คุณหนูสี่ สตรีเปื้อนเลือด - ตอนที่ 478 คำขู่ของเฝินชวี่
“เจ้าเป็นใคร ?”
เฝินชวี่ตวัดสายตามองฉินอวี้โม่และขมวดคิ้วเล็กน้อยทันที ไม่ทราบเช่นกันว่าเพราะเหตุใดเขาถึงรู้สึกว่าผู้ที่กล่าวขึ้นมานี้ดูลึกลับยิ่ง อีกทั้งกลิ่นอายจากร่างของอีกฝ่ายก็ซ่อนเร้นไปด้วยความลับจนเขาไม่สามารถมองได้อย่างทะลุปรุโปร่ง
“เจ้าไม่จำเป็นต้องรู้หรอก”
เมื่อได้ยินวาจาของเฝินชวี่ ฉินอวี้โม่เพียงยิ้มอ่อนและกล่าวตอบโต้
คำตอบของนางทำให้สีหน้าของเฝินชวี่เปลี่ยนไปเล็กน้อย ไม่คิดเลยว่าผู้มาใหม่จะริอาจกล่าววาจาอย่างไม่ไว้หน้าเขาเช่นนี้ เขาเป็นถึงนายน้อยแห่งหุบเขากรุ่นกำยาน ในทั่วทั้งดินแดนทางเหนือแห่งนี้ แม้แต่คนจากขุมกำลังระดับหนึ่งเองก็ต้องเกรงอกเกรงใจเขาเช่นกัน
“อินทรีหิมะ หากเจ้าต้องการช่วยหยกขาวพันปี ไม่มีประโยชน์ที่จะทำข้อตกลงกับคนชั่วใจคดผู้นี้ คำสัตย์ของเขาเมื่อครู่ ถึงแม้ผิวเผินจะไม่มีอะไรผิดปกติ ทว่าหากพิจารณาดี ๆ มันยังมีช่องโหว่อีกมากนัก ข้าเชื่อว่าหากเจ้าไตร่ตรองดูดี ๆ เจ้าก็สามารถมองออกได้”
เมื่อหันไปมองอินทรีหิมะ ฉินอวี้โม่ก็กล่าวต่อ “ยิ่งไปกว่านั้น เจ้าก็ต้องยืนยันเสียก่อนว่าหยกขาวพันปีอยู่ในมือของเฝินชวี่จริง จากนั้นเจ้าจึงจะตอบตกลงได้”
ทันทีที่สิ้นเสียงของนาง ความปั่นป่วนและผันผวนที่รุนแรงก็เกิดขึ้นในกลุ่มคนจากหุบเขากรุ่นกำยานที่ควบคุมหยกขาวพันปีก่อนหน้านี้ทันที สีหน้าของพวกเขาในตอนนี้เต็มไปด้วยความสับสนและงุนงงเป็นที่สุด
เฝินชวี่รู้สึกถึงความผันผวนที่เกิดขึ้นและสีหน้าของเขาเปลี่ยนไปเล็กน้อยพร้อมกับลางสังหรณ์เลวร้ายที่ผุดขึ้นในใจ สายตาของเขาหันขวับมองไปในทิศทางของกรงล้อมที่กักขังหยกขาวพันปีไว้ก่อนหน้านี้ทันที ทว่าพบเพียงความว่างเปล่า ทั้งหยกขาวพันปีและกรงล้อมสีแดงเพลิงก่อนหน้านี้ได้อันตรธานหายไปอย่างไร้ร่องรอยแล้ว
“นี่มันอะไรกัน !?”
แน่นอนว่าเมื่ออินทรีหิมะเห็นถึงความประหลาดที่เกิดขึ้น มันก็ตกใจเช่นกันและสายตาเลื่อนไปที่ฉินอวี้โม่ทันที ไม่ต้องสงสัยเลยว่าสาเหตุที่หยกขาวพันปีหายไปอย่างกะทันหันเช่นนี้มีความเกี่ยวข้องกับฉินอวี้โม่อย่างแน่นอน
“เจ้าทำอะไรลงไป !?”
เฝินชวี่กล่าวออกไปทันทีและสายตาจับจ้องไปที่ฉินอวี้โม่ ก่อนหน้านี้เขาไม่ได้สัมผัสถึงความผันผวนใด ๆ จากกรงล้อมและหยกขาวพันปีเลยสักนิด สีหน้าของเขาในตอนนี้เหยเกอย่างเห็นได้ชัด
กรงล้อมสีแดงเพลิงนั้นถือเป็นสมบัติที่ล้ำค่าของหุบเขากรุ่นกำยานซึ่งถูกเรียกว่ากรงขังเทวะ มันเป็นอุปกรณ์มายาระดับสูงที่ยากจะทำลายได้ ในเวลานี้เมื่อมันหายไปพร้อมกับหยกขาวพันปีที่ถูกกักขังไว้ มันก็ถือเป็นความสูญเสียครั้งใหญ่สำหรับพวกเขา
“ฮ่า ๆ ๆ ข้าก็ยืนอยู่ตรงนี้ไง เจ้าไม่เห็นรึ ? หากข้าทำสิ่งใดเจ้าก็น่าจะเห็นแล้ว”
ฉินอวี้โม่ยิ้มมุมปากด้วยท่าทางที่นิ่งเฉย นางมิได้ทำสิ่งใด ทว่าเป็นมารยาที่ลงมือเมื่อครู่นี้
เมื่อได้ยินคำตอบไม่แยแสของฉินอวี้โม่ สีหน้าของเฝินชวี่ก็บูดบึ้งยิ่งกว่าเดิม
“เจ้ารู้รึไม่ว่าชะตากรรมของการท้าทายพวกเราหุบเขากรุ่นกำยานจะเป็นอย่างไร !?”
เขามองฉินอวี้โม่อย่างเย็นชาและแผ่คลื่นพลังอาฆาตพยาบาทอย่างไม่ปิดบัง
“ข้าไม่รู้…และไม่จำเป็นที่จะต้องรู้”
ฉินอวี้โม่ส่ายศีรษะเบา ๆ ด้วยสีหน้าแววตาเรียบเฉย นับตั้งแต่นักฆ่าสาวมือพระกาฬแห่งยุคศตวรรษที่ 21 มาเยือนโลกต่างแดนแห่งนี้ ‘เธอ’ ก็ได้รับคำข่มขู่ทุกรูปแบบมาแล้วนับไม่ถ้วนทว่ายังคงอยู่ยืนยงมาจนถึงทุกวันนี้และยังสุขสบายดีไม่มีแม้แต่รอยขีดข่วน ฉะนั้นแล้วคำข่มขู่เหล่านี้ไม่ได้มีความหมายกับ ‘เธอ’ เลยสักนิด
“ซวงเสวี่ย ในฐานะผู้นำเทือกเขาหิมะ เจ้าน่าจะทราบดีว่าชะตากรรมของผู้ที่หยามเกียรติหุบเขากรุ่นกำยานของข้าเป็นอย่างไร ในเมื่อคนผู้นี้อยู่กับฝ่ายเจ้า นั่นก็หมายความว่าพวกเจ้าก็รู้จักกันดี เจ้าจงบอกนางซะว่าจะเกิดอะไรขึ้นหากพวกเจ้าท้าทายพวกเรา”
เฝินชวี่หันไปมองผู้นำซวงเสวี่ยซึ่งยืนอยู่ข้างกายฉินอวี้โม่และกล่าวเชิงข่มขู่ ผู้ใดกล้ากระทำสิ่งใดหรือกล่าววาจาดูหมิ่นไม่ให้เกียรติหุบเขากรุ่นกำยาน คนผู้นั้นจะไม่มีทางได้ใช้ชีวิตอยู่ในดินแดนทางเหนือแห่งนี้อีกต่อไป
“เฝิงชวี่ ไม่ต้องข่มขู่ข้าหรอก หุบเขากรุ่นกำยานของเจ้าเป็นเพียงหนึ่งในสามขุมกำลังระดับหนึ่งของดินแดนทางเหนือเท่านั้น ถึงแม้พลังของพวกเจ้าจะไม่ถือว่าอ่อนแอ พวกเราเทือกเขาหิมะก็มิได้หวาดหวั่น ท่านอวี้โม่ผู้นี้คือผู้นำคนใหม่ของเราทุกคน ไม่ว่าเขาจะถ่ายทอดคำสั่งใดมา พวกเราก็พร้อมที่จะทำตามคำสั่งทุกอย่าง ยิ่งไปกว่านั้น ข้าจะปล่อยให้พวกเจ้าหุบเขากรุ่นกำยานได้อยู่อย่างโอหังไปอีกสักพัก ในไม่ช้าขุมกำลังของพวกเจ้าจะถูกถอดถอนออกจากการเป็นหนึ่งในสามขุมกำลังใหญ่ของดินแดนทางเหนือ”
หลังจากประกาศตัวจำนนต่อฉินอวี้โม่แล้ว แน่นอนว่าซวงเสวี่ยไม่จำเป็นต้องเสแสร้งนอบน้อมต่อเฝินชวี่อีก เขาไม่ชอบหน้าขุมกำลังเจ้าเล่ห์ทั้งสามมาตั้งแต่ต้น เมื่อได้ยินวาจาข่มขู่ของฝ่ายตรงข้ามในตอนนี้ ความรู้สึกนั้นก็ยิ่งทวีคูณขึ้นไปอีก ฉินอวี้โม่ลั่นวาจาไว้แล้วว่าพวกเขาไม่จำเป็นต้องสนใจหรือไว้หน้าสามขุมกำลังใหญ่อีกต่อไป พวกเขาจึงไม่ต้องเสแสร้งรับหน้าเอาใจและคล้อยตามถูไถอีกแล้ว
“เจ้า…”
เมื่อได้ยินวาจาตอบโต้ของซวงเสวี่ย สีหน้าของเฝินชวี่ก็เยือกเย็นอย่างยิ่ง ไม่คิดเลยว่าเทือกเขาหิมะที่มักจะนอบน้อมมาเสมอเมื่อเผชิญหน้ากับพวกเขา ทว่าในตอนนี้กลับแสดงท่าทีแข็งกร้าวถึงเพียงนี้ เมื่อพิจารณาจากทัศนคติของซวงเสวี่ย เห็นได้ชัดว่าเทือกเขาหิมะพร้อมที่จะฉีกหน้าพวกเขาอย่างแท้จริง
“ซวงเสวี่ย ไม่คิดเลยว่าเจ้าจะเต็มใจยอมจำนนต่อผู้อื่นเช่นนี้ เห็นทีเจ้าคงจะตัดสินใจดีแล้ว เจ้าไม่คิดที่จะไว้หน้าพวกเราสามขุมกำลังใหญ่อีกแล้วสินะ !”
เฝินชวี่มิใช่คนบุ่มบ่ามไม่ยั้งคิดเช่นกัน แม้ว่าเขาจะหยิ่งยโสและมักแสดงท่าทีโอหังอยู่เสมอ เขาก็ยังสงบนิ่งและวางแผนบางอย่างอยู่ในใจ
“ฮ่า ๆ ๆ เฝินชวี่ เจ้าดูจะเทิดทูนสามขุมกำลังใหญ่เป็นอย่างมาก ครานี้พวกข้าไม่ได้แค่ไม่ไว้หน้าพวกเจ้าเท่านั้น ทว่าจะแทนที่พวกเจ้าและกลายเป็นขุมกำลังที่ทรงพลังที่สุดและเป็นขุมกำลังระดับหนึ่งเพียงแห่งเดียวของดินแดนทางเหนือด้วย แน่นอนว่าหากเจ้าให้ความร่วมมือ พวกข้าก็อาจจะปล่อยให้พวกเจ้าได้มีชื่ออยู่ต่อไป แต่หากไม่ให้ความร่วมมือด้วยละก็… ฮ่า ๆ ๆ อย่าหาว่าพวกข้าไม่เตือนล่วงหน้าก็แล้วกัน”
ซวงเสวี่ยยิ้มและกล่าวอย่างเย็นชา น้ำเสียงของเขาเปี่ยมไปด้วยความมั่นใจและความมุ่งมั่น ในเมื่อฉินอวี้โม่ลั่นวาจาไว้แล้ว เขาก็เชื่อมั่นในตัวผู้นำคนใหม่อย่างไร้ข้อกังขา ขุมกำลังทั้งสามยังเรียกตัวเองว่าขุมกำลังระดับหนึ่งได้เพราะพวกเขามีไพ่ตายซ่อนไว้และมีพลังความแข็งแกร่งพอสมควร หากเป็นเทือกเขาหิมะก่อนหน้านี้ก็คงมิอาจเทียบพวกเขาเหล่านั้นได้เลย ทว่าบัดนี้เมื่อมีฉินอวี้โม่และฉินเฟิง รวมถึงเหมาซานและกลุ่มผู้กล้าของเขา ความแข็งแกร่งของพวกเขาก็เพียงพอที่จะปะทะกับสามขุมกำลังระดับหนึ่งได้อย่างแน่นอน
ยิ่งไปกว่านั้น ฉินอวี้โม่ก็เป็นถึงผู้ฝึกสัตว์อสูรและช่างหลอมระดับสูง เมื่อข่าวเรื่องนี้แพร่งพรายออกไป จอมยุทธ์อิสระมากมายจะต้องการเข้าร่วมกับเทือกเขาหิมะอย่างแน่นอน และเมื่อถึงตอนนั้น เทือกเขาหิมะจะแกร่งกล้ามากขึ้นเรื่อย ๆ จนแม้แต่ขุมกำลังใหญ่ทั้งสามก็ไม่ได้อยู่ในสายตาของพวกเขาอีกต่อไป
“อีกอย่าง…พวกเราก็มิใช่ขุมกำลังเทือกเขาหิมะอีกต่อไป พวกเรามีชื่อใหม่ว่า ‘เรือนเฟิงเสวี่ย’ จงกลับไปบอกให้บิดาของเจ้าได้รู้ไว้และรอจนถึงงานชุมนุมดินแดนเหนือในอีกหนึ่งเดือนข้างหน้า เมื่อถึงตอนนั้น ขั้วอำนาจในดินแดนทางเหนือจะต้องเปลี่ยนไปอย่างแน่นอน”
ฉินอวี้โม่กล่าวเสริมด้วยใบหน้าเรียบเฉย น้ำเสียงของนางเปี่ยมไปด้วยความทะนงตนและมั่นใจในตัวเอง นางจะต้องพัฒนาเรือนเฟิงเสวี่ยจนกลายเป็นขุมกำลังที่ทรงพลังที่สุดในดินแดนทางเหนือให้จงได้ ยิ่งไปกว่านั้น นางจะหาทางผนึกกำลังกับขุมกำลังอื่นทั้งหมดของดินแดนทางเหนือและกลายเป็นขุมกำลังแกร่งกล้าที่เทียบชั้นกับขุมกำลังอันดับต้น ๆ ของดินแดนเทพมายาให้ได้
เมื่อได้ยินวาจาของฉินอวี้โม่ เฝินชวี่ก็ชะงักไปเล็กน้อยก่อนหัวเราะอย่างบ้าคลั่ง
“ฮ่า ๆ ๆ ตลกชะมัด ! นี่เป็นเรื่องที่ตลกที่สุดที่ข้าเคยได้ยินมาเลย พวกเจ้าเทือกเขาหิมะคิดที่จะเทียบชั้นกับสามขุมกำลังใหญ่ของเรางั้นรึ…มันก็แค่ความฝันลม ๆ แล้ง ๆ เท่านั้น !”
ทันทีที่สิ้นเสียงของเขา ร่างของเฝินชวี่ก็พุ่งตรงออกไปโจมตีฉินอวี้โม่พร้อมประกาศกร้าว “วันนี้ข้าจะทำให้เจ้าได้รู้ว่าความแตกต่างระหว่างพวกเรานั้นมากมายแค่ไหน อย่าคิดว่าการที่มีคนมากกว่าแล้วจะอุดช่องว่างระหว่างพวกเราได้ !”
ฉินอวี้โม่มิได้ขยับเขยื้อน พลังอำนาจของเฝินชวี่ไม่มากพอที่จะอยู่ในสายตาของนางด้วยซ้ำ
ทว่าเป็นฉินเฟิงซึ่งอยู่ข้างกายของนางที่ก้าวออกไปเผชิญหน้ากับเขา ฝ่ามือทรงพลังฟาดเข้าใส่เฝินชวี่อย่างรวดเร็ว
ตู้ม !
พลังของทั้งสองฝ่ายปะทะกันอย่างรุนแรง สีหน้าของฉินเฟิงยังคงไม่เปลี่ยนแปลงและร่างของเขาไม่ได้เคลื่อนไหวแต่อย่างใด อย่างไรก็ตาม เฝินชวี่ก้าวถอยหลังไปเล็กน้อยด้วยท่าทีที่น่าอับอาย ทว่าเขาก็ทรงตัวยืนได้อย่างรวดเร็วและสีหน้าเจื่อนไปเล็กน้อย
ก่อนหน้านี้เขาไม่เข้าใจความแข็งแกร่งของฉินอวี้โม่และฉินเฟิง ทว่าพิจารณาจากอายุที่น่าจะยังน้อยของทั้งสอง เขาจึงคิดไปเองว่าทั้งสองน่าจะไม่ได้แข็งแกร่งนัก บัดนี้ด้วยการโจมตีเพียงกระบวนท่าเดียว เขาก็ตระหนักได้ว่าความแข็งแกร่งของฉินเฟิงเหนือชั้นกว่าเขามากและแทบจะเทียบเท่าได้กับบิดาของตน ในช่วงเวลานี้เฝินชวี่จึงรู้สึกกังวลใจขึ้นมา
“มารยา ออกมาเถอะ”
ฉินอวี้โม่มองแววตาตกตะลึงของเฝินชวี่และท่าทีที่ทำตัวไม่ถูกของเขา นางเพียงยิ้มบาง ๆ และกล่าวพร้อมหันไปในทิศทางหนึ่ง
จากนั้นทุกคนก็เห็นร่างของสตรีผู้หนึ่งปรากฏกายขึ้นบนพื้นที่ว่างอย่างกะทันหัน ถัดจากสตรีผู้นั้นก็คือกรงล้อมที่เปี่ยมไปด้วยพลังงานและภายในกรงนั้นคือเด็กหนุ่มคนหนึ่งที่กำลังพูดคุยอยู่กับมารยา
เมื่อครู่ฉินอวี้โม่สั่งให้มารยาเข้าสู่สภาวะล่องหนและถือโอกาสนั้นเข้าไปใกล้หยกขาวพันปี ในขณะที่นางแสดงตัวและสนทนากับเฝินชวี่อยู่นั้น มารยาก็พยายามใช้ข่ายอาคมจำนวนมากในการช่วยหยกขาวพันปีออกมา อย่างไรก็ตาม กรงขังเทวะนี้ก็แข็งแกร่งดังที่กล่าวไว้และมารยาเปิดมันไม่สำเร็จ ทว่าตราบใดที่กรงและหยกขาวพันปีตกมาอยู่ในการครอบครองของมันแล้ว มันเชื่อว่าฉินอวี้โม่จะต้องมีหนทางเปิดมันได้อย่างแน่นอน
“ที่แท้ก็เป็นฝีมือของเจ้ารึ ?!”
สีหน้าของเฝินชวี่เปลี่ยนไปเมื่อเห็นมารยาและหยกขาวพันปีปรากฏอีกครา ทว่าอึดใจต่อมา เขาก็พุ่งตรงเข้าไปหามารยาทันที
“เหอะ !”
อสูรสาวแค่นเสียงเย็นชา การที่เฝินชวี่กล้าพุ่งจู่โจมเข้ามาหานางเช่นนี้ไม่ต่างจากการรนหาที่ตายเลยสักนิด
ก่อนพุ่งไปถึงตัวมารยา เฝินชวี่ก็รู้สึกถึงความเปลี่ยนแปลงรอบตัวและจู่ ๆ เขาก็ค้นพบว่าตนเองตกอยู่ท่ามกลางทะเลเพลิง ความร้อนระอุจากทุกด้านแทบหลอมละลายตัวเขาจนทำให้เขารู้สึกอึดอัดอย่างที่สุด
เมื่อตระหนักว่าตนเองติดอยู่ในข่ายอาคม เฝินชวี่ก็รีบรวบรวมพลังมายาเพื่อป้องกันตนเองทันที จากนั้นเขาก็ไม่รอช้าและถอยหลังกลับไปในตำแหน่งเดิมอย่างรวดเร็ว
“ผู้ใช้ข่ายอาคม !”
เฝินชวี่จ้องมารยาตาเขม็งและกัดฟันแน่น สีหน้าของเขาในตอนนี้เหยเกยิ่งกว่าเดิมเสียอีก สถานการณ์นี้เหนือความคาดหมายของเขาอย่างสิ้นเชิง ในเมื่อมีฉินอวี้โม่และผู้แข็งแกร่งคนอื่น ๆ เช่นนี้ ต้องยอมรับว่าเทือกเขาหิมะก็มีศักยภาพพอที่จะเทียบชั้นกับสามขุมกำลังระดับหนึ่งได้
“ฮ่า ๆ ๆ ข้าขอแนะนำให้เจ้ายืนอยู่นิ่ง ๆ เสียเถอะ มิฉะนั้น…ข้าสัญญาเลยว่าเจ้าจะตายโดยที่ไม่รู้ตัวด้วยซ้ำ !”
มารยายิ้มอย่างเย้ยหยัน เวลานี้ร่างของฉินอวี้โม่ตรงเข้ามาปรากฏกายข้างอสูรสาวแล้ว
“เหอะ ต่อให้เจ้าจะช่วยหยกขาวพันปีไว้ได้ กรงขังเทวะที่เป็นหนึ่งในสมบัติล้ำค่าของหุบเขากรุ่นกำยานของพวกเราก็ไม่มีทางที่จะถูกเปิดออกได้ง่าย ๆ หากไม่มีคาถาคลายมนตร์จากข้า พวกเจ้าไม่มีทางเปิดมันได้แน่ !”
เฝินชวี่แค่นเสียงดัง เขามองฉินอวี้โม่และมารยาพร้อมกล่าวอย่างมั่นอกมั่นใจ
“งั้นรึ ?”
ฉินอวี้โม่และมารยาเพียงชำเลืองมองเฝินชวี่อย่างไม่สนใจนัก สีหน้าแววตาของทั้งสองบ่งบอกถึงความเยาะเย้ยถากถางอย่างชัดเจน
จากนั้นหอกแวววับเป็นประกายเล่มหนึ่งก็ปรากฏในมือของฉินอวี้โม่อย่างกะทันหันก่อนพุ่งแทงตรงไปที่กรงล้อมโดยไม่ลังเล
เคร๊ง !
เกิดเสียงกระทบดังก่อนที่สิ่งที่ไม่คาดฝันจะเกิดขึ้นต่อหน้าต่อตาทุกคน
ความมั่นใจเต็มเปี่ยมของเฝินชวี่ก่อนหน้านี้หายวับไปทันที บรรดาผู้ติดตามของเขาก็มีใบหน้าที่ถอดสีและสภาวะพลังของพวกเขาอ่อนกำลังลงเล็กน้อย
ทว่าใบหน้าของสมาชิกฝ่ายเทือกเขาหิมะต่างเต็มไปด้วยรอยยิ้มอย่างไม่ปิดบัง
.