คุณหนูสี่ สตรีเปื้อนเลือด - ตอนที่ 491 ขายหน้าอีกครั้ง
ตอนนี้ยังเหลือเวลาอีกห้าวันก่อนถึงงานชุมนุมดินแดนเหนือ ฮั่วหลินและอู่ถงก็เป็นตัวแทนจากขุมกำลังของตนเพื่อเดินทางมาที่เมืองฉางอานก่อน
เพียงแต่ในช่วงเวลานี้บังเอิญมีงานประมูลที่คึกคักและน่าสนใจที่โรงประมูลรั่วอานแห่งนี้ แน่นอนว่าพวกเขาจึงอดมาร่วมสนุกด้วยไม่ได้ ยิ่งไปกว่านั้น พวกเขาทั้งหมดล้วนได้ยินเกี่ยวกับวัตถุลึกลับที่จะถูกนำมาประมูลในครานี้ แม้ไม่ทราบว่าของสิ่งนั้นคือสิ่งใด พวกเขาก็สงสัยใคร่รู้และต้องการมาเห็นมันด้วยตาของตัวเอง
ทั้งสองบังเอิญพบกันระหว่างทางและตัดสินใจมุ่งหน้ามาที่โรงประมูลด้วยกัน ทว่าเมื่อมาถึงไม่ไกลจากหน้าโรงประมูล พวกเขาก็สังเกตเห็นสถานการณ์ทะเลาะวิวาทระหว่างเฝินชวี่และคณะของฉินอวี้โม่ จากนั้นจึงได้มุ่งหน้าตรงเข้ามา
พวกเขาทราบนิสัยใจคอและความอารมณ์ร้อนของเฝินชวี่ดีที่สุด เพราะเหตุนั้นทั้งสองจึงคาดเดาได้ทันทีโดยไม่ต้องสืบว่านายน้อยหุบเขากรุ่นกำยานผู้นี้เป็นฝ่ายที่หาเรื่องก่อน
นิกายเพลิงแดงเดือดและหุบเขากรุ่นกำยานเป็นไม้เบื่อไม้เมากันมาตลอด แน่นอนว่าฮั่วหลินไม่ไว้หน้าเฝินชวี่เลยสักนิด ตั้งแต่แวบแรกที่เข้ามาใกล้และพบหน้า เขาจึงอดกล่าวอย่างยียวนออกไปไม่ได้
“เหอะ ไม่ต้องเสแสร้งแกล้งทำตัวดูดีหรอก ขุมกำลังเพลิงแดงเดือดของเจ้าก็ไม่ได้ดีไปกว่าพวกเรา พวกเจ้าก็เผด็จการและชอบรังแกผู้ที่อ่อนแอไร้พลัง !”
เมื่อได้ยินวาจาของฮั่วหลินและเห็นเขาเดินเข้ามาพร้อมกับอู่ถง เฝินชวี่ก็แค่นเสียงเย็นชาทว่ายังคงยืนผงาดและไม่มีความคิดที่จะหลีกทาง
“พวกเราแกล้งทำตัวดูดีงั้นรึ ? ข้าเชื่อว่าทุกคนมีความคิดมีการตัดสินใจของตนเอง ทว่าด้วยความเผด็จการของหุบเขากรุ่นกำยานและความไม่ละอายของเจ้าเฝินชวี่ ไม่มีใครที่ต้องนึกสงสัยในภาพลักษณ์ของเจ้าด้วยซ้ำ”
ฮั่วหลินกล่าวพร้อมรอยยิ้มอ่อนก่อนที่จะสังเกตเห็นมารยา ฉินอวี้โม่และคณะเดินทางยืนอยู่ไม่ไกล
แน่นอนว่าเขาไม่ได้รู้จักมารยาและเขาก็ไม่เคยพบฉินอวี้โม่ในร่างแท้จริงซึ่งสวมอาภรณ์สตรีมาก่อน เขาไม่ได้สนใจวาจาของเฝินชวี่แม้แต่น้อยขณะยิ้มให้กับกลุ่มของฉินอวี้โม่โดยที่ไม่ได้เอ่ยทักทายใด ๆ
อู่ถงเองก็ไม่ได้คุ้นหน้าคุ้นตากับสตรีสวมผ้าคลุมและคนอื่น ๆ เช่นกัน เขาเพียงพยักศีรษะให้กับคนเหล่านั้นโดยที่ไม่ได้เอ่ยสิ่งใดเลย
“ฮั่วหลิน อู่ถง เจ้าทั้งสองทราบรึไม่ว่าคนพวกนี้เป็นใคร ?”
เฝินชวี่ปรับสีหน้าของตนเล็กน้อยและรอยยิ้มเย้ยหยันปรากฏบนใบหน้าขณะกล่าวออกไป
“ฮ่า ๆ ๆ เราไม่ทราบหรอก และไม่สนใจที่จะทราบด้วย”
ฮั่วหลินยิ้มอย่างไม่แยแสและกล่าวความคิดของตนออกไป แม้ว่าพวกเขาสงสัยใคร่รู้เกี่ยวกับสตรีสวมผ้าบดบังใบหน้า ทว่าในเมื่อฉินอวี้โม่ไม่กล่าวสิ่งใดออกมาก่อน พวกเขาก็ย่อมไม่เป็นฝ่ายที่เอ่ยถามออกไป
“สตรีผู้นี้คืออสูรมายาของอวี้โม่—ผู้นำเรือนเฟิงเสวี่ย เกรงว่าพวกเจ้าคงจะไม่ทราบมาก่อน”
แน่นอนว่าเฝินชวี่ไม่ยอมปล่อยให้ฮั่วหลินและอู่ถงแยกตัวออกจากเรื่องนี้ เขากล่าวแนะนำตัวตนของมารยากับพวกเขาทันที
“พวกเจ้าลองคิดกันดู หากว่าผู้นำเรือนเฟิงเสวี่ยยังไม่ปรากฏตัวขึ้นมาที่นี่ แล้วอสูรมายาของเขามาที่นี่ก่อนได้อย่างไร ? หรือว่าผู้นำเรือนเฟิงเสวี่ยจะมาที่นี่แล้ว…”
จากข่าวที่พวกเขาได้รับจากหุบเขากรุ่นกำยาน ผู้นำของเรือนเฟิงเสวี่ยยังคงเก็บตัวฝึกยุทธ์และยังไม่ออกมา อย่างไรก็ตาม การที่จู่ ๆ อสูรมายาของ ‘เขา’ ปรากฏกายในเมืองฉางอานเช่นนี้ทำให้เฝินชวี่รู้สึกได้ว่าเรื่องนี้มีบางอย่างไม่ชอบมาพากลอย่างแน่นอน
ฮั่วหลินและอู่ถงชะงักไปเล็กน้อยก่อนอดหัวเราะออกไปไม่ได้
“ฮ่า ๆ ๆ เฝินชวี่ ดูเจ้าจะสนใจเป็นพิเศษ ไม่ว่าผู้นำเรือนเฟิงเสวี่ยจะมาถึงหรือยัง แล้วมันเกี่ยวข้องอะไรกับเจ้า ? ยิ่งไปกว่านั้น เจ้าก็น่าจะทราบว่าเมื่ออสูรมายาพัฒนาขึ้นมาจนถึงระดับหนึ่ง พวกมันจะสามารถเคลื่อนไหวไปไหนได้อย่างอิสระ และการที่อสูรมายาของผู้นำเรือนเฟิงเสวี่ยปรากฏตัวขึ้นที่นี่ นั่นย่อมหมายความว่ามันได้รับคำสั่งให้ทำเช่นนั้น แล้วมันเกี่ยวอะไรกับพวกเรากัน ?”
หลังจากกล่าวจบ เขาก็หันไปหามารยาและเอ่ยถาม “ฮ่า ๆ ๆ ไม่ทราบว่าผู้นำเรือนเฟิงเสวี่ยสบายดีรึไม่ ?”
มารยาได้ยินคำถามของฮั่วหลินและกล่าวตอบเสียงเบา “นายท่านสบายดี นายน้อยนิกายเพลิงแดงเดือดไม่ต้องกังวลหรอก”
อู่ถงก็นึกถึงบางอย่างขึ้นมาได้และเอ่ยออกไปด้วยน้ำเสียงประหม่าเล็กน้อย “ไม่ทราบว่าผู้นำเรือนเฟิงเสวี่ยพัฒนาปรับปรุงกระบี่จากคราก่อนจนเสร็จสมบูรณ์แล้วหรือยัง ?”
“เมื่อนายท่านมาถึงที่นี่ ท่านก็จะได้ทราบเอง”
มารยากล่าวตอบด้วยน้ำเสียงราบเรียบและเย็นชา ความห่างเหินไม่เป็นมิตรของมันเผยออกมาอย่างชัดเจน
เมื่อได้ยินคำตอบของอสูรสาว ฮั่วหลินและอู่ถงก็ทำได้เพียงส่ายศีรษะอย่างจนปัญญา พวกเขารู้สึกมาเสมอว่าผู้นำเรือนเฟิงเสวี่ยเย็นชายิ่งนัก ไม่คิดเลยว่าอสูรมายาของ ‘เขา’ จะเยือกเย็นยิ่งกว่าเสียอีก
“ฮ่า ๆ ๆ หากได้พบกับผู้นำเรือนเฟิงเสวี่ย ฝากทักทายเขาแทนพวกเราด้วยก็แล้วกัน”
ฮั่วหลินยิ้มอย่างเป็นมิตรก่อนก้าวออกไปข้างหน้าและส่งสัญญาณให้กับมารยาและฉินอวี้โม่
เมื่อฮั่วหลินนายน้อยนิกายเพลิงแดงเดือดก้าวออกมาหยุดตนไว้ เฝินชวี่ก็ขมวดคิ้วเล็กน้อยและใบหน้าเหยเกทันที อย่างไรก็ตาม เขามิอาจกล่าวสิ่งใดได้อีก ตอนนี้มีคนเข้ามาดูชมการปะทะคารมนี้มากเกินไป หากเขากล่าวสิ่งใดออกไปอีก เกรงว่ามันจะทำให้หุบเขากรุ่นกำยานของพวกเขาดูไม่ดีนัก แม้ว่าเฝินชวี่จะไม่ได้เป็นบุคคลที่ชาญฉลาดนัก เขาก็เข้าใจถึงสถานการณ์ในตอนนี้เป็นอย่างดี
มารยาพยักศีรษะในขณะที่ฉินอวี้โม่มองฮั่วหลินและคนอื่น ๆ ก่อนหันหลังเพื่อมุ่งหน้าเข้าสู่โรงประมูลรั่วอาน ทว่าก่อนที่จะทำเช่นนั้น นางสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายที่คุ้นเคยของคนหลายคนจึงหยุดฝีเท้ากลางคันเพื่อรอให้คนเหล่านั้นมาถึงและเข้าไปด้วยกัน
เมื่อเห็นฉินอวี้โม่ชะงักฝีเท้าอย่างกะทันหัน ฮั่วหลินและคนอื่น ๆ ก็มองหน้ากันด้วยความฉงนสงสัย เมื่อฉินอวี้โม่หันมองไปในทิศทางหนึ่ง พวกเขาก็หันมองตามไปและสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายของคนหลายคนกำลังมุ่งหน้าเข้ามาอย่างรวดเร็ว
หลังจากเวลาผ่านไปครู่หนึ่ง กลุ่มคนก็ปรากฏตรงหน้าพวกเขา
หัวหน้ากลุ่มผู้มาใหม่นี้ก็คือฉินเฟิง ถัดจากเขาคือเหมาซานและซวงเสวี่ยซึ่งมีรอยยิ้มประดับบนใบหน้า
พวกเขาเพิ่งมาถึงเมืองฉางอานและเมื่อได้รับข่าวเรื่องการประมูลที่จะจัดขึ้นที่นี่ พวกเขาจึงรีบมุ่งหน้าตรงมาที่โรงประมูลรั่วอานทันที
ซวงเสวี่ยและคนอื่น ๆ ขมวดคิ้วเล็กน้อยเมื่อเห็นฮั่วหลินและเฝินชวี่กำลังประจันหน้ากัน
ทว่าหลังจากที่สังเกตเห็นมารยาและฉินอวี้โม่ซึ่งยืนอยู่หน้าประตู รอยยิ้มเล็ก ๆ ก็ปรากฏบนใบหน้าของคนทั้งกลุ่ม พวกเขาไม่คาดคิดว่าจะได้พบกับฉินอวี้โม่อย่างง่ายดายเช่นนี้
“มารยา เหตุใดเจ้าจึงมาอยู่ที่นี่ได้ ?”
ซวงเสวี่ยยิ้มอ่อน เขาไม่ได้กล่าวทักทายฉินอวี้โม่ทว่ากล่าวกับมารยาโดยตรง
“นายท่านสั่งให้พวกเรามาที่นี่เพื่อตรวจดูสถานการณ์ก่อน”
อสูรสาวกล่าวตอบเบา ๆ และสีหน้าของมันผ่อนคลายลงเล็กน้อย
“โอ้ งั้นรึ ? แต่เมื่อนับวันเวลาแล้วนายของเจ้าก็น่าจะออกมาจากการเก็บตัวในเร็ว ๆ นี้”
แน่นอนว่าพวกเขาสังเกตเห็นฉินอวี้โม่ซึ่งยืนอยู่ถัดจากมารยาและพวกเขาพอจะสัมผัสได้ว่าสตรีผู้นี้คือฉินอวี้โม่ สาเหตุที่พวกเขากล่าวเช่นนี้ออกมาก็เพื่อขจัดความสงสัยของเฝินชวี่ที่มีต่อฉินอวี้โม่ไปให้หมดเสีย
“ฮ่า ๆ ๆ คนจากเรือนเฟิงเสวี่ยมาถึงกันแล้ว”
เมื่อเห็นฉินเฟิง ซวงเสวี่ยและคนอื่น ๆ ฮั่วหลิน—นายน้อยแห่งนิกายเพลิงแดงเดือดก็กล่าวขึ้นเป็นคนแรก เวลานี้ทั้งสองฝ่ายเป็นพันธมิตรกันแล้ว แม้ว่าคนนอกยังไม่ทราบเรื่องนี้ แต่พวกเขาทั้งหมดก็ทราบดี ฉะนั้นทั้งสองขุมกำลังจึงกระตือรือร้นเป็นพิเศษ
“นายน้อยฮั่วหลินมาถึงก่อนพวกเราเสียอีก”
ฉินเฟิงกล่าวพร้อมรอยยิ้มบางด้วยทราบดีว่าขุมกำลังของตนและนิกายเพลิงแดงเดือดตกลงร่วมมือกันแล้ว อย่างไรก็ตาม ภายนอกทั้งสองฝ่ายยังแสดงท่าทีห่างเหินกันอยู่ ตอนนี้ยังไม่ถึงเวลาสำหรับการเปิดเผยเรื่องนี้
“ฮ่า ๆ ๆ ข้าจะล่าช้าได้อย่างไร ? งานชุมนุมดินแดนเหนือปีนี้ต่างจากปีก่อน ๆ และนิกายเพลิงแดงเดือดของเราก็ยังอ่อนแอกว่าอีกสองขุมกำลังเล็กน้อย หากเราไม่รีบมาและเตรียมตัวอย่างดี เกรงว่าคงไม่มีโอกาสชนะได้แน่”
ฮั่วหลินยิ้มให้กับฉินเฟิงและกล่าวอย่างใจเย็น เขาไม่สามารถตรวจจับพลังความแข็งแกร่งของฉินเฟิงได้เช่นเคยและเขาก็รู้สึกชื่นชมฉินเฟิงผู้ลึกลับและไม่ธรรมดาผู้นี้
“เช่นนั้นข้าก็ขอให้นิกายเพลิงแดงเดือดโชคดี วันนี้ข้าคงไม่มีอะไรที่จะพูดมากนัก”
ฉินเฟิงยิ้มและเดินตรงเข้าไปใกล้สตรีสวมผ้าคลุมบดบังใบหน้า
“มารยา เข้าไปด้วยกันเถอะ”
เขากล่าวกับมารยาและอสูรสาวพยักหน้าแต่โดยดี
ฉินเฟิงเมินเฉยต่อใบหน้าเหยเกของเฝินชวี่อย่างสิ้นเชิง เขาเพียงพยักศีรษะให้กับฮั่วหลินและอู่ถงก่อนคนทั้งกลุ่มจะเดินเข้าไปในโรงประมูล
“สหายอู่ เราก็เข้าไปข้างในกันเถอะ”
ฮั่วหลินกล่าวกับอู่ถงและเดินเข้าไปข้างในเช่นกัน อู่ถงเองก็ไม่สนใจเฝินชวี่และเดินเข้าไปพร้อมกับเขา
ภายในชั่วขณะ หน้าประตูโรงประมูลก็เหลือเพียงเฝินชวี่และคนจากหุบเขากรุ่นกำยานที่ยืนนิ่งด้วยใบหน้าบูดบึ้งและถูกมองข้ามอย่างสิ้นเชิง
สายตาของคนอื่น ๆ จับจ้องไปที่เฝินชวี่ผู้มีสีหน้าบิดเบี้ยวและยิ้มเจื่อน ๆ ด้วยความรู้สึกเย้ยหยันเล็กน้อย
“พวกเจ้ามองอะไรกัน ?! พวกเจ้าอยากเป็นศัตรูกับหุบเขากรุ่นกำยานรึ !?”
เฝินชวี่จ้องหน้าทุกคนตาเขม็ง จากนั้นเขาก็นำคนของตนหันหลังและจ้ำอ้าวตรงเข้าไปในโรงประมูลรั่วอานทันที
เมื่อมองดูฉินเฟิง ฮั่วหลินและคนอื่น ๆ ที่เดินอยู่ข้างหน้า เฝินชวี่ก็แค่นเสียงในลำคอและกล่าวในใจ พวกเจ้ารอก่อนเถอะ ! เมื่อถึงงานชุมนุมดินแดนเหนือ พวกเราจะได้เห็นดีกัน !
หลังจากเข้าไปในบริเวณห้องโถง ผู้จัดการโรงประมูลก็ยืนรอต้อนรับทุกคนอยู่ที่นั่นแล้ว
เฝินชวี่นึกบางอย่างขึ้นได้และรีบเบียดเสียดตัวเองไปข้างหน้าสุดอย่างรวดเร็ว
“ผู้จัดการสวี่ ห้องของเราพร้อมรึยัง?”
เฝินชวี่กล่าวด้วยน้ำเสียงเปี่ยมไปด้วยความโอหังและวางท่าเหนือผู้อื่น เรือนเฟิงเสวี่ยไม่เคยมีความสัมพันธ์อันดีกับโรงประมูลรั่วอานมาก่อนและไม่ได้ทรงพลังเท่ากับสามขุมกำลังระดับหนึ่งอย่างพวกเขา เพราะเหตุนั้นโรงประมูลรั่วอานก็คงจะไม่จัดห้องแยกพิเศษเตรียมไว้ให้กับพวกเขาล่วงหน้า สาเหตุที่เฝินชวี่กล่าวออกไปก่อนเช่นนี้ก็เพราะต้องการเยาะเย้ยเรือนเฟิงเสวี่ยนั่นเอง
“ฮ่า ๆ ๆ นายน้อยหุบเขากรุ่นกำยาน ห้องของท่านพร้อมเสมออยู่แล้วขอรับ”
สวี่ฉู่ยิ้มบาง ๆ ขณะสายตามองไปที่เฝินชวี่และคาดเดาได้ว่าบุรุษหนุ่มกำลังคิดสิ่งใด
อย่างไรก็ตาม เขาก็ชำเลืองมองไปที่ฉินอวี้โม่และฉินเฟิงซึ่งเขาพอจะรู้จักอยู่แล้ว เขาก็ทราบว่าครานี้เฝินชวี่จะขโมยไก่ไม่ได้และเสียข้าวสารไปอีกกำมืออย่างแน่นอน
*偷鸡不成蚀把米 ขโมยไก่ไม่ได้ เสียข้าวสารอีกกำมือ ความหมายคือ ฉวยโอกาสไม่สำเร็จและยังขาดทุนอีกต่างหาก
“เยี่ยมมาก”
เฝินชวี่กล่าวอย่างภาคภูมิใจ “คนเหล่านี้มาจากเรือนเฟิงเสวี่ย ข้าคิดว่าโรงประมูลรั่วอานคงไม่ได้เตรียมห้องพิเศษไว้ให้พวกเขา อย่างไรก็ตาม ในฐานะขุมกำลังใหม่ เรือนเฟิงเสวี่ยคงไม่ขัดข้องที่จะนั่งในโถงรวมใช่รึไม่ ?”
เมื่อได้ยินวาจาของเฝินชวี่ ฮั่วหลินก็ขมวดคิ้วเล็กน้อยและต้องการเชิญฉินเฟิงและคณะไปนั่งร่วมในห้องแยกของเขา
ในฐานะสามขุมกำลังใหญ่ของดินแดนทางเหนือ โรงประมูลรั่วอานได้เตรียมห้องแยกสงวนไว้สำหรับพวกเขาเสมอและไม่จำเป็นต้องจองล่วงหน้าด้วยซ้ำ ยิ่งไปกว่านั้น โรงประมูลแห่งนี้มีห้องแยกเพียงไม่มากและพวกมันถูกสงวนไว้สำหรับขุมกำลังที่ทรงพลังและบุคคลที่ทรงอิทธิพลเหล่านี้
“ฮ่า ๆ ๆ คงจะไม่จำเป็นหรอก แม้ว่าโรงประมูลรั่วอานไม่ได้เตรียมห้องพิเศษไว้ให้เรือนเฟิงเสวี่ย แต่ลุงสวี่ก็ได้เตรียมห้องให้ข้าแล้ว คนของเรือนเฟิงเสวี่ยสามารถเข้าไปนั่งร่วมกับข้าได้”
ฉินอวี้โม่กล่าวพร้อมรอยยิ้ม นางเมินเฉยเฝินชวี่และคนอื่น ๆ ไปขณะมุ่งหน้าขึ้นบันไดและเข้าไปในห้องแยกหมายเลขสอง
เมื่อเห็นสตรีลึกลับและกลุ่มของนางเข้าไปในห้องพิเศษหมายเลขสอง ดวงตาของเฝินชวี่ก็เบิกกว้างด้วยความตกตะลึงทันที ห้องพิเศษหมายเลขหนึ่งและสองของโรงประมูลรั่วอานไม่เคยอนุญาตให้คนนอกเข้าไป แม้แต่สามขุมกำลังใหญ่ก็นั่งได้เพียงห้องที่สาม สี่และห้าข้างหลังเท่านั้น ทว่าครานี้ห้องหมายเลขสองกลับถูกมอบให้กับสตรีผู้สวมผ้าคลุมบดบังใบหน้า นางเป็นใครกันแน่ ?
ทุกคนก็มองฉินอวี้โม่และคนอื่น ๆ ด้วยความสงสัยใคร่รู้ไม่ต่างกัน…
.