คุณหนูสี่ สตรีเปื้อนเลือด - ตอนที่ 481 การหยั่งเชิงของสามขุมกำลังใหญ่
‘เทือกเขาหิมะ’ อยู่ในหุบเขาระหว่างเทือกเขาสองฟากในบริเวณเกือบเหนือสุดของพรมแดนทางเหนือ มันอยู่ใกล้กับทุ่งหิมะทางเหนือและติดกับเมืองเหลียวที่ฉินอวี้โม่และฉินเฟิงผ่านมาก่อนหน้านี้
เทือกเขาหิมะไม่ได้หรูหราโอ่อ่ามากนักและมีอาณาบริเวณที่ไม่กว้างใหญ่จนเกินไป ทว่าด้วยตำแหน่งที่ตั้งที่โดดเด่นและเป็นเอกลักษณ์ มันจึงง่ายที่จะป้องกันภัยและยากที่ผู้ใดจะโจมตีได้ มันถือเป็นพิกัดที่ยอดเยี่ยมอย่างยิ่ง
ในเทือกเขาหิมะเวลานี้ สีหน้าของทุกคนแสดงถึงความกังวลและบรรยากาศรอบ ๆ ตึงเครียดเล็กน้อยราวกับเหตุการณ์ครั้งใหญ่บางอย่างกำลังจะเกิดขึ้น
ภายในห้องโถงของเทือกเขาหิมะ ฉินอวี้โม่และทุกคนนั่งอยู่ตรงข้ามกัน สีหน้าของซวงเสวี่ย เหมาซานและคนอื่น ๆ ตึงเครียดและกังวลใจอย่างเห็นได้ชัด
ในทางตรงกันข้าม ฉินอวี้โม่ผู้ซึ่งนั่งอยู่บนบัลลังก์หลักและฉินเฟิงที่นั่งอยู่ในระดับต่ำกว่านางเล็กน้อยยังคงมีสีหน้าที่เรียบเฉยไม่บ่งบอกถึงความรู้สึกใดเช่นเคย ราวกับไม่ได้กังวลแม้แต่น้อย
ในช่วงเวลาก่อนหน้านี้ หลังจากที่ทุกคนออกมาจากคฤหาสน์เฟิงหัว ใครบางคนก็ปรี่เข้ามารายงานข่าวทันทีโดยกล่าวว่าสามขุมกำลังใหญ่กำลังส่งคนมุ่งหน้าตรงมาในทิศทางของเทือกเขาหิมะอย่างรวดเร็ว
จากข้อมูลที่ได้รับจากผู้ที่แฝงตัวอยู่ในสามขุมกำลังใหญ่ ดูเหมือนว่าทั้งสามขุมกำลังจะส่งคนมาเพื่อสร้างปัญหาให้กับขุมกำลังเทือกเขาหิมะโดยมีท่าทางเหมือนจะพร้อมทำสงคราม
“มันเป็นข่าวที่เชื่อถือได้รึไม่ ?”
เหมาซานเอ่ยถามอีกคราเพื่อยืนยันข้อมูล การที่สามขุมกำลังร่วมมือกันเพื่อโจมตีขุมกำลังเดียวถือเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นได้ยากยิ่งนัก ยิ่งไปกว่านั้น เทือกเขาหิมะก็เป็นเพียงขุมกำลังระดับสองเท่านั้น การที่ทั้งสามถึงขั้นผนึกกำลังกันเพื่อโจมตีเช่นนี้ถือว่าเป็นการทำให้เรื่องวุ่นวายเกินกว่าเหตุจริง ๆ
“เชื่อถือได้อย่างแน่นอน”
ซวงเสวี่ยพยักศีรษะขณะกวาดสายตามองฉินอวี้โม่และทุกคน “เห็นทีคงจะเป็นเพราะข่าวเรื่องของท่านอวี้โม่และท่านฉินเฟิงแพร่ไปถึงสามขุมกำลังนั่นแน่ ๆ อีกทั้งด้วยการยุยงของเฝินชวี่ ทั้งสามขุมกำลังจึงคล้อยตามและตัดสินใจส่งคนมาที่นี่”
หลังจากหยุดชั่วคราว เขาก็กล่าวต่อ “ยิ่งไปกว่านั้น ข้าคิดว่าพวกเขาคงจะมาที่นี่เพียงเพื่อประเมินความแข็งแกร่งของพวกเราเท่านั้น มิใช่โจมตีพวกเราโดยตรง เพราะฉะนั้นไม่มีสิ่งใดที่เราจะต้องกลัว”
จากข้อมูลที่พวกเขาได้รับ ครานี้บรรดาคนที่ทั้งสามขุมกำลังส่งมาเป็นเพียงจอมยุทธ์ขอบเขตพสุธาเซียนขั้นกลางและไม่มีผู้ใดจากขอบเขตพสุธาเซียนขั้นสูงด้วยซ้ำ อีกทั้งจำนวนคนทั้งหมดที่พวกเขาส่งมาก็มีเพียงแค่หนึ่งร้อยคน
เพราะเหตุนั้น ซวงเสวี่ยจึงคาดการณ์ว่าทั้งสามขุมกำลังคงเพียงต้องการลองเชิงและทดสอบความแข็งแกร่งของพวกเขาเพื่อดูว่าเทือกเขาหิมะจะมีอำนาจต่อกรกับพวกเขาทั้งสามขุมกำลังจริง ๆ หรือไม่
“ข้อสันนิษฐานของท่านซวงเสวี่ยถูกต้องแล้ว ทั้งสามขุมกำลังน่าจะคิดเช่นนั้น อย่างไรก็ตาม ตอนนี้เราก็ยังต้องคิดหาวิธีรับมือกับพวกเขาก่อน”
ฉินเฟิงกล่าวขึ้นเบา ๆ ด้วยความเห็นด้วยกับวาจาของซวงเสวี่ย ทั้งสามขุมกำลังระดับหนึ่งทำเช่นนี้เพื่อหยั่งเชิงและยืนยันทัศนคติของเทือกเขาหิมะในตอนนี้
ยิ่งไปกว่านั้น เมื่อพิจารณาจากความสัมพันธ์ระหว่างสามขุมกำลังที่ซวงเสวี่ยได้กล่าวไว้ก่อนหน้านี้ พวกเขาก็น่าจะไม่สามัคคีกันเท่าไหร่นักและก็ไม่มีทางที่จะประสานงานกันได้อย่างมีประสิทธิภาพ ถึงอย่างไรแล้วตลอดหลายปีที่ผ่านมานี้ ทั้งสามขุมกำลังก็แข่งขันประจันหน้ากันหลายครั้งหลายคราและไม่มีทางเลยที่พวกเขาจะปรองดองกันได้ คาดว่าหากข้อสันนิษฐานถูกต้อง พวกเขาเหล่านั้นเพียงแค่เสแสร้งร่วมมือกันเท่านั้น
“ศิษย์พี่คิดหาวิธีได้แล้วใช่รึไม่ ?”
เมื่อได้ยินวาจาของฉินเฟิง ฉินอวี้โม่ก็ยิ้มอ่อนและกล่าวออกไป
ด้วยไหวพริบที่เฉียบคมของฉินเฟิง นางเชื่อว่าเขาคิดวิธีได้ตั้งแต่ต้นแล้ว นางไว้วางใจในความสามารถของฉินเฟิงอย่างแท้จริง เพราะเหตุนั้น ทุกอย่างจึงจะดำเนินไปตามการจัดการของเขา
“ในเมื่อพวกเราพร้อมที่จะผนึกกำลังของดินแดนทางเหนือแล้ว เราก็ไม่จำเป็นต้องเก็บตัวเงียบอีกต่อไป ในเมื่อพวกเขาตั้งใจจะหยั่งเชิงพวกเรา หากเราไม่แสดงให้พวกเขาได้เห็นว่าเราแกร่งกล้าเพียงใด มันก็ไร้ความหมาย ฉะนั้นข้าจึงขอเสนอว่าเราควรเผยสิ่งที่กึ่งจริงกึ่งปลอมเพื่อทำให้พวกเขาคาดเดาถึงความแข็งแกร่งที่แท้จริงของเรือนเฟิงเสวี่ยไม่ได้”
ฉินเฟิงยิ้มกริ่มและเริ่มกล่าวแผนการของเขา
“ตราบใดที่เราทำให้พวกเขาหวั่นเกรงได้และทำให้อำนาจบารมีของเรือนเฟิงเสวี่ยแผ่ขยายออกไปทั่ว เมื่อถึงตอนนั้น หากเรากระจายข่าวออกไปว่าอวี้โม่เป็นช่างหลอมระดับปรมาจารย์อีกนั้น มันจะดึงดูดจอมยุทธ์อิสระมาเข้าร่วมขุมกำลังของเราเป็นจำนวนมากอย่างแน่นอน จากนั้นเราจะเลือกผูกไมตรีกับหนึ่งในขุมกำลังใหญ่ก่อนและปล่อยให้อีกสองขุมกำลังห่วงหน้าพะวงหลัง ไม่กล้าลงมือทำอะไร และในอีกหนึ่งเดือนข้างหน้าเมื่อเราต้องต่อสู้เพื่อแย่งชิงความเป็นใหญ่ในดินแดนทางเหนือ นั่นจะเป็นเวลาที่เราจะประกาศศักดาอย่างแท้จริง !”
วาจาของฉินเฟิงทรงพลังอย่างยิ่งและแผนการของเขาก็สมบูรณ์แบบไม่มีข้อบกพร่องใด ๆ ซวงเสวี่ยและคนอื่น ๆ จึงอดรู้สึกชื่นชมและเห็นด้วยกับเขาไม่ได้
“จากที่สิ่งข้าเข้าใจเกี่ยวกับทั้งสามขุมกำลัง ผู้นำนิกายเพลิงแดงเดือดเป็นคนเถรตรงและฉลาด เขาเป็นคนที่สามารถเข้าถึงได้ง่าย ส่วนผู้นำหุบเขากรุ่นกำยานเป็นคนเจ้าเล่ห์เพทุบาย และผู้นำนิกายอู่ซานนั้นก็ไม่เป็นมิตรเท่าไหร่นัก เพราะฉะนั้นเราควรเลือกผูกมิตรกับผู้นำนิกายเพลิงแดงเดือด ยิ่งไปกว่านั้น ผู้นำนิกายเพลิงแดงเดือดก็โปรดปรานผู้ที่แข็งแกร่งเป็นที่สุด หากได้รับการยอมรับจากเขา การดึงเขาเข้ามาร่วมกับพวกเราก็มิใช่ปัญหา”
ซวงเสวี่ยกล่าวเสริม เขาเองก็คิดวิธีการได้แล้วเช่นกันและมันสอดคล้องกับวิธีของฉินเฟิง เพียงแต่มันยังไม่ครอบคลุมเท่าแผนการของฉินเฟิงก็เท่านั้น
“เข้าใจแล้ว เราจะทำตามที่ท่านเสนอ เพียงต้องหารือขั้นตอนทุกอย่างให้ละเอียดเท่านั้น”
ฉินอวี้โม่ยิ้มและตัดสินใจทันที นางคุ้นชินกับการออกคำสั่งโดยไม่ต้องลงมือเองแล้ว เมื่อพิจารณารายละเอียดเหล่านี้นางก็อดปวดหัวขึ้นมาไม่ได้
ในทางกลับกัน นางยังชอบที่จะใช้กำลังแก้ไขปัญหาโดยตรง ถึงอย่างไรแล้วดินแดนนี้ก็เป็นที่ที่ผู้แข็งแกร่งได้รับการยอมรับ ปัญหาใดที่แก้ไขได้ด้วยกำลังไม่นับว่าเป็นเรื่องใหญ่สำหรับนางเลยสักนิด
หลังจากนั้น ฉินเฟิงก็หารือการเตรียมการรับมือต่อไปกับซวงเสวี่ย เหมาซานและคนอื่น ๆ ในขณะที่ฉินอวี้โม่วางใจสบาย ๆ และเข้าไปศึกษาคฤหาสน์เฟิงหัวโฉมใหม่ของนางต่อไป
การตั้งเวลาของคฤหาสน์เฟิงหัวขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของนางเองและนางสามารถเลือกได้ว่าจะเปิดใช้งานมันหรือไม่
ขณะมองดูบุตรน้อยทั้งสองด้วยแววตาเปี่ยมไปด้วยความรัก ฉินอวี้โม่ก็ตัดสินใจได้อย่างรวดเร็ว ตอนนี้นางจะปล่อยให้คฤหาสน์เฟิงหัวเดินตามเวลาเหมือนกับโลกภายนอก ถึงอย่างไรแล้ว แม้ว่าเวลาร้อยปีไม่มีผลสำหรับคนอย่างนาง ทว่าสำหรับเด็กชายหญิงทั้งสองนั้นมันเป็นเรื่องที่แตกต่างไปอย่างสิ้นเชิง
ฉินอวี้โม่ไม่ต้องการให้บุตรทั้งสองเติบโตก่อนที่จะได้พบกับหานโม่ฉือผู้เป็นบิดาของพวกเขา
ในอนาคต หากนางต้องการเร่งความเร็วของเวลาในคฤหาสน์เฟิงหัว นางก็จะพาบุตรน้อยออกไปข้างนอก นางหวังให้บุตรทั้งสองของตนเจริญเติบโตตามปกติวิสัยอย่างคนทั่วไป
ตลอดเจ็ดวันต่อมา ฉินเฟิงและคนอื่น ๆ ก็ยุ่งกับการจัดการเรื่องต่าง ๆ ทว่าฉินอวี้โม่ก็ใช้เวลาว่างอย่างสบาย ๆ
ในขณะที่ดูแลเด็กน้อยทั้งสอง นางก็พูดคุยกับหยกขาวพันปี อินทรีหิมะ รวมถึงอสูรมายาตัวอื่น ๆ ของนางอย่างสนุกสนาน
ทว่าในช่วงเวลาที่ผ่านมานี้ นางไม่ได้พบเห็นซิวหรือแม้แต่หานอวี้เลย ดูเหมือนว่าซิวจะพาหานอวี้ออกไปในมิติที่พิเศษบางแห่งเพื่อฝึกฝนมันให้แข็งแกร่งขึ้น
เวลานี้ฉินอวี้โม่และมารยากำลังนั่งคุยกันเรื่อยเปื่อยในขณะที่หยกขาวพันปีและอินทรีหิมะกำลังเล่นสนุกกับเจ้าตัวน้อยทั้งสอง
“นายหญิง หากท่านยังไม่ได้ทะลวงพลังไปสู่ขอบเขตพสุธาเซียน นอกจากพี่ซิว พวกเราทั้งหมดก็คงจะไม่สามารถวิวัฒนาการได้”
มารยามองฉินอวี้โม่และกล่าวปัญหาที่มันเพิ่งค้นพบเมื่อไม่นานมานี้
พลังในปัจจุบันของฉินอวี้โม่ติดอยู่ที่ขอบเขตเซียนขั้นสูงสุดซึ่งเป็นระดับเดียวกับมัน อย่างไรก็ตาม มันก็ยังไม่ได้รู้สึกถึงโอกาสในการทะลวงพลังแม้แต่น้อย เมื่อลองไตร่ตรองดู หากฉินอวี้โม่ไม่ได้ทะลวงพลังไปสู่ขอบเขตพสุธาเซียน มันในฐานะอสูรมายาของนางก็คงจะไม่สามารถทะลวงพลังได้เช่นกัน
สถานการณ์ของหานอวี้ มังกรอัสนี หงส์แดงและอสูรอื่น ๆ ในตอนนี้ก็คล้ายกับสถานการณ์ของมันมาก
“ข้าก็รู้สึกได้เช่นกัน เพียงแต่ข้ายังไม่ได้สัมผัสถึงโอกาสหรือจังหวะในการทะลวงไปสู่พลังขอบเขตพสุธาเซียนเลย ข้าเชื่อว่าพลังมายาที่ข้าสั่งสมมาก็น่าจะเพียงพอสำหรับการทะลวงพลังแล้ว”
ฉินอวี้โม่กล่าวพร้อมพยักศีรษะ นางเองก็ตระหนักถึงสถานการณ์ที่เกิดขึ้นเช่นกัน ยิ่งไปกว่านั้น นางก็บรรลุขอบเขตเซียนขั้นสูงสุดมาระยะหนึ่งแล้วทว่ายังไม่มีท่าทีว่าจะทะลวงไปสู่ขอบเขตที่สูงกว่าเลย นี่ก็ทำให้นางรู้สึกอับจนปัญญาไม่น้อย
“อาจเป็นเพราะกายเทพมายา การทะลวงพลังของท่านจึงเกิดขึ้นยากกว่าคนทั่วไป อย่างไรก็ตาม ข้าเชื่อว่าเมื่อนายหญิงทะลวงพลังได้สำเร็จ พวกเราอสูรทั้งหลายก็จะทะลวงพลังขึ้นไปได้เช่นกัน เมื่อถึงตอนนั้น พลังการต่อสู้ของพวกเราจะแข็งแกร่งขึ้นมาก ต่อให้ต้องเผชิญหน้ากับฉินมู่ยวี่ เราก็สามารถล่าถอยออกมาได้”
มารยายิ้มขณะกล่าวปลอมประโลมผู้เป็นนาย
“อีกอย่าง…นายหญิง ตอนนี้ทักษะการวางข่ายอาคมของท่านถึงระดับใดแล้ว?”
หลังจากหันมองฉินอวี้โม่อีกครา มารยาก็สงสัยใคร่รู้เป็นอย่างยิ่งว่าการฝึกฝนการวางข่ายอาคมของนางคืบหน้าไปถึงไหนแล้ว ฉินอวี้โม่แทบจะไม่ได้ฝึกการวางข่ายอาคมเลย ทว่ามารยาสัมผัสได้ว่าทักษะข่ายอาคมของผู้เป็นนายในตอนนี้คืบหน้าไปมากทีเดียว ยิ่งไปกว่านั้น ในฐานะผู้สืบทอดของเทพมายาคนก่อนและมีกายเทพมายาที่ใคร ๆ ต่างก็พากันอิจฉาริษยา หากวิชาการวางข่ายอาคมของฉินอวี้โม่อยู่ในระดับที่ธรรมดาทั่วไป ผู้คนก็คงพากันหัวเราะเยาะ
“ข้าคิดว่าข้าเป็นผู้ใช้ข่ายอาคมในระดับอาวุโสแล้ว”
ฉินอวี้โม่ไตร่ตรองครู่หนึ่งก่อนเอ่ยตอบ จากความรู้ของนางในฐานะผู้ใช้ข่ายอาคม ตอนนี้นางน่าจะอยู่ในระดับอาวุโสแล้ว
“ผู้ใช้ข่ายอาคมระดับอาวุโส… นายหญิง พรสวรรค์ของท่านช่างน่าสะพรึงกลัวจริง ๆ”
มารยาส่ายศีรษะอย่างจนปัญญาและมองผู้เป็นนายด้วยแววตาเปี่ยมไปด้วยความชื่นชม ต้องกล่าวเลยว่าตอนนี้ตัวมันเป็นเพียงผู้ใช้ข่ายอาคมระดับเชี่ยวชาญและยังไม่ได้พัฒนาไปถึงระดับปรมาจารย์ ทว่าพรสวรรค์ของฉินอวี้โม่ก็เหนือธรรมชาติอย่างแท้จริง เกรงว่านางจะสามารถพัฒนานำหน้ามารยาในไม่ช้า
“ฮ่า ๆ ๆ ยากที่ผู้ใช้ข่ายอาคมระดับอาวุโสจะบรรลุไปถึงระดับเชี่ยวชาญได้ เจ้าน่าจะเข้าใจเรื่องนี้ดี เพราะฉะนั้นข้าไม่มีทางตามเจ้าได้ทันหรอก กว่าข้าจะบรรลุถึงระดับเชี่ยวชาญ เจ้าก็คงเป็นผู้ใช้ข่ายอาคมระดับปรมาจารย์ไปแล้ว และข้าคิดว่าเจ้าน่าจะบรรลุระดับต่อไปได้ก่อนข้าเสียอีก”
ฉินอวี้โม่ยิ้มบาง ๆ นางมิได้ถ่อมตนแต่อย่างใด ทว่ากล่าวออกไปตามความเป็นจริง ทักษะการวางข่ายอาคมของมารยาเหนือชั้นกว่านางมาก แม้แต่อาจารย์สอนชั้นเรียนข่ายอาคมในโรงเรียนราชสำนักก็อาจจะไม่ได้มีทักษะที่ทรงพลังเช่นนี้
เมื่อนึกถึงอาจารย์สอนชั้นเรียนข่ายอาคม จู่ ๆ ฉินอวี้โม่ก็นึกถึงเสี่ยวโร่ว—เด็กสาวรับใช้คู่กายที่ต้องแยกจากกันไปนานหลายปี นางจำได้ดีว่าพรสวรรค์ของเสี่ยวโร่วในการวางข่ายอาคมนั้นยอดเยี่ยมกว่านางมาก เมื่อไม่ได้พบกันเนิ่นนานเช่นนี้ มิอาจทราบได้เลยว่าเด็กสาวจะแข็งแกร่งถึงเพียงใดแล้ว…
ยิ่งไปกว่านั้น มิอาจล่วงรู้ได้เลยว่าเสี่ยวโร่วจะออกตามหานางที่ดินแดนอื่นหรือไม่ จะได้ข่าวคราวเกี่ยวกับพี่ชายของนางบ้างหรือไม่ และเด็กสาวผู้นั้นจะทราบหรือไม่ว่าตอนนี้นางมาถึงที่ดินแดนเทพมายาแล้ว…
อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ฉินอวี้โม่ไม่ทราบเลยคือเสี่ยวโร่วกำลังเดินทางมุ่งหน้าตรงมาที่ดินแดนทางเหนือนี้และในไม่ช้า นางและเสี่ยวโร่วจะได้พบหน้ากันอีกครา
“อวี้โม่ คนจากสามขุมกำลังจะมาถึงแล้ว เตรียมตัวออกมาเถอะ”
ในขณะที่ความคิดแล่นไปไกลนั้น เสียงของฉินเฟิงก็ดังขึ้นในหูของฉินอวี้โม่
หลังจากจัดระเบียบความคิดและเตรียมความพร้อม ฉินอวี้โม่และมารยาก็ก้าวออกไปพร้อมกัน
.