คุณหนูสี่ สตรีเปื้อนเลือด - ตอนที่ 479 หานโม่ฉือผู้ทรงพลัง
“ฮ่า ๆ ๆ ข้านึกว่ามันเป็นสิ่งที่แกร่งกล้าทนทานเสียอีก ไม่คิดเลยว่าจะเปราะบางถึงเพียงนี้ ผู้นำของพวกเราเพียงจ้วงแทงเบา ๆ มันก็พังลงเสียแล้ว”
เหมาซานหัวเราะเสียงดังลั่นและหันมองเฝินชวี่พร้อมกล่าววาจาเย้ยหยัน
“ใช่แล้ว ข้าก็นึกว่ามันจะแข็งแกร่งทนทานจริงอย่างที่เฝินชวี่กล่าวอ้างไว้ ไม่คิดเลยว่ามันจะแข็งเหมือนกับก้อนน้ำแข็งเท่านั้น เฝินชวี่…เจ้านี่อวดอ้างอย่างไม่กลัวเสียหน้าเอาซะเลย”
ซวงเสวี่ยหัวเราะอย่างสาแก่ใจเช่นกัน สายตาที่เขาใช้มองเฝินชวี่เปี่ยมด้วยความเยาะเย้ย
อย่างไรก็ตาม แม้กล่าวออกไปอย่างสบาย ๆ หัวใจของเขาก็ยังรู้สึกทึ่งกับสิ่งที่เกิดขึ้นพอสมควร แน่นอนว่าเขาเคยได้ยินเกี่ยวกับอุปกรณ์มายาชิ้นนี้ซึ่งขึ้นชื่อในด้านคุณสมบัติความแข็งแกร่งทนทานและทำลายได้ยากยิ่ง คาดไม่ถึงเลยว่าฉินอวี้โม่จะแทงทะลุมันได้อย่างง่ายดายเช่นนี้ ฉินอวี้โม่ผู้นี้ช่างแข็งแกร่งจนน่าหวาดหวั่นอย่างแท้จริง !
“ข้า…”
สีหน้าของเฝินชวี่ถอดสีและบิดเบี้ยวอย่างที่สุด เขาต้องการสาดวาจาตอบโต้กลับ ทว่ามิอาจสรรหาคำพูดใดมาได้
ข้อเท็จจริงประจักษ์อยู่ตรงหน้าแล้ว และทำไม่ได้แม้กระทั่งตอบโต้กลับอย่างข้าง ๆ คู ๆ กรงขังเทวะที่มีพลังป้องกันแข็งแกร่งที่สุดในหุบเขากรุ่นกำยานของพวกเขาถูกทำลายไปอย่างง่ายดายเช่นนี้
“ดูเหมือนว่าอาวุธของข้าจะแกร่งกล้ามากกว่าเสียอีก”
ฉินอวี้โม่ยิ้มกริ่มและเก็บหอกยาวที่ควบแน่นขึ้นมาจากพลังของซิว
หอกที่มาจากพลังของซิวนี้ไร้เทียมทานและไม่มีวันแตกหัก กรงขังเทวะที่ต่ำต้อยตรงหน้าไม่สามารถต้านทานพลังแกร่งกล้าของมันได้อย่างแน่นอน
ทันทีที่กรงขังเทวะเปิดออก เด็กหนุ่มร่างจำแลงของหยกขาวพันปีก็กระโดดออกมาด้วยใบหน้าที่ร่าเริง
“พี่สาว ขอบคุณมากที่ช่วยข้าไว้”
หยกขาวพันปียิ้มให้กับฉินอวี้โม่และกล่าวเสียงดังชัดเจน
“นายหญิง หยกขาวพันปีเป็นสิ่งที่มองเห็นได้ถึงธาตุแท้ของจิตวิญญาณ แม้ว่าการอำพรางตัวของท่านจะยอดเยี่ยม มันก็มองเห็นความจริงได้อย่างทะลุปรุโปร่งตั้งแต่แวบแรก”
มารยากล่าวอธิบายกับฉินอวี้โม่เพื่อที่นางจะไม่ต้องสงสัยในวาจาของหยกขาวพันปี
“ฮ่า ๆ ๆ ด้วยความยินดี…น้องชาย เพียงแต่จงจำไว้ว่าเจ้าต้องเรียกข้าว่าพี่ชาย มิใช่พี่สาว”
ฉินอวี้โม่ยิ้มขณะเดินเข้าไปหาร่างของหยกขาวพันปีและลูบศีรษะของเด็กหนุ่มด้วยความเอ็นดู
หยกขาวพันปีเพิ่งจำแลงร่างมนุษย์ได้เพียงไม่นาน แน่นอนว่ามันก็ยังละอ่อนเหมือนกับรูปลักษณ์ภายนอกที่เห็นในตอนนี้ แม้ว่ามันเป็นสิ่งมีชีวิตประเภทวิญญาณ มันก็มีปัญญาเฉียบแหลมอย่างมาก ทว่าก็ยังมีลักษณะท่าทางและนิสัยใจคอแบบเด็ก ๆ
ด้วยความเฉลียวฉลาดของหยกขาวพันปี เมื่อได้ยินวาจาของฉินอวี้โม่ มันจึงเข้าใจความหมายของนางได้ในทันที เด็กหนุ่มเพียงยิ้มบาง ๆ และกล่าว “พี่ชาย สิ่งนี้…ข้าจะถือว่าเป็นของกำนัลสำหรับท่าน”
หลังจากกล่าวจบ ผลผลึกน้ำแข็งศักดิ์สิทธิ์ก็ปรากฏในมือเล็ก ๆ ของมันและก็ยื่นสิ่งล้ำค่านั้นให้กับฉินอวี้โม่
“เจ้าหนู เจ้าบอกว่าเจ้ากินผลผลึกน้ำแข็งศักดิ์สิทธิ์ไปแล้วมิใช่รึ ?!”
เมื่อเห็นผลผลึกน้ำแข็งปรากฏในมือของหยกขาวพันปีอย่างกะทันหัน อินทรีหิมะก็พุ่งพรวดเข้ามาพร้อมด้วยแววตาโกรธเกรี้ยว อย่างไรก็ตาม ฉินอวี้โม่สัมผัสได้ว่าน้ำเสียงของมันไม่ได้มีความโกรธแค้นมากนัก
“ฮ่า ๆ ๆ ข้าสามารถคายมันออกมาหลังจากที่กินไปแล้ว”
เด็กหนุ่มกล่าวพร้อมยิ้มกว้าง มันไม่มีทางบอกความจริงกับเจ้าตัวโตตรงหน้าว่าก่อนหน้านี้มันเพียงพูดโกหกเท่านั้น
“เหอะ เจ้าหนูน้อย ช่างเจ้าเล่ห์ยิ่งนัก !”
อินทรีหิมะแค่นเสียงเย็นชา ทว่ามันก็เข้าไปยืนข้างหยกขาวพันปีอย่างนิ่ง ๆ และไม่ได้ลงมือทำสิ่งใด ทว่าสายตาที่มันใช้มองฉินอวี้โม่แสดงออกถึงความระแวดระวังอย่างชัดเจนราวกับว่าต้องการปกป้องเด็กหนุ่มตัวน้อยจากนาง
เมื่อเข้าใจได้ถึงความคิดของอินทรีหิมะ ฉินอวี้โม่ก็เพียงโบกมือเบา ๆ โดยไม่เอ่ยสิ่งใด ไม่คิดเลยว่าอินทรีหิมะจะเป็นอสูรที่ตรงไปตรงมาเช่นนี้และการแสดงออกของมันก็ชัดเจนอย่างยิ่ง
“เหอะ ได้ใจกันไปก่อนเถอะ !”
เฝินชวี่แค่นเสียงเย็นชาขณะสายตาจับจ้องที่ไปฉินอวี้โม่ก่อนเลื่อนไปที่ฉินเฟิง เขาตระหนักดีแล้วว่าหากต้องการครอบครองหยกขาวพันปีมาในครานี้ มันคงไม่มีโอกาสเป็นไปได้
“ข้าจะจดจำเรื่องราวในวันนี้ไว้ ในไม่ช้าข้าจะพาคนไปที่เทือกเขาหิมะของพวกเจ้าและคิดบัญชีกับพวกเจ้าด้วยตัวเอง รอก่อนเถอะ !”
หลังจากกล่าวจบ เขาก็สะบัดหน้าหันหลังกลับและต้องการที่จะไปจากที่นี่โดยเร็ว
“ฮ่า ๆ ๆ เชิญมาได้ทุกเมื่อ พวกข้ายินดีต้อนรับเสมอ แต่อย่าลืมพกพาสิ่งของล้ำค่ามาด้วยล่ะ มิฉะนั้นเมื่อพวกเราจับตัวพวกเจ้าได้ หากไม่มีสิ่งของล้ำค่าที่เหมาะสมเพื่อเป็นค่าไถ่โทษ พวกเจ้าอาจจะไม่ได้มีชีวิตรอดกลับไป และจงจำใส่สมองไว้ว่าพวกข้าคือ ‘เรือนเฟิงเสวี่ย’ มิใช่เทือกเขาหิมะอีกต่อไป”
ฉินอวี้โม่มองดูร่างของเฝินชวี่ที่เซเล็กน้อยจนแทบทรุดล้มลงก่อนที่รอยยิ้มเจ้าเล่ห์จะปรากฏขึ้นบนใบหน้าของนาง
คิดจะสู้กับอดีตนักฆ่ามือพระกาฬอย่างข้ารึ ? ยังห่างชั้นไปอีกหลายขุมนัก !
ซวงเสวี่ย เหมาซานและคนอื่น ๆ ก็อดหัวเราะออกมาไม่ได้ พวกเขามองดูสภาพของเฝินชวี่ด้วยแววตามีความสุขอย่างไม่ปกปิด
เฝินชวี่กำหมัดแน่นและไม่เอ่ยสิ่งใดอีก เขาเรียกอสูรมายาของตนออกมาและไปจากที่นี่อย่างรวดเร็ว ตอนนี้เขาเดือดดาลอย่างที่สุดและต้องรีบไปหาที่สงบสติอารมณ์ให้ได้โดยเร็ว
การเดินทางมาเยือนทุ่งหิมะทางเหนือครานี้ไม่เพียงแต่จะล้มเหลวในการคว้าหยกขาวพันปีมาครองเท่านั้น ทว่าเขายังสูญเสียอุปกรณ์มายาที่ล้ำค่าของหุบเขากรุ่นกำยานอย่างกรงขังเทวะไปอีกด้วย
ครานี้พวกคนจากเทือกเขาหิมะยโสโอหังอย่างแท้จริง อีกทั้งยังมีคนแปลกหน้าสองคนนั้นที่ถือว่าไม่ธรรมดาเลย เขาต้องกลับไปที่หุบเขาโดยเร็วและแจ้งสิ่งที่เกิดขึ้นที่นี่ให้ผู้เป็นบิดาได้ทราบ พวกเขาจะปล่อยให้เทือกเขาหิมะเหิมเกริมต่อไปเช่นนี้ไม่ได้เป็นอันขาด
แน่นอนว่าฉินอวี้โม่และขุมกำลังใหม่ของนางไม่ได้ทราบถึงความคิดของเฝินชวี่
“หยกขาวพันปี เจ้ารู้หรือไม่ว่าพวกเราก็มาที่นี่เพราะเจ้าเช่นกัน”
ฉินอวี้โม่มองเด็กหนุ่มอายุประมาณสิบขวบตรงหน้าและกล่าวจุดประสงค์ของตนออกไปอย่างเปิดเผย
“เหอะ ข้าก็รู้อยู่แล้วว่ามนุษย์อย่างพวกเจ้าก็เหมือนกันทั้งหมด การที่ข้ายืนอยู่ตรงนี้ จะไม่มีใครที่สามารถแตะต้องเจ้าหนูน้อยนี่ได้เด็ดขาด !”
หยกขาวพันปีมิได้เอ่ยตอบใด ๆ ทว่ากลับเป็นอินทรีหิมะที่แค่นเสียงเย็นชาพร้อมขวางหน้าเพื่อปกป้องมันไว้
“เจ้าตัวโต ไม่ต้องห่วง”
เด็กหนุ่มวิ่งออกมาข้างหน้าและมองฉินอวี้โม่พร้อมยิ้มกว้างจนตาหยี ถึงแม้ฉินอวี้โม่กล่าวว่ามาที่นี่เพื่อจับมันเช่นกัน มันก็ไม่ได้มีความเป็นปฏิปักษ์ต่อสตรีผู้นี้แต่อย่างใด หนำซ้ำมันยังสนใจและใคร่รู้ว่านางต้องการสิ่งใด
“พี่สาว หากท่านอยากจะฆ่าข้า ข้าไม่ยอมอยู่เฉยให้จับแน่ ทว่าหากท่านมีเรื่องอื่น ข้าก็สามารถช่วยท่านได้ ท่านช่วยชีวิตข้าไว้ ตราบใดที่ข้าสามารถช่วยได้ ข้าจะไม่ปฏิเสธอย่างแน่นอน”
หยกขาวพันปีกล่าวพร้อมรอยยิ้ม หากฉินอวี้โม่ต้องการชีวิตของมัน มันจะหนีไปในทันที ทว่าหากนางต้องการความช่วยเหลือในด้านอื่น มันจะให้ความร่วมมืออย่างเต็มที่
ฉินอวี้โม่รู้สึกจนปัญญาเล็กน้อยเมื่อได้ยินเด็กหนุ่มตรงหน้าเรียกนางว่าพี่สาวอีกครั้ง ทว่าทุกคนที่นี่ต่างก็เป็นสหายพวกพ้องของนางแล้ว นางก็ไม่ต้องการที่จะปิดบังอีกต่อไป
ซวงเสวี่ยและเหมาซานมีสีหน้างุนงงอย่างเห็นได้ชัด พวกเขาไม่ทราบเลยว่าเหตุใดหยกขาวพันปีจึงเรียกฉินอวี้โม่ว่า ‘พี่สาว’
“ข้าจะอธิบายกับพวกท่านทีหลัง”
ฉินอวี้โม่เพียงยิ้มอ่อนให้กับพวกเขาและไม่คิดที่จะอธิบายให้ยืดยาวในตอนนี้ นางหันกลับไปมองหยกขาวพันปีและกล่าวพร้อมรอยยิ้ม “ความจริงคือก่อนหน้านี้ข้าได้หลอมคฤหาสน์หลังหนึ่งขึ้นมา และตอนนี้ถึงเวลาที่ต้องพัฒนาปรับโฉมมันแล้ว ส่วนวัสดุหลัก ๆ ที่จำเป็นสำหรับการพัฒนามันก็คือผลึกหัวใจมายาและหยกขาวพันปี เชิญเจ้าเข้ามาชมคฤหาสน์ของข้าก่อนได้เลยและดูว่าเจ้าจะช่วยข้าได้รึไม่ ทว่าหากมันต้องแลกด้วยชีวิตของเจ้า ข้าก็ไม่อาจทำได้”
อันที่จริงก่อนหน้านี้ฉินอวี้โม่ก็คิดที่จะหลอมหยกขาวพันปีเข้ากับคฤหาสน์เฟิงหัวของนางโดยตรง เพียงแต่ครานี้เมื่อมองดูแววตาสดใสของเด็กหนุ่มน่ารักจิ้มลิ้มตรงหน้า นางก็มิอาจทำใจทำเรื่องที่โหดร้ายเช่นนั้นได้
“พี่สาว ข้าขอดูคฤหาสน์ที่ว่านั่นก่อนได้รึไม่ ?”
เด็กหนุ่มกล่าวพร้อมรอยยิ้ม
ฉินอวี้โม่ก็หยิบคฤหาสน์เฟิงหัวออกมาเพื่อให้มันตรวจดูอย่างใกล้ชิด…
ในเวลานี้ฉินอวี้โม่กำลังพัฒนาพลังอำนาจและอิทธิพลของตนเองในดินแดนทางเหนือของดินแดนเทพมายา ทว่าในอีกฟากหนึ่ง ภายในมิติโกลาหลพิเศษแห่งเดิม การฝึกพลังของหานโม่ฉือก็เข้าสู่ช่วงรอยต่อสำคัญสุดท้ายแล้ว
ตอนนี้สภาวะพลังและกลิ่นอายของหานโม่ฉือดูเลือนรางเลื่อนลอยอย่างยิ่ง ทว่าเจือด้วยความปั่นป่วนบางอย่าง ธาตุทั้งห้า ทอง ไม้ น้ำ ไฟ ดิน ถาโถมเข้าใส่และปะทุอยู่รอบร่างของเขาอย่างต่อเนื่องโดยก่อตัวกลายเป็นคลื่นพลังที่รุนแรงซึ่งเป็นสิ่งที่น่าสะพรึงกลัวอย่างมาก
กิเลนอัคคีจับตาดูการเปลี่ยนแปลงของร่างกายของผู้เป็นนายอยู่เสมอ และเมื่อเห็นภาพนี้ มันก็อดขมวดคิ้วเบา ๆ ไม่ได้
มันไม่ทราบเลยว่าเวลาผ่านไปนานเพียงใดตั้งแต่ที่มันและหานโม่ฉือมาถึงมิติโกลาหลแห่งนี้ มันเพียงทราบว่าหานโม่ฉือได้สติตื่นมาครั้งหนึ่งและพึมพำชื่อของบุตรทั้งสองก่อนปิดกั้นตัวเองเข้าสู่สภาวะเก็บตัวต่อไป จนกระทั่งมาถึงวันนี้ เขาก็ไม่มีท่าทีว่าจะตื่นลืมตาขึ้นมาอีกเลย
อย่างไรก็ตาม เมื่อเห็นกลุ่มพลังรุนแรงรอบตัวหานโม่ฉือในตอนนี้ มันสัมผัสได้ว่าการฝึกยุทธ์ของหานโม่ฉือน่าจะบรรลุช่วงสุดท้ายแล้ว
เมื่อเห็นพลังธาตุต่าง ๆ หลั่งไหลเข้าสู่ร่างของหานโม่ฉือและกลับออกมาก่อนหลั่งไหลเข้าไปอีกครั้งซ้ำแล้วซ้ำเล่าวนเวียนอยู่เช่นนี้ กิเลนอัคคีก็ขมวดคิ้วมุ่น
แน่นอนว่ามันตระหนักดีว่าการบ่มเพาะพลังโกลาหลน่าสะพรึงกลัวเพียงใด อีกทั้งยังเป็นเรื่องยากอย่างมากที่จะดูดซับพลังงานเหล่านั้นและควบคุมมันให้ได้โดยสมบูรณ์
มันเข้าใจดีว่าตอนนี้หานโม่ฉือกำลังเผชิญกับความเจ็บปวดทรมานอย่างที่สุด ทว่าในฐานะอสูรประจำตัว มันก็ไม่สามารถช่วยอะไรผู้เป็นนายได้เลย
อย่างไรก็ตาม มันเชื่อว่าหานโม่ฉือจะอดทนและผ่านพ้นความยากลำบากนี้ไปได้ เพราะฉินอวี้โม่และบุตรทั้งสองของเขายังเฝ้ารออยู่ในโลกภายนอก เขาไม่มีทางยอมแพ้อย่างแน่นอน
เปรี๊ยะ เปรี๊ยะ เปรี๊ยะ !
ทันใดนั้น เสียงประหลาดก็ดังขึ้นในหูของกิเลนซึ่งฟังดูเหมือนเสียงกระแสไฟฟ้าปะทุ
จากนั้นเมื่อมองหานโม่ฉือตรงหน้าอีกครา สีหน้าของมันก็บิดเบี้ยวไปทันที
เส้นเลือดทั่วร่างของเขากำลังปูดขึ้นมาและราวกับเขากำลังต่อสู้กับความเจ็บปวดที่แสนทรมาน ร่างกายของเขาบวมพองขึ้นอย่างรวดเร็วราวกับแทบจะระเบิดออกมา สิ่งที่เกิดขึ้นในตอนนี้ดูน่าสะพรึงกลัวและน่าหวั่นใจอย่างที่สุด
“นายท่าน อดทนไว้ นายหญิงและเจ้าหนูทั้งสองยังรอท่านอยู่ในโลกภายนอก ท่านห้ามเป็นอะไรไปเด็ดขาด”
เมื่อเห็นสภาพของผู้เป็นนาย กิเลนอัคคีก็ทนไม่ไหวอีกต่อไปและกำลังจะปรี่เข้าไปทำอะไรสักอย่างเพื่อช่วยเขา ทว่ามันยังไม่ทันได้เข้าใกล้ด้วยซ้ำ จู่ ๆ มันก็ถูกคลื่นพลังงานบางอย่างซัดกลับมา ยิ่งไปกว่านั้น เมื่อมันต้องการเข้าสู่มิติเชื่อมอสูร มันก็พบว่ามิติเชื่อมอสูรก็ถูกตัดขาดโดยพลังมหาศาลนั้นและมันมิอาจเข้าไปได้เลย
ในช่วงเวลาแห่งความสิ้นหวังหมดหนทาง มันทำได้เพียงตะโกนออกไปเช่นนี้และหวังว่าหานโม่ฉือจะได้ยิน
ในเวลานี้ เป็นเพราะพลังงานแต่ละอย่างที่ไม่สมดุลกัน ภายในร่างของหานโม่ฉือจึงเกิดความปั่นป่วนและผันผวนที่รุนแรง พลังงานทุกรูปแบบถาโถมเข้าสู่ร่างกายของเขาจนเกิดความเจ็บปวดที่มิอาจควบคุมได้
ทว่าเมื่อได้ยินเสียงตะโกนของอสูรคู่กาย จู่ๆใบหน้าของหานโม่ฉือผู้ซึ่งสติเลื่อนลอยก็เปี่ยมไปด้วยความมุ่งมั่นในทันที
ใช่แล้ว โม่เอ๋อร์ของเขายังคงเฝ้ารอเขาอยู่ที่ดินแดนเทพมายา บุตรน้อยทั้งสองของเขาก็ยังรอให้เขาไปเลี้ยงดูจนเติบใหญ่ เขาจะเป็นอะไรไปไม่ได้
เมื่อคิดเช่นนี้ จิตใจที่อ่อนแรงของหานโม่ฉือก็หนักแน่นแน่วแน่ขึ้นมาอีกครา เขาพยายามควบคุมพลังงานในร่างกายเพื่อทำให้พวกมันกลับคืนสู่สภาวะสงบนิ่งเช่นเดิม หานโม่ฉือทุ่มเทอย่างสุดกำลังและไม่มีความคิดที่จะยอมแพ้
ในที่สุด พลังงานปั่นป่วนรุนแรงในร่างของเขาก็ถูกเขาควบคุมได้สำเร็จ เวลานี้ แสงแห่งการวิวัฒนาการก็ส่องสว่างออกมาและสภาวะพลังในร่างของหานโม่ฉือก็พุ่งพรวดออกมาอย่างรวดเร็ว
ภายในชั่วพริบตา คลื่นพลังเขาก็บรรลุถึงระดับที่จะทำให้หัวใจของผู้พบเห็นต้องบีบแน่นและสั่นระรัว !
.