมูลกันเถอะ เมื่อก่อนตอนที่ข้าอยู่ในดินแดนนี้ ข้าก็มัวแต่ง่วนอยู่กับการฝึกยุทธ์และไม่คุ้นเคยกับที่ต่าง ๆ นัก ในตอนนี้ข้าก็ยิ่งจดจำสิ่งใด ๆ ไม่ได้เลย”
ฉินอวี้โม่ยิ้มตอบขณะเดินเข้าไปในเขตเมืองก่อน
แน่นอนว่าฉินเฟิงออกเดินตามไปโดยไม่ลังเลและทั้งสองเคียงคู่กันเข้าไป
ทั้งคู่ก้าวเดินไปบนถนนที่ไม่คึกคักนักและแน่นอนว่าตกเป็นที่สนใจของผู้คนโดยรอบทันที ฉินอวี้โม่และฉินเฟิงก็รู้สึกอับจนปัญญาอย่างยิ่งก่อนที่จะพบโรงเตี๊ยมแห่งหนึ่งและตรงเข้าไปอย่างรวดเร็ว
“ศิษย์น้อง ต่อไปเจ้าเปลี่ยนเป็นแต่งกายแบบบุรุษเถอะ รูปลักษณ์ของเจ้าดึงดูดสายตาผู้คนมากเกินไป”
ฉินเฟิงกล่าวพร้อมรอยยิ้ม
ฉินอวี้โม่พยักศีรษะอย่างจริงจัง เพื่อมิให้เป็นการดึงดูดความสนใจหรือปัญหาที่ไม่จำเป็น นางจึงตัดสินใจที่จะปลอมตัวเป็นบุรุษ
“เสี่ยวเอ้อ ขอเปิดห้องพักสักสองห้อง”
*เสี่ยวเอ้อ 店小二 หมายถึง ผู้ให้บริการ ใช้เป็นคำเรียกคนให้บริการที่ติดปากกันมานาน
เมื่อเดินเข้าไป ฉินเฟิงเป็นฝ่ายยิ้มกว้างและกล่าวออกไป
“ท่านแขกผู้มีเกียรติทั้งสอง ขออภัยด้วย ตอนนี้เรามีห้องว่างเพียงห้องเดียวเท่านั้น”
เมื่อพนักงานโรงเตี๊ยมเห็นชายหญิงรูปงามไร้ที่ติคู่นี้ เขาก็ตกตะลึงไปพักหนึ่งก่อนกล่าวตอบพร้อมรอยยิ้มเจื่อน ๆ
“ไม่มีปัญหา ถ้าอย่างนั้นก็ขอเปิดเพียงห้องเดียว”
ฉินอวี้โม่กล่าวเบา ๆ พร้อมยิ้มตอบ
ถึงอย่างไรนางก็เข้ามาในเมืองนี้เพื่อสืบหาข้อมูล หากต้องการนอนหลับพักผ่อน นางก็สามารถนอนพักในคฤหาสน์เฟิงหัวได้ ไม่ว่ามีห้องพักมากหรือน้อยก็ไม่ส่งผลใด ๆ ต่อนาง
ฉินเฟิงเข้าใจความหมายของฉินอวี้โม่เป็นอย่างดีและพยักศีรษะเบา ๆ
เมื่อเห็นสีหน้าที่เปลี่ยนไปของทั้งสอง พนักงานโรงเตี๊ยมก็เหมือนจะมีความคิดเข้าใจผิดบางอย่างซึ่งทำให้คนทั้งสองรู้สึกจนปัญญาไม่น้อย
อย่างไรก็ตาม แน่นอนว่าฉินเฟิงและฉินอวี้โม่ก็เกียจคร้านเกินกว่าจะกล่าวอธิบายออกไป ไม่ว่าผู้อื่นจะคิดอย่างไร ทั้งสองก็ไม่สนใจเลยสักนิด
หลังจากได้ห้องพักตามที่ต้องการ ทั้งสองก็ตรงไปที่ห้องและอาบน้ำอาบท่าชำระล้างร่างกายสร้างความสดชื่น ฉินอวี้โม่ก็เปลี่ยนเป็นอาภรณ์แบบบุรุษและปลอมตัวให้ใบหน้าเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว รวมถึงเส้นผมยาวสลวยที่ถูกมัดเก็บไว้อย่างดี ใบหน้าของนางก็ถูกทาด้วยโอสถบางอย่างซึ่งทำให้ผิวเข้มดำขึ้นเป็นการชั่วคราว ภายในเวลาเพียงไม่นาน ฉินอวี้โม่ก็เปลี่ยนกลายเป็นบุรุษหนุ่มรูปลักษณ์ดีทว่ามิได้ดูโดดเด่นจนเกินไป
เมื่อพบฉินอวี้โม่ผู้ซึ่งออกมาจากคฤหาสน์เฟิงหัว ฉินเฟิงก็ยิ้มและกล่าว “ดีขึ้นมากทีเดียว เจ้าจะได้ไม่ดูโดดเด่นสะดุดตามากเกินไป”
“ศิษย์พี่ ท่านเองก็ควรทำให้ตนเองดูขี้ริ้วขี้เหร่กว่านี้สักหน่อย”
ฉินอวี้โม่กล่าวพร้อมรอยยิ้มก่อนมองบุรุษรูปงามตรงหน้าและหยิบขวดโอสถออกมาเพื่อใช้ทาที่ใบหน้าของฉินเฟิง ภายในเวลาเพียงครู่เดียว ใบหน้าของฉินเฟิงก็หม่นลงและรูปลักษณ์หล่อเหลาของเขาก็ไม่ได้โดดเด่นสะดุดตาอีกต่อไป
ทั้งสองยิ้มให้กันก่อนเดินออกจากห้อง
ในโถงหลักตอนนี้ไม่มีใครอื่น ทั้งสองนั่งลงที่มุมหนึ่งก่อนเอ่ยเรียกเสี่ยวเอ้อเข้ามา
“น้องชาย ขอถามได้รึไม่ว่าเมืองเหลียวแห่งนี้อยู่ในส่วนใดของดินแดนเทพมายารึ ?”
ฉินอวี้โม่เอ่ยถามในสิ่งที่สงสัยมากที่สุดออกไปทันที
เมื่อได้ยินคำถามดังกล่าว สีหน้าของเด็กหนุ่มก็บ่งบอกถึงความประหลาดใจอย่างชัดเจน
“ข้าและน้องชายฝึกยุทธ์อยู่ในป่าลึกมานานตั้งแต่เด็ก ๆ เมื่อไม่กี่วันก่อน ข้าก็เพิ่งออกมาจากช่วงเก็บตัวจึงไม่ทราบเกี่ยวกับดินแดนเทพมายามากนัก”
ฉินเฟิงกล่าวเสริม เพราะถึงอย่างไรการที่คนของดินแดนเทพมายาจะไม่รู้ว่าเมืองเหลียวแห่งนี้อยู่ในส่วนใดของดินแดนนั้น นั่นถือว่าเป็นเรื่องที่แปลกไม่น้อย
เมื่อได้ยินคำอธิบายดังกล่าว เสี่ยวเอ้อก็พยักศีรษะรับทราบ ดินแดนเทพมายาแห่งนี้มีจอมยุทธ์ที่ซ่อนตัวฝึกยุทธ์อยู่มากอย่างแท้จริง โดยปกติแล้วพวกเขาเหล่านั้นมักฝึกยุทธ์อยู่ในป่าลึกและไม่คุ้นชินกับเขตเมือง ความสงสัยที่เกิดขึ้นจึงมิใช่เรื่องแปลก
“ท่านจอมยุทธ์ทั้งสอง เมืองเหลียวของพวกเราเป็นเมืองที่ตั้งอยู่ในภูมิภาคทางเหนือ เรียกได้ว่าเราอยู่เกือบเหนือสุดของดินแดนเทพมายา”
เสี่ยวเอ้อยิ้มและกล่าวอธิบายกับแขกทั้งสองอย่างคร่าว ๆ
ดินแดนเทพมายากว้างใหญ่กว่าดินแดนหวนหลิงหลายร้อยเท่าตัว เนื่องจากอาณาเขตกว้างใหญ่ไพศาลนี้ ดินแดนเทพมายาจึงแบ่งออกเป็นห้าภูมิภาคด้วยกัน ซึ่งก็คือทางเหนือ ทางใต้ ทางตะวันออก ทางตะวันตกและภูมิภาคกลางซึ่งเป็นดั่งศูนย์รวมของทั้งดินแดน
และเมืองเหลียวที่ฉินอวี้โม่และฉินเฟิงอาศัยอยู่ในตอนนี้เป็นเมืองเล็ก ๆ ที่อยู่เกือบเหนือสุดของภูมิภาคทางเหนือ
แม้ว่าดินแดนเทพมายาจะกว้างใหญ่ไพศาล ขุมอำนาจใหญ่ทั้งหลายก็ล้วนรวมตัวกันที่ภูมิภาคส่วนกลางโดยที่อีกสี่ภูมิภาคที่เหลือไร้ซึ่งขุมกำลังอันดับต้น ๆ ของดินแดน พวกเขามีขุมกำลังเล็ก ๆ จำนวนมากและมีพลังความแข็งแกร่งที่แตกต่างกัน ทว่าก็ไม่มีพลังมากพอที่จะเทียบกับขุมกำลังอันดับต้น ๆ ของดินแดนได้
หลังจากได้ฟังคำอธิบายอย่างรวบรัดจากเด็กหนุ่ม ฉินอวี้โม่และฉินเฟิงก็พอจะเข้าใจภาพรวมมากขึ้นแล้ว
“น้องชายเอ๋ย โรงเตี๊ยมของเจ้าก็ใหญ่พอสมควร ทว่าข้าไม่พบเห็นผู้ใดเลย เหตุใดห้องพักถึงเต็มได้เล่า ?”
หลังจากไตร่ตรองอยู่พักหนึ่ง ฉินอวี้โม่ก็เอ่ยถามด้วยความสงสัยยิ่งนัก
เห็นได้ชัดว่าโรงเตี๊ยมแห่งนี้กว้างใหญ่พอสมควรและน่าจะมีห้องพักหลายสิบห้อง อย่างไรก็ตาม เมื่อเดินชมไปทั่วก่อนหน้านี้นางกลับไม่พบเห็นผู้ใดเลย อีกทั้งเมืองเหลียวตั้งอยู่เกือบเหนือสุดของดินแดน นางจึงคิดว่าเป็นเรื่องแปลกอย่างยิ่งที่ห้องพักจะเต็มเช่นนี้
“ฮ่า ๆ ๆ ท่านจอมยุทธ์คงจะไม่ทราบเรื่องนี้ แม้ว่าเมืองของเราจะเป็นเมืองเล็กซึ่งดูจะมีประชากรไม่มาก กิจการในโรงเตี๊ยมของเราก็ดำเนินไปอย่างคล่องตัวเสมอขอรับ หากออกจากเมืองเหลียวไปและมุ่งหน้าต่อไปทางเหนือ พวกท่านจะได้พบทุ่งหิมะทางเหนือ ที่นั่นมีอสูรมายาระดับสูงมากมายรวมถึงวัสดุหายากทั้งหลาย นอกจากนี้ยังมีวัตถุศักดิ์สิทธิ์อย่างผลผลึกน้ำแข็งศักดิ์สิทธิ์ มันเป็นที่ที่จอมยุทธ์หลายคนเดินทางไปไขว่คว้าหาโอกาส”
หลังจากหยุดชั่วคราว เด็กหนุ่มก็อธิบายต่อ “ยิ่งไปกว่านั้น ท่านทั้งสองอาจยังไม่ทราบ กล่าวกันว่ามีคนพบร่องรอยเบาะแสของหยกขาวพันปีอยู่ในทุ่งหิมะทางเหนือ ท่านทั้งสองน่าจะทราบถึงความล้ำค่าของมันอยู่แล้ว เพราะเหตุนั้นทุกวันนี้จึงมีจอมยุทธ์มากหน้าหลายตามุ่งหน้าเข้าสู่เมืองเหลียว ห้องพักทั้งหมดจึงเต็มอย่างที่เห็นขอรับ”
ฉินอวี้โม่และฉินเฟิงลอบมองหน้ากันทันทีที่ได้ยินชื่อของ ‘หยกขาวพันปี’ แววตาความตื่นเต้นของทั้งสองแสดงออกมาอย่างปิดไม่มิด
เพื่อพัฒนาปรับโฉมใหม่ของคฤหาสน์เฟิงหัวซึ่งต้องใช้วัตถุดิบหลายสิ่งหลายอย่างนั้น ตอนนี้ขาดเพียงแค่หยกขาวพันปีเท่านั้น หากตามหามันพบและครอบครองมาได้ คฤหาสน์หลังน้อยของนางจะพัฒนาดีขึ้นยิ่งกว่าเดิมอย่างแน่นอน
ตอนนี้บทบาทความสามารถของคฤหาสน์เฟิงหัวค่อย ๆ ลดน้อยลง หากไม่สามารถพัฒนามันได้ มันก็จะไร้ประโยชน์กับนางมากขึ้นเรื่อย ๆ ในอนาคตข้างหน้าและนั่นเป็นสิ่งที่นางไม่ต้องการให้มันเกิดขึ้น
“ขอบใจมากน้องชาย”
ฉินอวี้โม่กล่าวพร้อมรอยยิ้มก่อนหยิบแก่นมายาของอสูรเซียนขึ้นมาและยื่นให้กับบุรุษหนุ่มตรงหน้า
เมื่อเห็นแก่นมายาระดับสูงที่อีกฝ่ายยื่นให้ เด็กรับใช้หนุ่มก็ยิ้มกว้างด้วยความดีใจทันที ไม่คิดเลยว่าจอมยุทธ์ทั้งสองจะใจกว้างถึงขั้นมอบแก่นมายาระดับสูงเช่นนี้ให้เป็นสิ่งตอบแทน
“ท่านจอมยุทธ์ทั้งสอง ข้าน้อยขอตัวไปทำงานก่อนนะขอรับ หากต้องการสิ่งใดก็เรียกใช้ข้าได้ทุกเมื่อ”
เสี่ยวเอ้อกล่าวก่อนผละออกไปทำงานอื่น ๆ ของตนเอง
หลังจากนั้นฉินอวี้โม่และฉินเฟิงก็สั่งอาหารหลายจานพร้อมน้ำชาเพื่อดื่มกินในขณะที่หารือเรื่องแผนการขั้นต่อไป
ในเมื่อมีข่าวเรื่องหยกขาวพันปีอย่างไม่คาดคิดเช่นนี้ หากไม่ไปดูด้วยตัวเองก็คงมิใช่ตัวตนของคนทั้งสอง และเมื่อถึงตอนนั้นพวกนางจะพยายามครอบครองมันมาให้จงได้ ฉินอวี้โม่เชื่อว่าหลังจากปรับปรุงพัฒนาคฤหาสน์เฟิงหัวเป็นโฉมใหม่แล้ว มันจะนำพาผลประโยชน์ที่คาดไม่ถึงมากมายอย่างแน่นอน
“อวี้โม่ ไม่ต้องรีบร้อนไป คืนนี้พักผ่อนให้เต็มที่ก่อนเถอะและเราจะไปร่วมสนุกกับคนอื่น ๆ ในวันพรุ่งนี้”
ฉินเฟิงกล่าวพร้อมรอยยิ้ม เขาเข้าใจความคิดของศิษย์น้องเป็นอย่างดี อย่างไรก็ตาม เวลานี้ท้องฟ้าเริ่มมืดแล้ว การใช้ชีวิตเตร็ดเตร่อยู่ข้างนอกคงมิใช่เรื่องดีนัก ยิ่งไปกว่านั้น การได้ครอบครองวัตถุศักดิ์สิทธิ์อย่างหยกขาวพันปีก็ต้องอาศัยโชคลาภเข้าข้าง เพราะฉะนั้นทั้งสองจึงไม่ได้รีบร้อนแต่อย่างใด
ฉินอวี้โม่พยักศีรษะและเห็นด้วยกับฉินเฟิง
หลังจากรับประทานอาหารและดื่มชา ทั้งสองก็กลับไปที่ห้องพักของตน
ฉินเฟิงบอกให้ฉินอวี้โม่เข้าไปพักผ่อนในคฤหาสน์เฟิงหัวในขณะที่ตัวเขาคุ้มกันอยู่ภายในห้องพัก
หลังจากเข้าไปในคฤหาสน์หลังน้อยอีกครา นางก็พบว่าซิวยังคงหยอกเย้ากับเจ้าหนูทั้งสองอย่างมีความสุขเช่นเดิม
“คลื่นพลังมายาในดินแดนเทพมายายังคงอุดมสมบูรณ์เช่นเดิม ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ภายในเวลาหนึ่งเดือน การลงทัณฑ์สายฟ้าของข้าก็คงจะมาถึง”
เมื่อเห็นฉินอวี้โม่เข้ามา ซิวก็กล่าวพร้อมหัวเราะเบา ๆ
“อีกอย่าง…เวลาของที่นี่ดูจะเดินเร็วกว่าที่อื่นมาก”
ฉินอวี้โม่สัมผัสได้ถึงความแตกต่างทว่ามิได้แปลกใจแต่อย่างใด นางเคยได้ยินมาก่อนว่ายิ่งมีคลื่นพลังมายาที่หนาแน่นเพียงใด กระแสเวลาของสถานที่แห่งนั้นก็จะยิ่งเดินเร็วเพียงนั้น ยิ่งไปกว่านั้น หลังจากที่ได้อยู่ที่นี่เป็นเวลานานและได้พบเห็นสิ่งต่าง ๆ มากมาย สิ่งนี้ถือเป็นเรื่องธรรมดาอย่างยิ่งสำหรับนาง
“ฮ่า ๆ ๆ หากข้าจำไม่ผิด หนึ่งปีในโลกมายาเท่ากับหนึ่งร้อยปีในดินแดนเทพมายา เห็นทีว่าสหายทั้งหลายของท่านคงกลายเป็นชายแก่และหญิงชรากันไปแล้ว”
ซิวหัวเราะติดตลก
ฉินอวี้โม่เองก็ยิ้มเช่นกัน นางทราบดีว่าซิวเพียงกล่าวติดตลกเท่านั้น ถึงอย่างไรแล้วตราบใดที่จอมยุทธ์พัฒนาฝีมือถึงระดับสูง มันก็ช่วยยืดอายุขัยของพวกเขาต่อไปได้ สำหรับผู้แข็งแกร่งอย่างพวกเขา ไม่ว่าจะมีอายุหลายร้อยปีหรือสามสิบปีก็ล้วนมีรูปลักษณ์ที่เหมือนกัน
“อีกอย่าง… ตอนที่ข้าเผชิญกับการลงทัณฑ์สายฟ้า เผ่าอสูรก็น่าจะสัมผัสได้เช่นกัน เพราะฉะนั้นเมื่อถึงตอนนั้น มันอาจมีภยันตรายเกิดขึ้น ท่านต้องระวังและเตรียมตัวให้พร้อมไว้ก่อน”
หลังจากซิวไตร่ตรองบางอย่าง มันก็กล่าวกับฉินอวี้โม่อีกครา
ฉินอวี้โม่พยักศีรษะเบา ๆ นางทราบดีว่าควรทำอย่างไร
หลังจากพักผ่อนในคฤหาสน์เฟิงหัวตลอดคืน ฉินอวี้โม่ก็ออกมาด้วยใบหน้าที่สดใสในตอนเช้าตรู่
ส่วนข้างนอกนั้นฉินเฟิงได้สั่งให้เสี่ยวเอ้อเตรียมผ้าขนหนูและน้ำอุ่นมาเป็นการล่วงหน้าแล้ว
ฉินอวี้โม่ก็ชำระล้างตัวและสวมอาภรณ์บุรุษเช่นเดิมก่อนเดินออกจากห้องพร้อมกับฉินเฟิง
หลังจากสอบถามทิศทางของทุ่งหิมะทางเหนือกับเด็กรับใช้ ทั้งสองก็ออกเดินทางมุ่งหน้าไปในทิศทางนั้นทันที
.