คุณหนูสี่ สตรีเปื้อนเลือด - ตอนที่ 497 ใครปล้นใคร
ฉินอวี้โม่เดินออกจากโรงประมูลด้วยตัวคนเดียวและมุ่งหน้าไปยังโรงเตี๊ยมที่พักของตนอย่างไม่รีบร้อน
แน่นอนว่านางตระหนักว่ามีคนตามหลังอยู่จำนวนไม่น้อยและก็ทราบดีว่าหนึ่งในนั้นคือเฝินชวี่บุรุษใจคดและผู้ติดตามของเขา อย่างไรก็ตาม นางไม่ใส่ใจหรือหวาดหวั่นต่อคนเหล่านั้นแม้แต่น้อย ยิ่งไปกว่านั้น สถานการณ์ทั้งหมดนี้เป็นสิ่งที่นางจงใจจัดฉากไว้เอง
เฝินชวี่ทั้งยโสโอหังและวางตัวสูงส่งกดข่มผู้อื่น เขาถูกใจเด็กสาวครึ่งเอลฟ์ผู้นั้นมากทว่ากลับถูกฉินอวี้โม่ประมูลได้ไป แน่นอนว่าเขาไม่ยอมอยู่เฉยและปล่อยให้เรื่องนี้จบลงง่าย ๆ
ฉินอวี้โม่จงใจปล่อยให้มารยา ฉินเฟิงและคนอื่น ๆ แยกตัวออกไปก่อนและอยู่เพียงลำพังเพื่อหลอกล่อให้เฝินชวี่เข้ามาติดกับ ถึงอย่างไรแล้ว ม้วนกระดาษลึกลับในการครอบครองของเฝินชวี่ฉบับนั้นก็เป็นหนึ่งในเป้าหมายของนางเช่นกัน
หลังจากก้าวเดินไปพักใหญ่และมองเห็นตรอกซอยเล็ก ๆ ฉินอวี้โม่ก็ยกยิ้มมุมปากเล็กน้อยก่อนหันเดินเข้าไปในตรอกซอยนั้นอย่างไม่ลังเล
หลังจากที่เข้าไปในตรอกนั้น นางก็หายเข้าไปในคฤหาสน์เฟิงหัวทันที
“นายน้อยขอรับ สตรีผู้นั้นเข้าไปในตรอกซอยข้างหน้านั่น !”
คนของหุบเขากรุ่นกำยานมองเห็นฉินอวี้โม่เลี้ยวเข้าไปในตรอกซอยและเอ่ยบอกเฝินชวี่ทันทีพร้อมรอคำสั่งต่อไป
“ฮ่า ๆ ๆ โอกาสมาถึงแล้ว”
เฝินชวี่ยิ้มกริ่มและขยิบตาเป็นสัญญาณให้กับกลุ่มผู้ติดตามของตน พวกเขาทั้งหมดก็ไม่รอช้าและเดินตรงเข้าไปในตรอกซอยนั้น
คนอีกกลุ่มหนึ่งที่ตามหลังพวกเขาอยู่ไม่ไกลก็หันมองหน้ากันและเดิมตามกลุ่มของเฝินชวี่ไปทันทีด้วยความเชื่อว่า ‘โอกาส’ ของพวกเขาก็มาถึงแล้วเช่นกัน
“นายหญิง ดูเหมือนจะมีคนไม่น้อยที่สนใจและคิดจะแย่งชิงม้วนกระดาษโบราณและลึกลับนั่น”
ภายในคฤหาสน์เฟิงหัว มารยานั่งลงใกล้ฉินอวี้โม่ขณะจับตาดูสถานการณ์ข้างนอกและกล่าวขึ้นมา
“ฮ่า ๆ ๆ ยิ่งวัตถุนั่นลึกลับเพียงใด มันก็ยิ่งดึงดูดใจผู้คนมากเพียงนั้น ข้าไม่แปลกใจเลยที่จะมีคนมากมายต้องการครอบครองม้วนกระดาษนั่นมา”
เวลานี้ฉินเฟิงและคนอื่น ๆ ก็อยู่ในคฤหาสน์เฟิงหัวเช่นกัน พวกเขาเห็นสถานการณ์ข้างนอกอย่างชัดเจนทว่าไม่รู้สึกแปลกใจแต่อย่างใด
สิ่งที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ดูเหมือนว่ามารยา ฉินเฟิงและคนอื่น ๆ จากเรือนเฟิงเสวี่ยออกจากโรงประมูลไปก่อน ทว่าแท้จริงแล้วพวกเขารอฉินอวี้โม่อยู่หน้าประตูโรงประมูลรั่วอาน และทันทีที่ฉินอวี้โม่ออกมา พวกเขาก็เข้าสู่คฤหาสน์เฟิงหัวโดยที่คนของเฝินชวี่ไม่ทันได้สังเกตเห็น
เพราะเหตุนั้น เฝินชวี่จึงคิดว่าฉินเฟิง ซวงเสวี่ยและคนอื่น ๆ กลับไปแล้ว เขาคงจะคาดไม่ถึงเลยว่าแท้จริงแล้วคนเหล่านั้นกำลังจับตาดูเขาอยู่ในคฤหาสน์เฟิงหัว
“ชมเรื่องสนุก ๆ และน่าตื่นเต้นกันก่อนเถอะ”
ฉินอวี้โม่กล่าวพร้อมยิ้มกริ่ม เดิมทีนางตั้งใจที่จะช่วงชิงม้วนกระดาษมาจากเฝินชวี่ด้วยวิธีการของตนเอง ทว่าบัดนี้เมื่อมีกลุ่มคนอื่นที่คิดจะชิงลงมือก่อน พวกนางก็ไม่รังเกียจที่จะซ่อนตัวและชมเรื่องที่น่าตื่นเต้นไปสักระยะ
ภายในตรอกซอยข้างนอกคฤหาสน์เฟิงหัว กลุ่มคนจากหุบเขากรุ่นกำยานและคนอื่น ๆ เข้ามาในตรอกซอยนี้อย่างรวดเร็ว ทว่าหลังจากเดินไประยะหนึ่งจนถึงทางตัน พวกเขาก็ยังไม่พบตัวสตรีที่ตามหา
“แปลกจริง ๆ เหตุใดจู่ ๆ นางจึงหายไปได้ทั้งที่เราทุกคนก็เห็นนางเดินเข้ามาเมื่อครู่นี้ ?”
ในกลุ่มผู้ติดตามจากหุบเขากรุ่นกำยาน ใครคนหนึ่งเอ่ยด้วยความประหลาดใจและไม่เข้าใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นนี้
เมื่อครู่พวกเขาเห็นฉินอวี้โม่เดินเข้ามาในตรอกซอยนี้อย่างชัดเจน ทว่าเหตุใดนางจึงหายตัวไปภายในชั่วพริบตาเช่นนี้ ?
“หรือว่านางจะไปจากที่นี่แล้ว ?”
อีกคนกล่าวข้อคาดเดาของตนเองออกมา ถึงอย่างไรแล้วสำหรับยอดฝีมือในระดับพวกเขา ตรอกซอยแคบ ๆ นี้ก็ไม่ถือว่าเป็นทางตัน พวกเขายังสามารถที่จะหลบหนีออกไปได้
“ไม่น่าจะเป็นไปได้…”
เฝินชวี่ส่ายศีรษะเบา ๆ เมื่อครู่นี้พวกเขาไม่ได้รู้สึกถึงความผันผวนใด ๆ แม้แต่น้อย ยิ่งไปกว่านั้น การเปิดแยกห้วงมิติก็มิใช่เรื่องที่จะทำได้ง่าย ๆ
แม้ว่าด้วยพลังในขอบเขตเซียน จอมยุทธ์จะสามารถเปิดแยกห้วงมิติได้ ทว่าการทำเช่นนั้นก็ต้องอาศัยโอกาสและระยะเวลาพอสมควร
“ถ้าเช่นนั้นนางหายไปไหนกัน ?”
เหล่าคนจากหุบเขากรุ่นกำยานต่างก็มองหน้ากันและกันด้วยความฉงนสนเท่ห์
ทว่าในขณะที่กำลังจะเอ่ยบางอย่างออกไป จู่ ๆ เฝินชวี่ก็สัมผัสได้ถึงกลิ่นอายของคนหลายคนที่ใกล้เข้ามาอย่างรวดเร็ว เขาอดหันไปมองในทิศทางของคนเหล่านั้นไม่ได้และสีหน้าเริ่มเปลี่ยนกลายเป็นเย็นชา
“ฮ่า ๆ ๆ นายน้อยของหุบเขากรุ่นกำยาน ไม่คิดเลยว่าท่านจะอาจหาญเช่นนี้”
คนกลุ่มหนึ่งโผล่มาจากนอกตรอกซอยโดยมีหัวหน้าเป็นบุรุษวัยกลางคน
ใบหน้าของคนผู้นั้นประดับด้วยรอยยิ้มกว้างทว่าน้ำเสียงกลับไม่เป็นมิตร ทันทีที่เข้ามาใกล้ เขาก็ขยิบตาเป็นสัญญาณให้กับลูกน้องของตนก่อนที่คนเหล่านั้นจะเข้าล้อมรอบเฝินชวี่และคณะผู้ติดตามทันที
“พวกเจ้าคิดจะทำอะไร ?!”
เฝินชวี่เห็นการเคลื่อนไหวของคนกลุ่มนี้และคาดเดาได้ทันทีว่าอีกฝ่ายต้องการทำสิ่งใด เขาแค่นเสียงเย็นชาและกล่าวต่อ “พวกเจ้าต้องการจะเป็นศัตรูกับหุบเขากรุ่นกำยานของเรารึ ?!”
เมื่อได้ยินวาจาของเฝินชวี่ บุรุษวัยกลางคนก็ยิ้มอย่างยียวนและกล่าว “ฮ่า ๆ ๆ พวกข้าไม่สนใจที่จะสู้กับหุบเขากรุ่นกำยานหรอก พวกข้าสนใจเพียงม้วนกระดาษลึกลับในมือของเจ้าเท่านั้น ในเมื่อตอนนี้ไม่มีใครอื่นอยู่รอบ ๆ จงยอมจำนนและส่งม้วนกระดาษนั่นมาจะดีกว่า และพวกข้าจะปล่อยเจ้าไป”
คำพูดของบุรุษวัยกลางคนทำให้เฝินชวี่แค่นเสียงอย่างเย้ยหยัน
“ฮ่า ๆ ๆ ยโสโอหังยิ่งนัก แม้ว่าพวกข้าจะมีคนไม่มากนัก ทว่าพวกเจ้าก็ยังไม่ใช่คู่มือของพวกข้า !”
บุรุษวัยกลางคนเป็นจอมยุทธ์ในขอบเขตพสุธาเซียนและถือว่ามีฝีมือพอสมควร อีกทั้งบรรดาสมาชิกหลายคนที่มากับเขาก็มีจอมยุทธ์ขอบเขตพสุธาเซียนอยู่จำนวนหนึ่งเช่นกันและพวกเขาก็ไม่ได้มีพลังที่อ่อนแอเลย
ในขณะเดียวกัน ฝ่ายของเฝินชวี่ในตอนนี้มีจอมยุทธ์ขอบเขตพสุธาเซียนเพียงสามคนเท่านั้น นอกจากนี้ยังมีจอมยุทธ์ขอบเขตเซียนขั้นเก้าจำนวนหนึ่งซึ่งรวมทั้งหมดเป็นประมาณสิบคนเท่านั้น
หากพิจารณาจากสิ่งที่เห็นภายนอกในตอนนี้ หุบเขากรุ่นกำยานเป็นฝ่ายเสียเปรียบอย่างแท้จริง
“งั้นรึ ?”
บุรุษผู้นั้นไม่มีท่าทีหวาดหวั่นเมื่อได้ยินวาจาของเฝินชวี่ เขาเพียงยิ้มกริ่มและกล่าวอย่างไม่แยแส “ข้าขอแนะนำให้เจ้าส่งม้วนกระดาษนั่นมาให้ข้าแต่โดยดี มิฉะนั้นชีวิตของเจ้าจะต้องจบลงตรงนี้ มันไม่คุ้มค่าหรอก ยิ่งไปกว่านั้น เจ้าก็เห็นแล้วว่ารอบ ๆ พื้นที่บริเวณนี้ไม่มีใครอื่น หากพวกข้าฆ่าเจ้าเสีย ต่อให้หุบเขากรุ่นกำยานจะสืบหา เกรงว่าคงจะไม่มีทางสาวมาถึงตัวพวกข้าได้ เมื่อถึงเวลานั้น เจ้าก็จะต้องตายไปอย่างสูญเปล่า”
เฝินชวี่ฉุนเฉียวเป็นอย่างยิ่งเมื่อได้ยินคำพูดของอีกฝ่ายและสีหน้าของเขาเหยเกไปชั่วขณะ
“บัดซบ คิดว่าจะรังแกหุบเขากรุ่นกำยานได้งั้นรึ !”
หลังจากสิ้นเสียงดังกล่าว เขาก็เรียกอสูรมายาออกมาอย่างรวดเร็วและขยิบตาส่งสัญญาณให้กับลูกน้องของตน
บรรดาผู้ติดตามจากหุบเขากรุ่นกำยานก็เรียกอสูรมายาทั้งหมดออกมาและเริ่มจู่โจมบุรุษวัยกลางคนและกลุ่มคนที่มาเขากับโดยไม่ลังเล
ต้องยอมรับเลยว่าความแข็งแกร่งของหุบเขากรุ่นกำยานก็ถือว่าไม่ธรรมดาเลย กอปรกับการที่โจมตีอย่างฉับพลันเช่นนี้ บุรุษวัยกลางคนจึงไม่ทันได้ตั้งตัวและสีหน้าของเขาบิดเบี้ยวไปชั่วขณะ
อย่างไรก็ตาม พวกเขาก็มิใช่คนอ่อนประสบการณ์และไร้ฝีมือเช่นกัน ยิ่งไปกว่านั้น พวกเขามีความแข็งแกร่งโดยรวมที่มากกว่า ภายในชั่วครู่หนึ่ง พวกเขาก็ต่อสู้กับคนของหุบเขากรุ่นกำยานอย่างดุเดือด
การต่อสู้นี้ไม่ได้ดำเนินไปนานนักและผลแพ้ชนะก็ถูกตัดสินอย่างรวดเร็ว
แม้ว่าจำนวนสมาชิกของกลุ่มชายวัยกลางคนจะมีมากกว่าเล็กน้อย แต่อาวุธและอุปกรณ์ของพวกเขา รวมถึงประสบการณ์การต่อสู้ก็ยังด้อยกว่าฝ่ายของหุบเขากรุ่นกำยานพอสมควร กอปรกับบรรดาอสูรมายาที่ทรงพลังของขุมกำลังอันดับหนึ่งของดินแดนทางเหนือ พวกเขาจึงพ่ายแพ้ไปในที่สุด
“ยังไม่ไสหัวออกไปอีกรึ !”
เฝินชวี่แค่นเสียงเย็นชา แม้ว่าพวกเขาจะเป็นฝ่ายชนะ แต่หลายคนก็ได้รับบาดเจ็บและสีหน้าไม่สู้ดีนัก
ตอนนี้สีหน้าของบุรุษวัยกลางคนก็เหยเกมากขึ้นเรื่อย ๆ เขาตระหนักดีว่าตนเองมิใช่คู่ต่อสู้ของหุบเขากรุ่นกำยาน เขารีบหันหลังกลับและนำคนอื่น ๆ อันตรธานหายไปต่อหน้าต่อตาทุกคนอย่างรวดเร็ว
“กลุ่มคนเหล่านั้นมาจากขุมกำลังใดกัน ? ช่างอ่อนแอเกินไปจริง ๆ”
ภายในคฤหาสน์เฟิงหัว ฉินอวี้โม่ก็มองเห็นบุรุษวัยกลางคนและคนของเขาที่ถูกเอาชนะจนถอนกำลังกลับไปอย่างง่ายดาย นางจึงอดเอ่ยถามออกมาไม่ได้
“ข้าก็ไม่แน่ใจนัก ทว่าเมื่อพิจารณาจากความแข็งแกร่งแล้ว คนเหล่านั้นก็ไม่ได้ถือว่าอ่อนแอเกินไป หากเป็นขุมกำลังในดินแดนทางเหนือของเรา พวกเขาก็น่าจะมีชื่อเสียงพอสมควร”
ซวงเสวี่ยส่ายศีรษะเบา ๆ พร้อมกล่าวตอบว่าเขาเองก็ไม่ทราบเรื่องนี้เช่นกัน ความแข็งแกร่งของพวกเขาเหล่านั้นถือว่าไม่อ่อนแอเลย เรียกได้ว่าในดินแดนทางเหนือความแข็งแกร่งโดยรวมของพวกเขาก็ถือว่าเทียบได้กับขุมกำลังระดับสาม อย่างไรก็ตาม ครานี้ฝ่ายของเฝินชวี่มีจอมยุทธ์มีฝีมือมากประสบการณ์หลายคน และนั่นเป็นสาเหตุที่พวกเขาต้องพ่ายแพ้ไปอย่างน่าเวทนา
“ฮ่า ๆ ๆ ดูเหมือนว่าทุกคนจะถอยออกไปกันแล้ว เตรียมตัวออกไปเล่นสนุกกันเถอะ”
ฉินอวี้โม่ไม่ถามสิ่งใดต่อไปขณะสำรวจกลิ่นอายโดยรอบและพบว่าไม่มีผู้อื่นท่ามกลางความมืด นางจึงยกยิ้มมุมปากเล็กน้อยโดยมีแผนการอยู่ในใจแล้ว
“ฮ่า ๆ ๆ พวกเราพร้อมแล้ว”
เหล่าอสูรมายาของฉินอวี้โม่ก็อดหัวเราะออกมาไม่ได้ พวกมันแสดงถึงความกระตือรือร้นอย่างมากเช่นกัน
ภายในตรอกซอยข้างนอก ใบหน้าของเฝินชวี่เต็มไปด้วยความพึงพอใจเมื่อเอาชนะคู่ต่อสู้ได้
“นายน้อย ในเมื่อคนพวกนั้นพ่ายแพ้กลับไปแล้ว พวกเราก็ควรที่จะกลับไปเช่นกัน”
ใครคนหนึ่งจากหุบเขากรุ่นกำยานกล่าวย้ำเตือนขณะความกังวลยังคงเกาะกุมอยู่ในใจ แม้ว่ากลุ่มคนเมื่อครู่จะพ่ายแพ้กลับไปแล้ว เขาก็ยังรู้สึกว่ามีใครบางคนที่ซ่อนอยู่ในมุมมืดและสถานการณ์ของพวกเขายังไม่ปลอดภัยเท่าไหร่นัก
“พวกเจ้ากลัวอะไรกัน ? ต่อให้คนของอีกสองขุมกำลังมาที่นี่ พวกเราก็ไม่หวาดหวั่น ตามหาสตรีผู้นั้นต่อไป ข้าไม่เชื่อหรอกว่านังแพศยานั่นจะหายไปในกลีบเมฆได้ !”
เฝินชวี่กล่าวอย่างไม่หวั่นใจและสั่งให้คนของตนตามหาฉินอวี้โม่ต่อไป
เมื่อได้ยินคำสั่งของผู้เป็นนาย บรรดาคนจากหุบเขากรุ่นกำยานต่างก็อับจนปัญญา ทว่าพยักศีรษะรับคำสั่งแต่โดยดีและเริ่มค้นหาทั่วตรอกซอยอีกครั้ง
“กำลังตามหาข้าอยู่รึ ?”
ทันใดนั้น เสียงของฉินอวี้โม่ก็ดังขึ้นในหูของทุกคนจากหุบเขากรุ่นกำยานทำให้พวกเขาตกตะลึงอย่างมาก
แม้แต่เฝินชวี่ผู้ซึ่งใจเย็นมาตั้งแต่ต้นก็ชะงักค้างไปชั่วขณะเช่นกันเมื่อได้ยินเสียงของสตรีที่ตามหา
“มีอะไรรึ ? หรือนายน้อยเฝินชวี่คิดจะแย่งชิงเด็กสาวลูกครึ่งเอลฟ์ไปจากข้า ?”
ฉินอวี้โม่ปรากฏตัวตรงข้ามเฝินชวี่อย่างรวดเร็ว เวลานี้นางไม่สวมผ้าคลุมบดบังใบหน้าอีกต่อไป และใบหน้างดงามสะเทือนทั้งใต้หล้าก็ปรากฏตรงหน้าทุกคน
เฝินชวี่ได้ยินคำพูดของฉินอวี้โม่และกำลังจะสาดวาจาตอบโต้ ทว่าเมื่อเห็นใบหน้าของนางอย่างชัดเจน เขาก็พูดไม่ออกทันที
ช่างเป็นโฉมนารีที่งดงามยิ่งนัก!
เฝินชวี่อดถอนหายใจเบา ๆ กับตัวเองไม่ได้ สตรีที่ปรากฏกายตรงหน้าเขาอย่างกะทันหันผู้นี้งดงามและชวนลุ่มหลงยิ่งกว่าเด็กสาวลูกครึ่งเอลฟ์เสียอีก และนั่นทำให้ตัณหาราคะของเขาพลุ่งพล่านยิ่งกว่าเดิม
เสื้อคลุมสีขาวสะอาด เส้นผมสลวยที่ถูกมัดไว้อย่างหลวม ๆ เครื่องหน้าได้สัดส่วนและเรือนร่างสมบูรณ์แบบ รวมถึงกลิ่นอายที่แผ่ออกมาดุจดั่งเทพธิดาที่จุติลงมา ความงามอย่างที่ไม่เคยพบเห็นทำให้สติของเขาเลื่อนลอยไปชั่วขณะ
เมื่อเห็นรูปลักษณ์ของสตรีผู้นี้ คนอื่น ๆ จากหุบเขากรุ่นกำยานก็ตกตะลึงเช่นกัน พวกเขาท่องอยู่ในดินแดนเทพมายามานานทว่าไม่เคยพบเห็นสตรีที่งดงามถึงเพียงนี้มาก่อน
มิอาจทราบได้เลยว่าโฉมนารีงดงามดุจดั่งนางฟ้านางสวรรค์ผู้นี้มาจากที่ใด
หลังจากชะงักไปพักหนึ่ง เฝินชวี่ก็ค่อย ๆ เรียกสติกลับคืนมา เมื่อนึกถึงคำถามของฉินอวี้โม่เมื่อครู่ จู่ ๆ เขาก็ยกยิ้มมุมปากอย่างมีเลศนัย
“ฮ่า ๆ ๆ เดิมทีข้าก็อยากได้เด็กสาวลูกครึ่งเอลฟ์นั่น ทว่าตอนนี้…ข้าสนใจเจ้ามากกว่า !”
ทันทีที่กล่าวจบ เขาก็ยื่นมือออกไปหมายจะแตะใบหน้าที่งดงามสมบูรณ์แบบของฉินอวี้โม่…
.