คุณหนูสี่ สตรีเปื้อนเลือด - ตอนที่ 470 แสดงความจริงใจ
ฉินอวี้โม่และฉินเฟิงถูกขวางกั้นไว้โดยคนทั้งแปด แม้ว่าฝ่ายเทือกเขาหิมะตรงหน้าจะดูดุดันและก้าวร้าวอย่างยิ่ง พวกเขาก็มิได้บุ่มบ่ามทำอะไรไม่ยั้งคิด
พวกเขาต้องยืนยันความแข็งแกร่งของกันและกันเสียก่อน รวมถึงสำรวจดูว่ามีคนอื่นอยู่รอบ ๆ ตัวหรือไม่
“ชักจะมากเกินไปแล้ว ! อย่าคิดว่าการที่พวกเจ้ามาจากเทือกเขาหิมะแล้วจะทำให้พวกข้ากลัวได้ !”
ในบรรดากลุ่มผู้คนทั้งแปด จอมยุทธ์ขอบเขตเซียนขั้นเก้าอีกคนหนึ่งกล่าวด้วยใบหน้าบูดบึ้งพร้อมกับก้อนพลังปรากฏในมือของเขาและพุ่งตรงเข้าใส่ฝ่ายเทือกเขาหิมะทันที
“เหอะ อย่ามั่นใจไปนักเลย !”
บุรุษจากฝ่ายเทือกเขาหิมะแค่นเสียงในลำคอและพลังมายาในมือของเขาก็ปรากฏขึ้นเช่นกันก่อนจะพุ่งออกไปเผชิญหน้า
ตู้ม !
เสียงระเบิดดังสนั่นขึ้นและพลังจากทั้งสองฝ่ายปะทะกันกลางอากาศอย่างจัง
“การที่พวกข้ายังมองเห็นพวกเจ้าอยู่ในสายตาถือเป็นบุญมากแล้ว การที่ได้พูดคุยกับพวกเราเทือกเขาหิมะก็ถือว่าเป็นโชคดีของพวกเจ้าทั้งแปด ทว่าพวกเจ้ากลับไม่รู้จักการเจียมเนื้อเจียมตัว นี่เป็นการรนหาที่ตายของพวกเจ้าเอง !”
คนจากเทือกเขาหิมะกล่าวด้วยน้ำเสียงไม่พอใจ
“จัดการคนพวกนี้เสีย ซัดพวกเขาให้น่วมจนพวกเขายอมจำนนแต่โดยดี ดูสิว่าจะยังกล้ากล่าววาจาสามหาวอีกรึไม่ !”
ผู้นำของกลุ่มคนจากเทือกเขาหิมะโบกมือและจอมยุทธ์หลายสิบคนข้างหลังเขาก็กรูก้าวไปข้างหน้าหมายจะจู่โจมกลุ่มคนทั้งแปดทันที
เมื่อเห็นกว่าหลายสิบชีวิตเข้าล้อมรอบ กลุ่มผู้คนทั้งแปดที่ยืนขวางหน้าฉินอวี้โม่และฉินเฟิงก็เริ่มหน้าถอดสีเล็กน้อย
“พวกท่านทั้งสองรีบหนีไปเถอะ เราจะคุ้มกันให้เอง”
ผู้นำกลุ่มคนทั้งแปดขมวดคิ้วเล็กน้อยก่อนกล่าวกับฉินอวี้โม่
อีกฝ่ายมีจำนวนคนมากเกินไปและเขาทราบดีว่าพลังของแปดคนคงไม่เพียงพอ อย่างไรก็ตาม ฉินอวี้โม่และฉินเฟิงเพียงบังเอิญผ่านมาทางนี้และแวะถามข่าวคราวเท่านั้น เขาย่อมไม่ต้องการดึงคนทั้งสองเข้ามาเกี่ยวพันในปัญหาของพวกเขา
“หัวหน้าพูดถูก พวกคนจากเทือกเขาหิมะต่างก็ชั่วร้ายมาก ยิ่งไปกว่านั้น การที่พวกท่านมาถึงที่ทุ่งหิมะทางเหนือนี้คงมิใช่เรื่องง่าย เราเพียงบังเอิญได้พบกัน เราไม่อยากให้พวกท่านต้องมาพลอยเดือดร้อนไปด้วย”
สตรีผู้ที่เพิ่งถูกอีกฝ่ายกล่าววาจาล่วงเกินเมื่อครู่กล่าวเสริมหัวหน้าของกลุ่ม แม้ว่าสีหน้าของนางในตอนนี้จะดูเหยเกไม่น้อย ทว่าแววตากลับเปี่ยมไปด้วยความมุ่งมั่น
นางและคนอื่น ๆ รู้สึกไม่ดีนัก ฉินอวี้โม่และฉินเฟิงเพียงเข้ามาพูดคุยและสอบถามข้อมูลบางอย่างเท่านั้น ไม่คิดเลยว่าจะต้องมาเผชิญกับคนของเทือกเขาหิมะเช่นนี้
“ไม่ต้องกระซิบกระซาบอะไรทั้งนั้น พวกเจ้ากำลังรวมหัวคิดกันอยู่รึว่าจะยอมจำนนต่อข้า ?”
เมื่อเห็นหลายคนกระซิบกระซาบกันเองเบา ๆ ผู้นำของฝ่ายเทือกเขาหิมะก็กล่าวด้วยน้ำเสียงเยาะเย้ย
“ฮ่า ๆ ๆ ฝันไปเถอะ เรากำลังหารือกันว่าจะจัดการกับเจ้ายังไงต่างหากล่ะ !”
กลุ่มผู้กล้าทั้งแปดมองหน้ากันก่อนพุ่งตรงออกไปจู่โจมผู้นำของอีกฝ่ายโดยเร็ว เวลานี้พวกเขาเป็นฝ่ายเสียเปรียบ หากชิงลงมือจู่โจมก่อน พวกเขาอาจยังพอมีโอกาสเอาชนะได้
“เหอะ อย่ามั่นใจในฝีมือนักเลย !”
เมื่อได้ยินวาจาของฝ่ายคนทั้งแปด เขาก็แค่นเสียงเย็นชาทันทีก่อนที่กลุ่มของพวกเขาจะพุ่งตรงไปล้อมรอบอีกฝ่าย
ฉินอวี้โม่และฉินเฟิงไม่ถอยออกไปเลยสักนิด กลุ่มผู้คนทั้งแปดนี้มีนิสัยใจคอที่ดีและทำให้พวกนางรู้สึกถูกชะตายิ่งนัก นอกจากนั้นทัศนคติและลักษณะนิสัยของผู้นำฝ่ายเทือกเขาหิมะรวมถึงสถานการณ์ในตอนนี้ก็ทำให้พวกนางรู้สึกไม่พอใจอยู่เช่นกัน พวกนางจึงมิอาจล่าถอยออกไปเฉย ๆ ได้
อย่างไรก็ตาม ทั้งสองไม่รีบร้อนลงมือและเพียงยืนนิ่งด้วยใบหน้าเรียบเฉยขณะมองดูการต่อสู้ระหว่างทั้งสองฝ่าย
กลุ่มผู้กล้าทั้งแปดนี้ พวกเขาองอาจกล้าหาญและมีความสามารถในการต่อสู้พอสมควร อีกทั้งยังมีความแข็งแกร่งที่ไม่ธรรมดา อย่างไรก็ตาม คนจากฝ่ายเทือกเขาหิมะก็ไม่ใช่กลุ่มคนที่ง่ายต่อการรับมือเช่นกัน ยิ่งไปกว่านั้น ฝ่ายพวกเขายังมีจำนวนคนที่มากเกินไปและจะกลายเป็นฝ่ายได้เปรียบในเวลาเพียงไม่นาน
อย่างไรก็ตาม ในกลุ่มคนทั้งแปด นอกเหนือจากจอมยุทธ์ขอบเขตเซียนขั้นเก้าสองคนนั้น อีกหกคนโดดเด่นเพียงแค่ในพลังการป้องกันเท่านั้น พวกเขาไม่มีพลังพอที่จะตอบโต้เลยสักนิด
ผลัวะ !
ในฝ่ายผู้คนทั้งแปด คนที่อ่อนแอที่สุดถูกฝ่ามือของใครบางคนจากฝ่ายตรงข้ามฟาดเข้าที่ใบหน้าอย่างจังก่อนร่วงลงบนพื้นและกระอักเลือดออกมาทันที
ระหว่างนั้น สถานการณ์การต่อสู้ก็ดำเนินไปอย่างดุเดือดและหลายคนก็ถูกกลุ่มของฝ่ายเทือกเขาหิมะซัดจนร่วงไปเช่นกัน
ภายในเวลาเพียงไม่นาน นอกจากจอมยุทธ์ขอบเขตเซียนขั้นเก้า จอมยุทธ์ทั้งหกคนถูกโจมตีอย่างหนักหน่วงและประสิทธิภาพในการต่อสู้ของพวกเขาก็ลดน้อยลงไปมาก
“ฮ่า ๆ ๆ ช่วยไม่ได้ พวกเจ้าคิดว่าจะเอาชนะพวกข้าได้จริง ๆ งั้นรึ ? แม่สาวคนงาม เจ้ากลับไปกับข้าในฐานะนางสนมของข้าเสียดี ๆ เถอะ หากเจ้ายินยอม ข้าจะให้โอกาสเจ้าได้มีชีวิตอยู่ต่อไป !”
ผู้นำฝ่ายเทือกเขาหิมะกล่าวอย่างวางท่าและมองดูสถานการณ์ตรงหน้าพร้อมหัวเราะอย่างสาแก่ใจ
“เจ้าโง่ ต่อให้เจ้าสั่งคนยกเสลี่ยงมาตรงหน้าและขอให้ข้าเป็นบรรพชนของเจ้า ข้าก็ไม่มีทางยินยอม !”
สตรีผู้นั้นเป็นคนอารมณ์ร้อนพอสมควร นางจ้องหน้าผู้นำฝ่ายเทือกเขาหิมะตาเขม็งและกล่าวอย่างรังเกียจเต็มประดา
ความตายคือสิ่งที่มิได้สลักสำคัญ แน่นอนว่าพวกเขาย่อมไม่หวาดหวั่น ภายในดินแดนเทพมายาแห่งนี้ พวกเขาก็ได้ฝึกฝนมานานหลายร้อยปีแล้ว ความเป็นความตายเป็นสิ่งที่พวกเขาได้พบเห็นมาแล้วนับไม่ถ้วน
“เหอะ ต่อให้ต้องตายเสียวันนี้ เจ้าก็ยังต้องชดใช้ เทือกเขาหิมะของเจ้าเป็นเพียงขุมกำลังระดับสองของพรมแดนทางเหนือและวันหนึ่งมันจะหายสาบสูญไปจากดินแดนทางเหนือ”
คนทั้งแปดมองหน้ากันด้วยความเข้าใจตรงกันโดยไม่ต้องเอ่ย พวกเขามิใช่คนที่รักตัวกลัวตาย ฝ่ายคนจากเทือกเขาหิมะกระทำการชั่วร้ายมากเกินไป ต่อให้พวกเขาตายไป พวกเขาก็จะทำให้คนเหล่านี้ได้ชดใช้อย่างสาสม
หลังจากกล่าวจบ คลื่นพลังของทั้งแปดก็พุ่งพรวดออกมาอย่างรวดเร็วราวกับใกล้จะระเบิดเต็มที
เมื่อเห็นความมุ่งมั่นในแววตาของคนทั้งแปด สีหน้าของผู้นำฝ่ายเทือกเขาหิมะก็เปลี่ยนไปเล็กน้อย การระเบิดตัวเองของจอมยุทธ์ขอบเขตเซียนจะส่งผลกระทบแผ่ออกไปเป็นวงกว้างนับร้อยลี้ หากคนทั้งแปดระเบิดทำลายตัวเองจริง ต่อให้พวกเขาจะไม่ตาย พวกเขาก็ยังต้องได้รับบาดเจ็บสาหัส
“เหอะ พวกข้าไม่ได้สนใจหรอก ทว่า…คนทั้งสองนั่นเป็นสหายของพวกเจ้าไม่ใช่รึ ? พวกเจ้าไม่ได้เป็นห่วงความปลอดภัยของพวกเขารึ ?”
สายตาของผู้นำฝ่ายเทือกเขาหิมะเลื่อนไปบรรจบที่ฉินอวี้โม่และฉินเฟิงผู้ซึ่งยืนนิ่งไม่แสดงความรู้สึกใด ๆ เขาขมวดคิ้วเล็กน้อยเมื่อสัมผัสได้ว่าฉินอวี้โม่และฉินเฟิงมิใช่ธรรมดาอย่างที่เห็น อย่างไรก็ตาม กลิ่นอายความเฉยเมยไม่ทุกข์ร้อนที่แผ่มาจากคนทั้งสองทำให้รู้สึกว่าไม่น่าจะมีสิ่งใดอันตราย
และเป็นจริงดังที่คิดไว้ ทันทีที่สิ้นเสียงของบุรุษผู้นั้น ทั้งแปดก็หยุดการเคลื่อนไหวทั้งหมดด้วยความลังเลทันที
“เหอะ หากพวกเจ้าอยากให้พวกเขาทั้งสองปลอดภัย ก็จงเชื่อฟังคำสั่งของข้าแต่โดยดี”
แปะ แปะ ~
เมื่อเห็นท่าทีลังเลของผู้คนทั้งแปด บุรุษผู้นั้นก็ปรบมือเบา ๆ เป็นสัญญาณให้ลูกน้องของตนเข้าล้อมรอบฉินอวี้โม่และฉินเฟิงไว้อย่างกระตือรือร้น
เมื่อเห็นคนนับสิบล้อมรอบคนทั้งสอง สีหน้าของคนทั้งแปดก็บิดเบี้ยวมากขึ้นเรื่อย ๆ
“ต่ำช้านัก !”
หลังจากกัดฟันแน่นด้วยความโกรธแค้น สตรีอารมณ์ร้อนก็สบถออกมาและสีหน้าของนางเผยความฉุนเฉียวอย่างที่สุด
“ฮ่า ๆ ๆ แล้วอย่างไร ? พวกเราเทือกเขาหิมะมิใช่ขุมกำลังที่เปิดเผยตรงไปตรงมา หากกล่าวว่าพวกข้าชั่วช้า พวกข้าก็คงจะเป็นเช่นนั้น”
ผู้นำฝ่ายเทือกเขาหิมะมิได้สะทกสะท้านกับวาจาของนางแต่อย่างใด ผู้คนมากมายกล่าวว่าพวกเขาต่ำช้าเลวทราม ทว่าเขาก็มิได้สนใจแม้แต่น้อย
บรรยากาศในเวลานี้คุกรุ่นพอสมควร ฝ่ายกลุ่มคนทั้งแปดมีท่าทีลังเลอย่างเห็นได้ชัด พวกเขาไม่ต้องการทำให้ฉินอวี้โม่และฉินเฟิงต้องได้รับอันตรายเพราะปัญหาของตนเอง
“ศิษย์พี่ ดูเหมือนว่าเราสองคนจะดูไร้พิษสงเกินไป”
จู่ ๆ ฉินอวี้โม่ก็กล่าวออกมาและยกยิ้มมุมปาก
การเอาชีวิตของนางและฉินเฟิงมาใช้เพื่อข่มขู่คนทั้งแปดถือว่าเป็นการกระทำที่น่าสนใจอย่างยิ่ง เพียงแต่หากต้องการข่มขู่ด้วยชีวิตของผู้ใดก็ควรถามความเห็นของพวกเขาให้แน่ใจเสียก่อน
“เป็นจริงอย่างที่ว่า ไม่คิดเลยว่าคนจากเทือกเขาหิมะจะหยาบคายเช่นนี้ พวกเขาไม่ถามความเห็นของเราด้วยซ้ำและไม่เห็นหัวเราสองคนเลยสักนิด พวกเขาไม่คิดรึว่านี่เป็นการหยามเกียรติพวกเรา ?”
ฉินเฟิงกล่าวเห็นด้วยกับฉินอวี้โม่ก่อนสะบัดมือเบา ๆ จากนั้นผู้คนนับสิบชีวิตที่เข้ามาล้อมรอบเขาก็สัมผัสได้ถึงแรงกดดันอันทรงพลังที่กดทับลงมาบนตัวของพวกเขาและทำให้พวกเขารู้สึกว่าร่างกายถูกควบคุมไว้โดยที่บางคนถึงกับขยับเขยื้อนไม่ได้
ในตอนแรกที่ฝ่ายเทือกเขาหิมะได้ยินวาจาของฉินอวี้โม่และฉินเฟิง พวกเขาก็มิได้สนใจมากนัก อย่างไรก็ตาม เมื่อแรงกดดันมหาศาลกดทับลงมาบนตัวของพวกเขาอย่างกะทันหัน พวกเขาก็ตระหนักได้ทันที สองคนนี้จะต้องไม่ธรรมดาอย่างแน่นอน !
“พวกเจ้าเป็นใคร !?”
สีหน้าของคนฝ่ายเทือกเขาหิมะมองฉินอวี้โม่และฉินเฟิงด้วยแววตาระแวดระวังมากขึ้น ผู้นำของกลุ่มก็เริ่มรู้สึกผิดเล็กน้อยว่าตนได้สร้างความขุ่นเคืองใจให้กับบุคคลที่ไม่ควรท้าทายรึไม่
“ฮ่า ๆ ๆ พวกข้าก็คือคนที่เจ้าใช้ข่มขู่พวกเขายังไงล่ะ อะไรกัน เจ้าลืมไปแล้วงั้นรึ ?”
ฉินอวี้โม่ยิ้มยียวนและกล่าวด้วยน้ำเสียงถากถางอย่างไม่ไว้หน้าอีกฝ่ายเลยสักนิด
เมื่อได้ยินวาจาของฉินอวี้โม่ สีหน้าของบุรุษผู้นั้นก็เปลี่ยนไปเล็กน้อย ด้วยลักษณะนิสัยโดยปกติของเขา เขาคงจะฉุนเฉียวและโกรธแค้นอย่างยิ่ง อย่างไรก็ตาม เมื่อสัมผัสได้ถึงแรงกดดันที่แผ่มาจากร่างของฉินอวี้โม่และท่าทางของนางที่ดูจะไม่หวั่นเกรงแม้แต่น้อย เขาจึงพยายามอย่างหนักเพื่ออดกลั้นความโกรธในหัวใจเอาไว้
“ฮ่า ๆ ๆ ท่านจอมยุทธ์ เมื่อครู่เป็นเพราะเราไม่ทราบถึงความแข็งแกร่งที่แท้จริงของท่าน หากทำให้ท่านต้องขุ่นข้องหมองใจ โปรดอภัยให้เราด้วย เราทราบดีว่าท่านไม่เกี่ยวข้องกับคนทั้งแปด เราหวังว่าท่านจะเห็นแก่หน้าของพวกเราเทือกเขาหิมะสักครั้งและไม่เข้ามายุ่งเกี่ยวกับเรื่องนี้”
แม้ว่าน้ำเสียงของเขาสุภาพนอบน้อม ทว่ามันยังเจือด้วยความข่มขู่เล็ก ๆ
สิ่งนี้หมายความว่าฉินอวี้โม่และฉินเฟิงต้องไตร่ตรองให้รอบคอบ หากพวกนางจุดชนวนความบาดหมางกับฝ่ายเทือกเขาหิมะเพื่อคนทั้งแปด มันคงไม่ใช่ทางเลือกที่ชาญฉลาดนัก
ฉินอวี้โม่และฉินเฟิงมองหน้ากันและยกยิ้มมุมปากเล็กน้อย
“โอ้ ต่อให้เราจะไม่ยุ่งเกี่ยวกับเรื่องนี้ แต่เทือกเขาหิมะของท่านกำลังควบคุมพื้นที่บริเวณนี้อยู่มิใช่รึ ? หากเราเลิกสนใจคนทั้งแปดเหล่านี้ เราจะอยู่ที่นี่ต่อและตามหาเบาะแสของหยกขาวพันปีต่อไปได้ใช่รึไม่ ?”
ฉินเฟิงกล่าวพร้อมรอยยิ้ม น้ำเสียงของเขาปราศจากความหมายของการอ่อนข้อใด ๆ
“เอ่อ…”
ผู้นำกลุ่มฝ่ายเทือกเขาหิมะลังเลเล็กน้อย เขาไม่ต้องการทำให้ฉินอวี้โม่ไม่พอใจ ทว่าจุดประสงค์ของการมาที่นี่ก็มิอาจมองข้ามได้ ถึงอย่างไรสองคนนี้ก็จะถูกขับไล่ออกไป หลังจากไตร่ตรองอย่างรวดเร็ว ความคิดหนึ่งก็ผุดขึ้นในหัว ตราบใดที่เขาแสร้งแสดงความนอบน้อมและคล้อยตามไปก่อนเพื่อถ่วงเวลารอจนกว่าผู้นำเทือกเขาหิมะจะมาถึง พวกเขาก็จะสามารถกำจัดทั้งสองได้อย่างไม่เป็นปัญหา
“ฮ่า ๆ ๆ ได้แน่นอน”
ผู้นำกลุ่มเทือกเขาหิมะกล่าวพร้อมรอยยิ้ม “ทว่าคนทั้งแปดกระทำการหยาบคายต่อพวกเราคนของเทือกเขาหิมะ เราต้องนำตัวพวกเขากลับไปหาท่านผู้นำ สำหรับท่านทั้งสอง…เชิญพวกท่านได้ตามสบาย”
เมื่อได้ยินเช่นนั้น ฉินอวี้โม่และฉินเฟิงก็หันมองหน้ากันเล็กน้อย บุรุษผู้นี้ที่ยโสโอหังมาตั้งแต่ต้น ไม่คิดเลยว่าจะยังมีสมองคิดเช่นนี้ได้
อย่างไรก็ตาม แน่นอนว่าทั้งสองไม่มีทางถอยไปง่าย ๆ ทั้งศิษย์พี่ศิษย์น้องต่างก็รู้สึกถูกชะตากับผู้คนทั้งแปดคนนี้ ยิ่งไปกว่านั้น ในดินแดนเทพมายาแห่งนี้ พวกนางก็ยังต้องก่อตั้งขุมกำลังของตนเองขึ้นมา ในเมื่อดินแดนทางเหนือเต็มไปด้วยความวุ่นวาย พวกนางก็สามารถทำอะไรสักอย่างได้
“น่าเสียดายที่สถานการณ์ในวันนี้อยู่ในการควบคุมของพวกเราแล้ว หากต้องการจะกลับไป พวกท่านก็ต้องแสดงให้เห็นถึงความจริงใจเสียก่อน !”
ฉินอวี้โม่กล่าวด้วยน้ำเสียงทะนงตนและชัดเจนจนทุกคนชะงักค้างไปชั่วขณะ .
.