คุณหนูสี่ สตรีเปื้อนเลือด - ตอนที่ 49 การปรากฏตัวของผู้พิทักษ์
กรงเล็บของหมีดำผู้หยิ่งยโสกำลังพุ่งตรงเข้าใส่ฉินอวี้โม่ แท้จริงแล้วมันไม่ได้มีเจตนาจะทำร้ายนาง อสูรเทวะราชันแห่งป่าแสงจันทร์ผู้ยิ่งใหญ่เพียงแค่ต้องการจะจับนางกลับไปในป่าพร้อมกับมันเท่านั้น เพราะมันคิดว่าสตรีผู้นี้งดงามเป็นที่ต้องตา อีกทั้งยังกล้าหาญเด็ดเดี่ยว หมีระดับเทวะราชันกำลังรู้สึกสนใจในตัวอดีตสาวนักฆ่าเป็นอย่างมาก
อย่างไรก็ตาม ในตอนที่กรงเล็บของมันเกือบจะสัมผัสกับร่างกายสตรีมนุษย์ที่มันหมายปอง หมีดำยักษ์ก็รู้สึกถึงแรงกดดันอันมหาศาลที่ถูกปลดปล่อยออกมาจากร่างบางตรงหน้า แรงกดดันอันแสนน่ากลัวนั้นพุ่งเข้าปะทะกายใหญ่ยักษ์และทำให้กรงเล็บของมันไม่อาจจะขยับได้อีก !
ในเวลาเดียวกันก็มีเสียงอันน่าเกรงขามดังมาจากร่างของฉินอวี้โม่
“ก็นึกว่ามีเจ้าพวกน่ารังเกียจที่ไหนมายุ่งกับนายหญิงของข้า ที่แท้ก็เป็นแค่อสูรเทวะราชันตัวเล็ก ๆ เจ้าคงคิดว่าตัวเองไร้เทียมทานสินะ ?”
เสียงของซิวดังออกมา มันเป็นเสียงที่หยิ่งทะนงและน่าเกรงขาม ขณะเดียวกันเมื่อฟังแล้วก็ชวนให้รู้สึกหวาดหวั่นอย่างไม่อาจต้าน
ในเสี้ยวลมหายใจที่หมีดำกำลังพุ่งเข้าโจมตี ฉินอวี้โม่ก็พยายามสื่อสารกับซิว ซิวรับรู้ถึงสถานการณ์ภายนอกอยู่นานแล้ว เมื่อได้ยินเสียงเรียกของนายหญิง มันก็ปรากฏร่างเลือนรางออกมาช่วยโดยไม่ลังเล
ทุกคนในที่แห่งนั้นเห็นเพียงว่าที่ด้านหน้าของฉินอวี้โม่มีเงาร่างของสิ่งมีชีวิตบางอย่างยืนอยู่ มันคล้ายจะมีสีแดงแต่ก็ดูคลุมเครือไม่ชัดเจน
“เสี่ยวจิน ดูนั่น นั่นคืออสูรมายาแห่งโชคชะตาของนายหญิง—ท่านซิว !”
เมื่อเห็นซิวปรากฏตัวขึ้นตรงหน้าฉินอวี้โม่ เสี่ยวเฮยและเสี่ยวจินก็หายใจโล่งขึ้น พวกมันไม่กังวลอีกต่อไปแล้ว
ทันทีที่ซิวปรากฏตัว เจ้าหมีดำจอมอหังการก็กลัวจนหัวหด
“นั่นยอดฝีมือเมื่อตอนนั้นนี่ !”
สมาชิกแห่งกองทหารรับจ้างชื่อเหยียนที่เคยเห็นซิวมาก่อนหน้านี้ต่างก็โล่งอกเช่นกัน พวกเขารู้ดีว่าท่านยอดฝีมือผู้พร่าเลือน นั้นแข็งแกร่งมากเพียงใด ตัวตนในระดับนี้สามารถสังหารอสูรมายาระดับเทวะได้ในชั่วพริบตาเดียว แน่นอนว่าพลังระดับนั้นย่อมต้องแข็งแกร่งกว่าอสูรเทวะราชันเป็นแน่
“เหอะ คิดว่าข้ากลัวรึ !”
หมีดำเองก็เป็นอสูรมายาแสนหยิ่งยโส มันเปล่งเสียงอย่างเย็นชา ก่อนจะปลดปล่อยพลังออกมาเพื่อทำลายพันธนาการจากแรงกดดันของซิว
“ข้าจะแสดงพลังของข้าให้เจ้าดู !”
หมีดำกล่าวอย่างโอหัง มันสร้างก้อนแสงขนาดยักษ์ขึ้นที่ปาก แล้วส่งออกไปโจมตีซิวอย่างรวดเร็ว
“ช่างไม่รู้จักประมาณตน !”
ซิวจ้องมองหมีดำพลางโบกมือครั้งหนึ่ง เปลวเพลิงร้อนแรงถูกปลดปล่อยออกไปจากจุดที่ซิวยืนอยู่
ทุกคนเห็นเพียงแค่ว่า เมื่อก้อนแสงที่ออกมาจากปากของหมีดำสัมผัสเข้ากับเปลวเพลิงมันก็สลายตัวไปในฉับพลัน ทว่าเปลวเพลิงของซิวกลับไม่หยุดหรือลดทอนความรุนแรงลงเลย และในที่สุดมันก็ปะทะเข้ากับร่างใหญ่ยักษ์ของหมีดำ
“โฮกกกก !”
เปลวเพลิงแผดเผาขนของหมีเทวะราชันในทันที หมีร่างใหญ่ทำได้เพียงส่งเสียงคำรามที่ดูทุกข์ทรมานออกมา
เปลวเพลิงนั้นร้อนเสียจนขนหนา ๆ ของมันไหม้ไปในพริบตา ทันทีที่เพลิงเผาผลาญร่าง มันก็ทนไม่ไหวจนต้องล้มและกลิ้งไปมากลับพื้นอย่างน่าเวทนา
“จะยอมจำนนหรือจะตาย !”
ซิวมองหมีดำที่กำลังกลิ้งไปมาอยู่บนพื้นแล้วเริ่มข่มขู่
หมีดำกัดฟันทน มันยังไม่ยอมเปิดปาก
“ถ้าอย่างนั้น ก็เตรียมตัวกลายเป็นหมีย่างได้เลย วันนี้แหละข้าจะย่างหมี ทุกคนจะได้มีอาหารมื้อพิเศษกิน !”
ซิวแสยะยิ้มและเย้ยหยันออกมา ก่อนจะส่งเปลวเพลิงที่ร้อนแรงกว่าเข้าไปซัดใส่หมีดำอีกระลอกหนึ่ง
เมื่อเห็นเปลวเพลิงที่ฝ่ายตรงข้ามปลดปล่อยออกมา แม้ว่าใจของมันจะไม่ยินดีแต่เจ้าหมีดำก็ต้องก้มหัวให้อย่างจำทน
มันยังไม่อยากตาย มันจึงจำใจต้องยอมจำนน ที่สำคัญเมื่อนึกภาพว่าจะได้กลายเป็นสัตว์เลี้ยงของสาวงามแล้วมันก็ไม่ได้รู้สึกย่ำแย่นัก และเพราะอย่างไรก็ย่อมดีกว่าปล่อยให้เจ้าเงามัวๆ ตรงหน้าย่างมันกินแบบนี้
“หึ ! แล้วจำใส่กะโหลกเอาไว้ด้วยว่า อย่ามาโอหังต่อหน้าข้า !”
ซิวขู่หมีไปอีกครั้งก่อนจะหายตัวไปในร่างของฉินอวี้โม่ ซิวกลับเข้าไปในมิติเชื่อมอสูรของนาง
หมีดำนอนแน่นิ่งแผ่หลาอยู่บนพื้น ร่างของมันดูเกรียมๆ ขนที่เคยฟูยุบหายไปหลายส่วน สภาพของหมีระดับเทวะราชันผู้ยิ่งใหญ่ในตอนนี้ดูร่อแร่เต็มทน เปลวเพลิงของซิวน่าสะพรึงกลัวเกินไป มันทำลายเข้าไปจนถึงอวัยวะภายในของหมีดำตัวนี้จนดูราวกับเป็นหมีตากแห้งอย่างน่าเหลือเชื่อ
ในเวลานั้นเอง ฉินอวี้โม่ก็เข้าไปสยบต้นไม้วิญญาณ และให้อู๋เผยเข้ามาทำพันธสัญญากับมัน ก่อนที่จะเดินกลับเข้าไปหาเจ้าหมีที่นอนไหม้อยู่ไม่ไกล
ในตอนนั้นเอง หมีดำก็เปลี่ยนกลับมาอยู่ในร่างมนุษย์อีกครั้ง มันคุกเข่าลงต่อหน้าฉินอวี้โม่ด้วยความเคารพยำเกรง
ในเมื่อมันตัดสินใจยอมจำนนไปแล้วก็ไม่มีสิ่งใดเปลี่ยนใจมันได้อีก
“เสี่ยวเฮย เสี่ยวจิน เฝ้าอสูรเทวะราชันไว้ก่อน ข้าจะสยบมันหลังจากนี้”
ตรงหน้านางเป็นอสูรมายาระดับเทวะราชัน นี่ถือเป็นทรัพยากรชั้นเยี่ยม ตอนนี้นางอยู่ขอบเขตมายารัตนะเจ็ดดาราแล้ว ขอเพียงทำพันธสัญญากับอสูรเทวะราชันตัวนี้ นางก็อาจจะทะลวงขึ้นไปถึงขอบเขตนภมายาเลยก็เป็นได้ แต่การจะสยบและทำพันธสัญญากับอสูรระดับสูง ๆ นั้นต้องการเวลา ในตอนที่นางสยบและทำพันธสัญญากับเสี่ยวเฮยและเสี่ยวจินซึ่งเป็นอสูรเทวะก็ใช้เวลาระยะหนึ่ง ในตอนนี้เมื่อเป็นอสูรเทวะราชันนั้นก็คงต้องใช้เวลาที่มากกว่าแน่นอน อีกทั้งในตอนนี้อสูรระลอกที่สามกำลังเริ่มล่าถอยกลับเข้าป่าไปแล้ว หากชักช้าจะไม่ทันการณ์ ฉินอวี้โม่จึงอยากจะเอาเวลาในตอนนี้ไปช่วยทุกคนก่อน
แน่นอนว่าเสี่ยวเฮยกับเสี่ยวจินเข้าใจความคิดของฉินอวี้โม่ดี สองอสูรเทวะพยักหน้ารับคำเจ้านาย
พวกมันไม่สามารถเปลี่ยนร่างเป็นมนุษย์ได้ทำให้ทั้งม้าและเหยี่ยวรู้สึกอิจฉาหมีตรงหน้ามาก พวกมันทั้งคู่เยื้องย่างเข้าหาหมีดำอย่างข่มขู่และจับตาดูมันอย่างใกล้ชิด!
แม้จะรู้ว่าหมีดำคงไม่เปลี่ยนใจหรือคิดจะขัดขืนอีก แต่ฉินอวี้โม่ก็ไม่อยากประมาท
“เอาล่ะ ทุกคนช่วยกันจับอสูรศักดิ์สิทธิ์ที่เหลืออยู่ ข้าจะช่วยทุกท่านสยบมันเอง อสูรล้อมเมืองจบลงแล้ว”
เมื่อหันไปมองดูรอบ ๆ และยังเห็นอสูรศักดิ์สิทธิ์เหลืออยู่หลายตัว ฉินอวี้โม่ก็ร้องบอกเหล่าสหายในกองกำลังพันธมิตรของนาง
แน่นอนว่าเมื่อได้ยินเช่นนั้น ทุกคนต่างก็โห่ร้องด้วยความดีใจก่อนจะรีบพุ่งเข้าไปจับอสูรศักดิ์สิทธิ์ที่อยู่ใกล้ ๆ อย่างขะมักเขม้น
เมื่อเห็นความสำเร็จ ความรื่นเริง และความสุขในกลุ่มพันธมิตรของศัตรู หลี่เปียวและลิ่วเยว่ก็กัดฟันด้วยความโกรธแค้น โดยเฉพาะลิ่วเยว่นั้น วันนี้เขาพ่ายแพ้อย่างยับเยิน และหากกลับไปถึงอารามเขาก็คงจะถูกทุกคนหัวเราะเยาะแน่นอน ยิ่งไปกว่านั้นสถานะของเขาภายในอารามก็คงจะตกต่ำลงอย่างรุนแรง
“หลี่เปียว รีบทำอะไรสักอย่าง เจ้าบอกเองไม่ใช่หรือว่าอย่างไรพวกเราก็ชนะ!”
ลิ่วเยว่มองหลี่เปียวและกล่าวขึ้นมาด้วยความเดือดดาล
“ท่านลิ่วเยว่ไม่ต้องห่วง”
เมื่อเห็นท่าทางที่ร้อนรนปนเดือดดาลของลิ่วเยว่ หลี่เปียวก็พยายามพูดให้เขาสงบลงไปพร้อม ๆ กับขบคิดหาวิถีทางสำหรับแก้ไขสถานการณ์
เมื่อหันมองไปฉินอวี้โม่ที่กำลังไล่สยบอสูรมายาให้พวกพ้องของนางแล้ว หลี่เปียวก็บังเกิดความคิดหนึ่งขึ้นในใจ
“คุณชายลิ่ว ข้าจะพาคนในกลุ่มทหารรับจ้างของข้าเข้าไปเบี่ยงเบนความสนใจของเจ้าพวกนั้นทุกคน ส่วนท่านพอสบโอกาสก็ให้รีบเข้าไปฆ่าฉินอวี้โม่ ขอเพียงแต่ฆ่านางได้ คำสาบานก็จะไร้ผล!”
“หลี่เปียว ฉินอวี้โม่มีผู้พิทักษ์ที่ทรงพลังคอยคุ้มกันอยู่ เจ้าอยากให้ข้าเข้าไปตายรึไง ?!”
ลิ่วเยว่ไม่ได้โง่ เมื่อคิดถึงซิว เขาก็รู้สึกหวาดหวั่นขึ้นมา
“คุณชายลิ่วเยว่ ข้าเคยเห็นผู้พิทักษ์ผู้นั้นมาแล้ว หากนางเรียกยอดฝีมือผู้นั้นออกมาได้ดังใจนึกจริง ๆ ก็คงจะเรียกออกมาตั้งแต่แรกแล้ว การที่ออกมาในช่วงวิกฤตเมื่อครู่ก็แสดงว่านางคงจะเรียกได้เพียงครั้งเดียว หากจะเรียกอีกเป็นครั้งที่สองข้าคิดว่าคงต้องใช้เวลาแน่ ขอแค่คุณชายลงมือตอนที่นางสยบอสูรมายาอยู่ก็จะสามารถสังหารนางได้ในกระบวนท่าเดียว !”
หลี่เปียวกล่าวขึ้นมาอย่างชั่วร้าย
เมื่อได้ยินที่หลี่เปียวเอ่ย ลิ่วเยว่ก็รู้สึกว่ามันสมเหตุผล ดูจากรูปการณ์แล้วเขาเองก็คาดเดาว่านางคงไม่สามารถเรียกตัวตนที่ลึกลับนั่นออกมาได้อีกเป็นครั้งที่สอง และในเวลานี้วิธีการเช่นใดที่จะทำให้เขาเสียผลประโยชน์น้อยที่สุด เขาก็ไม่ควรจะลังเล
ในตอนที่พวกเขาถูกฝูงอสูรที่บ้าคลั่งเพราะเกสรงาดำเข้าจู่โจม กลุ่มทหารรับจ้างหมาป่าปีศาจได้รับความเสียหายอย่างหนัก แต่การปรากฏตัวของหมีดำและซิวก็ทำให้อสูรมายาพวกนั้นชะงักไป พวกเขาจึงใช้โอกาสนั้นหนีฝ่าวงล้อมออกมาได้
ในตอนนี้แม้ว่าความแข็งแกร่งของกลุ่มทหารรับจ้างหมาป่าปีศาจจะลดทอนลงไปอย่างมหาศาลเพราะความเสียหายที่เกิดขึ้น แต่หากเป็นเพียงแค่การก่อกวนเพื่อเบี่ยงเบนความสนใจจากกลุ่มคนเท่านั้น นั่นก็ไม่นับว่าเหลือบ่ากว่าแรงที่พวกเขามีอยู่ตอนนี้
เมื่อหลี่เปียวเห็นว่ามีคนผู้หนึ่งกำลังอุ้มร่างของอสูรมายาเดินเข้าไปหาฉินอวี้โม่ เขาก็พยักหน้าให้ลิ่วเยว่ จากนั้นเขาพร้อมกับเหล่าลูกน้องทั้งหมดก็ตรงเข้าไปหากลุ่มพันธมิตรอวี้โม่
“ให้พวกมันได้รู้ไปเลยว่ากลุ่มทหารรับจ้างหมาป่าปีศาจของเราแข็งแกร่งขนาดไหน พวกเราไม่ยอมให้ใครมาหยามได้ง่าย ๆ !”
ขณะที่เขาวิ่งเข้าไปหาสมาชิกในกองกำลังพันธมิตรอวี้โม่ หลี่เปียวก็แสร้งทำเป็นโกรธแค้นอย่างมาก
เดิมทีเหล่าสมาชิกกลุ่มทหารรับจ้างหมาป่าปีศาจต่างก็เคียดแค้นกันอยู่แล้วที่ถูกเสี่ยวโร่วโยนขวดที่บรรจุผงเกสรงาดำเข้าใส่ เมื่อได้ยินหลี่เปียวตะโกน พวกเขาก็พากันบุกตะลุยเข้าไปหาพวกพ้องของฉินอวี้โม่ในทันที
กลุ่มพันธมิตรอวี้โม่อยู่ในสภาวะผ่อนคลายหลังจบศึกอันเคร่งเครียด ตอนนี้พวกเขาต่างก็กำลังไล่จับอสูรมายาที่เหลืออยู่ ทว่าระหว่างที่กำลังไล่ล่าอสูรมายาอย่างรื่นเริง จู่ ๆ พวกเขาก็ถูกคนจากกลุ่มทหารรับจ้างหมาป่าปีศาจเข้ามาเล่นงาน
ชื่อเซียวและลั่วอวิ๋นเองก็ถูกคนของหลี่เปียวจงใจพุ่งเข้าจู่โจม คนเหล่านั้นพยายามผลักดันองครักษ์พิทักษ์สาวงามทั้งสองให้ออกห่างจากสตรีน่าชังผู้เป็นศัตรูสำคัญของพวกเขา เพื่อไม่ให้ชื่อเซียวและลั่วอวิ๋นเข้าไปปกป้องฉินอวี้โม่ได้
“ฉินอวี้โม่ ตายซะเถอะ !”
เมื่อเห็นว่าโอกาสมาถึงแล้ว ลิ่วเยว่ก็ขี่อสูรมายาของเขาและพุ่งตรงเข้าไปหาฉินอวี้โม่อย่างรวดเร็ว เขาเปล่งเสียงที่เต็มไปด้วยความอาฆาตออกมาดังลั่น
ฉินอวี้โม่กำลังสยบอสูรศักดิ์สิทธิ์อยู่ทำให้นางไม่สามารถเคลื่อนไหวในตอนนี้ได้ ขณะเดียวกันในจุดที่นางอยู่ค่อนข้างไกลจากเสี่ยวเฮยและเสี่ยวจินทำให้พวกมันไม่สามารถพุ่งมาถึงตัวนางได้ทันการณ์
การโจมตีของลิ่วเยว่เกิดขึ้นอย่างกะทันหัน และเป็นตอนนั้นเองที่ฉินอวี้โม่สัมผัสได้ถึงอันตรายที่คุกคามถึงชีวิต
“ลิ่วเยว่ เจ้าคนไร้ยางอาย !”
ลั่วอวิ๋นซัดคนที่เข้ามาขวางจนกระเด็นออกไป ก่อนจะรีบวิ่งเข้าไปเพื่อหยุดลิ่วเยว่เอาไว้ อย่างไรก็ตามเขาก็พบว่าเขาไม่สามารถเข้าถึงตัวนางได้ทันเป็นแน่
ชื่อเซียวเตะคนตรงหน้าจนหมอบลงไป ทว่าก็ไม่มีเวลาจะเข้าไปชีวิตฉินอวี้โม่ได้ทันแล้วเช่นกัน ผู้นำแห่งกองทหารรับจ้างระดับหนึ่งทำได้แต่มองดูการโจมตีของลิ่วเยว่ที่กำลังจะปะทะตัวโฉมงามของเขา
ทว่าในตอนนั้นเองก็มีเสียงเย็นชาเสียงหนึ่งดังขึ้น!
“คนจากอารามไร้ยางอายจนถึงกับลอบลงมือทำร้ายผู้อื่นทีเผลอเช่นนี้เสมอเลยรึ ?”
จากนั้นเขาก็เห็นบุรุษผู้เป็นเจ้าของเสียงปรากฏตัวขึ้นข้างกายฉินอวี้โม่ คนผู้นั้นหยุดการโจมตีของลิ่วเยว่ได้ด้วยการขยับมือเพียงข้างเดียว
“เจ้าเป็นใคร ทำไมถึงเข้ามายุ่งเรื่องของข้า ?!”
เมื่อเห็นว่าคนที่เพิ่งปรากฏตัวตรงหน้าสามารถสกัดการโจมตีของเขาได้อย่างง่ายดาย ลิวเยว่ก็ตกตะลึงเป็นอย่างมาก เขาตวาดดังลั่นด้วยความเดือดดาล อีกเพียงนิดเดียวเขาก็จะถึงตัวฉินอวี้โม่แล้ว อีกเพียงนิดเดียวเขาก็จะฆ่านางได้ ขอเพียงสังหารสตรีตรงหน้าสำเร็จ คำสาบานก่อนหน้านี้ก็จะไร้ผล ทว่ากลับมีบุรุษหน้าตายท่าทางลึกลับสอดมือเข้ามายุ่ง มันผู้นี้ดับฝันของเขาลงอย่างไม่น่าให้อภัย
ลิ่วเยว่ที่ถูกสกัดกั้นการโจมตีจนกระเด็นตกลงพื้นและไถลไปไกลรีบลุกขึ้น คนจากอารามพุ่งเข้าจู่โจมศัตรูอีกครั้ง ทว่าครั้งนี้เป้าหมายของเขาเปลี่ยนเป็นบุรุษหน้าตายที่เข้ามายุ่งเรื่องของผู้อื่น
บุรุษผู้มาใหม่เตรียมพร้อมเอาไว้แล้วเขากระโจนพุ่งเข้าซัดบุรุษจากอารามในทันที พลังของเขารุนแรงและรวดเร็ว ไม่นานนักก็มองเห็นเพียงร่างของลิ่วเยว่ปลิวออกไปตกยังจุดที่ไกลออกไป
หลังจากนั้นคนมาใหม่ที่เพิ่งจะหยุดคนต่ำช้าจากอารามก็เดินเข้าไปหาฉินอวี้โม่
“พวกเราได้พบกันอีกแล้ว”
เมื่อฉินอวี้โม่มองเห็นใบหน้าของคนผู้นั้นชัด ๆ นางก็ชะงักไปเล็กน้อย
บุรุษผู้นี้สวมชุดสีขาว ใบหน้าหล่อเหลาเย็นชา ร่างกายมีเอกลักษณ์อย่างหนึ่งคือจะมีไอเย็นหลั่งไหลออกมาจากร่างของเขาอยู่ตลอดเวลา แม้ว่าใบหน้าในตอนนี้ของเขาจะดูอบอุ่นและผ่อนคลาย ทว่าด้วยพลังแห่งความเย็นลึกลับที่ร่างกายของเขาปลดปล่อยออกมาก็กำลังทำให้นางเริ่มรู้สึกเหน็บหนาว
ชายผู้นี้มิใช่ใครอื่น เขาคือ–หานโม่ฉือ สหายมนุษย์น้ำแข็งที่นางเคยเจอมาก่อนและยังเคยต่อสู้ร่วมกันที่บึงสายหมอกในเมืองหลิงซี
“ทำไมคุณชายหานถึงมาอยู่ที่นี่ได้”
ฉินอวี้โม่ทำการสยบอสูรศักดิ์สิทธิ์ตรงหน้าจนเสร็จสิ้นและบอกให้ชายผู้ที่อุ้มมันมาผูกพันธสัญญา หลังจากนั้นนางก็ลุกขึ้นมาจากพื้นที่นั่งอยู่อย่างช้า ๆ เพื่อสนทนากับสหายผู้มาใหม่
“ที่ข้ามาเมืองเยว่กวางก็เพราะมีธุระบางอย่าง ข้าเพียงแค่บังเอิญได้มาเห็นคนต่ำช้าผู้หนึ่งกำลังลอบลงมือทำร้ายเจ้า ข้าจึงต้องเข้ามาช่วย”
ดูเหมือนว่าหานโม่ฉือจะยังคงไม่ชอบเปิดปากพูดอยู่เช่นเดิม ทว่าเขาก็ยังอุตส่าห์อธิบายให้สหายสาวฟังยาวยืด
เมื่อภารกิจที่กำลังทำอยู่เสร็จสิ้น หานโม่ฉือก็คิดจะมาชมดูเทศกาลอสูรล้อมเมืองในปีนี้เล็กน้อย เมื่อมาถึงเขาก็เห็นฉินอวี้โม่อยู่ท่ามกลางฝูงชน พรั่งพร้อมไปด้วยเหล่าพันธมิตรมากมายที่ส่วนใหญ่ก็มีแต่บุรุษอาจหาญ เดิมทีเขาเพียงแต่คิดจะเฝ้าดูอยู่อย่างเงียบ ๆ แต่ไม่คิดเลยว่าจะเห็นลิ่วเยว่ลอบจู่โจมนางอย่างกะทันหัน
หากผู้ใดรู้จักเขาดีจะทราบว่า หานโม่ฉือนั้นเป็นบุรุษที่กล่าวได้ว่าเลือดเย็น และเขาก็เบื่อหน่ายเรื่องยุ่งยากทั้งปวงจึงไม่เคยใส่ใจจะสอดตัวเข้าไปยุ่งเรื่องของผู้อื่น แต่ไม่ทราบว่าเป็นเพราะเหตุใดเมื่อเขาเห็นฉินอวี้โม่ตกอยู่ในอันตราย เขากลับไม่ลังเลที่จะเข้าไปช่วยนางเลยแม้แต่น้อย หากว่าหลินจิ้งหงมาอยู่ที่นี่ด้วยก็คงจะต้องประหลาดใจอย่างมาก ไม่เคยมีผู้ใดที่ทำให้หานโม่ฉือเป็นเช่นนี้มาก่อน
“ขอบคุณคุณชายหานมาก”
ฉินอวี้โม่ส่งยิ้มให้หานโม่ฉือ นางมีความรู้สึกที่ดีให้กับสหายดั้งเดิมอย่างหานโม่ฉือและหลินจิ้งหง
“เจ้าบัดซบ อาจหาญมายุ่งเรื่องของข้าแล้วยังลงมือทำร้ายข้าอีก ไม่รู้รึว่าข้าคือใคร !”
ลิ่วเยว่พุ่งกลับเข้ามาอีกครั้งอย่างตั้งใจจะหาเรื่องหานโม่ฉืออย่างเต็มที่ ทว่าบุรุษมนุษย์น้ำแข็งกลับยังคงยืนส่งยิ้มให้สาวงามอยู่อย่างอ่อนโยน เมื่อเห็นว่าหานโม่ฉือไม่เห็นตนอยู่ในสายตาแม้แต่น้อย ลิ่วเยว่ก็โกรธแค้นจนใบหน้าบิดเบี้ยวอย่างน่าเกลียด
ไม่เพียงแค่ชายผู้นี้จะดูดีกว่าเขาทุกประการเท่านั้น แต่อีกฝ่ายยังเรียกร้องความสนใจของสาวงามไปจากเขาอย่างสิ้นเชิง ฉินอวี้โม่นั่นก็ผู้หนึ่ง เขากำลังต้องการจะสังหารนาง แล้วเหตุใดจึงไม่คิดที่จะมองหน้าเขาแม้แต่น้อย เมื่อใดกันที่คนจากอารามถูกเพิกเฉยได้ถึงเพียงนี้ !
“ลุงลี้ ข้าต้องการให้ท่านช่วย !”
จู่ๆ ลิ่วเยว่ก็ตะโกนขึ้นมาเสียงดัง ไม่ทราบเช่นกันว่าเขาพุ่งเข้ามาจากทิศใด ทว่าเพียงพริบตาชายชราผู้หนึ่งก็มาปรากฏตัวอยู่ตรงหน้าเขาแล้ว ร่างกายของชราผู้นี้พร่ามัวไม่ชัดเจน ดูแล้วเขาน่าจะเป็นผู้พิทักษ์ของลิ่วเยว่ที่ถูกส่งตัวมาจากอารามเพื่อคอยคุ้มกันเขา
“ขอแค่ฆ่านางได้ คำสาบานของข้าก็จะถือเป็นโมฆะ”
ลิ่วเยว่จ้องมองฉินอวี้โม่แล้วกล่าวขึ้นอย่างเย็นชา
“ลุงลี้ ช่วยข้าฆ่านังผู้หญิงคนนั้นซะ”
ลิ่วเยว่กล่าวขึ้นมาด้วยน้ำเสียงที่อาฆาตแค้น
ฉินอวี้โม่ขมวดคิ้ว และในตอนที่นางเตรียมจะเคลื่อนไหวนั้น เสียงที่นุ่มนวลของหานโม่ฉือก็ดังขึ้น
“เจ้าพักเถอะ ตรงนี้ให้เป็นหน้าที่ข้าเอง”