คุณหนูสี่ สตรีเปื้อนเลือด - ตอนที่ 50 ตัดไฟแต่ต้นลม
“ตรงนี้ให้เป็นหน้าที่ข้าเอง”
หานโม่ฉือกล่าวขึ้นมาด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย ทว่าถ้อยคำนั้นกลับทำให้ฉินอวี้โม่ชะงักไปเล็กน้อย อารมณ์ความรู้สึกบางอย่างที่แสนประหลาดก่อตัวขึ้นในหัวใจของนาง
…‘หากนับรวมเวลาที่มีลมหายใจอยู่บนโลกทั้งหมดเธอเองก็มีชีวิตอยู่มานานแล้ว แต่ไม่ว่าจะเป็นในชีวิตก่อนหรือชีวิตใหม่ในตอนนี้ก็ไม่เคยเลยสักครั้งที่จะมีใครพูดแบบนี้กับเธอ ถึงแม้นั่นจะเป็นแค่ประโยคสั้น ๆ ง่าย ๆ แต่ก็ทำให้หัวใจดวงน้อยของคนฟังสั่นไหวอย่างห้ามไม่อยู่
ในความจริง เมื่อนับรวมทั้งหมดนี่เป็นเพียงการพบกันครั้งที่สามระหว่างเธอกับหานโม่ฉือ แต่ถ้านับช่วงเวลาที่ได้รู้จักกันแล้วมันยังเป็นแค่ครั้งที่สองเท่านั้น
ในครั้งแรก ผู้ชายคนนี้กับเพื่อนของเขาหลินจิ้งหงแอบเฝ้าดูตอนที่เธอไล่กำจัดพวกสุนัขน่ารังเกียจที่ฆ่าคุณหนูสี่คนเดิม ตอนนั้นเธอโกรธมากที่อันธพาลกักขฬะรังแกผู้หญิงอ่อนแอและที่แค้นมากกว่าคือมันบังอาจฉีกเสื้อผ้าของเธอจนเกือบโป๊ หลังจบการสังหารหมู่ของเธอลง เธอยังคิดอยู่เลยว่าผู้ชายสองคนที่แอบดูเธอนั้นเลือดเย็นไม่น้อยทีเดียว เพราะพวกเขายืนดูคนฆ่ากันอยู่เฉย ๆ ได้โดยไม่สะทกสะท้าน
แล้วต่อมาตอนที่เจอหน้าเขาอีกครั้งที่สมาคมทหารรับจ้างเมืองหลิงซี หลินจิ้งหงนั้น ถึงเขาจะมีจุดประสงค์บางอย่างแต่ก็ออกปากช่วยปกป้องเธอ ส่วนผู้ชายคนนี้แค่ยืนดูนิ่ง ๆ และมีท่าทีติดจะรำคาญนิด ๆ เสียด้วยซ้ำ ดูแล้วก็เย็นชาสมเป็นมนุษย์น้ำแข็งอย่างที่เพื่อนเขาบอก เหตุการณ์ในตอนนั้นทำให้ฉินอวี้โม่สรุปเอาว่าหานโม่ฉือเป็นผู้ชายเย็นชาที่ไม่สนใจใครหรือเห็นชีวิตใครอยู่ในสายตา
แต่ทว่าในตอนที่อยู่ในถ้ำยูนิคอร์น ชายผู้นี้กลับพยายามปกป้องเธอ ฉินอวี้โม่สัมผัสได้ว่าเขาแสดงอาการห่วงใยเธอจากใจจริง พอมาถึงตอนนี้ ในช่วงเวลาที่เธอตกอยู่ในอันตรายเขาก็เป็นฮีโร่โผล่มาช่วยไว้ได้ทัน แถมยังมีประโยคที่เขาเพิ่งพูดเมื่อครู่อีก ! ก่อนหน้านี้เธอคิดมาตลอดว่าหานโม่ฉือเป็นคนเย็นชา ไอเย็นที่ปล่อยออกมาจากร่างกายเขาก็ชวนหนาวสั่น แต่ไม่รู้ทำไม เมื่อมาถึงตอนนี้เธอกลับรู้สึกว่าการมีเขาอยู่ข้างกายกลับทำให้เธออุ่นขึ้นเรื่อย ๆ
อดีตนักฆ่าสาวในร่างคุณหนูคิดอย่างเลื่อนลอย ทันใดนั้นนางก็ได้สติ สาวงามขมวดคิ้วเล็กน้อยก่อนจะรีบปัดความคิดแปลกประหลาดออกไปจากใจแล้วหันมาจดจ่ออยู่กับสถานการณ์ตรงหน้า’…
ทว่าสิ่งที่ฉินอวี้โม่ไม่รู้ก็คือ แท้จริงแล้วหานโม่ฉือผู้นี่เป็นบุรุษผู้เลือดเย็นอย่างมาก สิ่งที่นางเคยคิดเอาไว้ไม่ผิดแม้แต่น้อย ซึ่งบางทีเขาอาจจะเลือดเย็นได้มากกว่าที่นางคิดเสียด้วยซ้ำ อย่างไรก็ตาม ไม่ทราบเช่นกันว่าเพราะเหตุใดแต่ในหัวใจของมนุษย์น้ำแข็งผู้เย็นชากลับเห็นสตรีงามนามฉินอวี้โม่ที่เขานับเป็นสหายผู้นี้แตกต่างไปจากผู้อื่น…..ในใจของหานโม่ฉือตอนนี้ไม่มีความลังเลเลยแม้แต่น้อยที่จะช่วยเหลือหรือปกป้องฉินอวี้โม่
หากหลินจิ้งหงหรือผู้ที่รู้จักตัวตนของหานโม่ฉือยืนอยู่ที่นี่ด้วย เขาก็คงจะต้องคิดว่าบุรุษผู้นี้ไม่ใช่หานโม่ฉือแต่เป็นผู้อื่นปลอมตัวมาเป็นแน่
ผู้พิทักษ์ที่ลิ่วเยว่เรียกออกมาจ้องมองหานโม่ฉืออย่างดุร้าย
“หากไม่อยากตายก็รีบไสหัวไปซะ !”
ราวกับว่าหานโม่ฉือไม่เห็นอีกฝ่ายอยู่ในสายตา เขาฟังวาจาขับไล่ของเงาร่างพร่าเลือนนั้นอย่างไม่ทุกข์ร้อน
“เหอะ ! ในเมื่ออยากจะตายนัก ข้าก็จะสังเคราะห์ให้เอง”
แม้จะเป็นเพียงเงา แต่ผู้พิทักษ์นั้นก็มีสติปัญญาที่สมบูรณ์ หลังจากค่อนแคะอย่างเย็นชามันก็พุ่งเข้าจู่โจมหานโม่ฉือในทันที
“ไม่เจียมตัว !”
หานโม่ฉือสบถอย่างเย็นชาออกมาเช่นกัน ทว่าร่างกายของเขากลับยังคงนิ่งสนิท
และในตอนที่เงาร่างนั้นกำลังจะเข้าประชิดตัวเขาได้ สายตาทุกคู่ก็มองเห็นว่าจู่ ๆ หานโม่ฉือก็เคลื่อนไหว
แสงสีทองปรากฏขึ้นบนฝ่ามือข้างหนึ่งของเขาก่อนจะแผ่ขยายและเข้าห่อหุ้มมือแข็งแรงเอาไว้ทั้งหมดในพริบตา เสี้ยวลมหายใจต่อมาหัตถ์ทองคำของมนุษย์น้ำแข็งก็ฟาดเข้าใส่เงาร่างที่กำลังตรงเข้ามาอย่างรวดเร็ว
“อ๊ากกก !”
เมื่อถูกฝ่ามือของหานโม่ฉือปะทะเข้าใส่ เงาร่างนั้นก็เปล่งเสียงร้องอย่างเจ็บปวด
เสียงกรีดร้องนั้นสิ้นสุดลงพร้อม ๆ การสูญสลายไปของเงาเลือนรางแห่งผู้พิทักษ์ เวลานี้สิ่งที่ปรากฏอยู่ตรงหน้าทุกคนเหลือเพียงความว่างเปล่าราวกับมันไม่เคยมีอยู่แต่แรก
“ซี้ด~…”
ทุกผู้คนในลานแห่งนี้มองเห็นเพียงแค่หานโม่ฉือขยับตัวอย่างรวดเร็วและซัดฝ่ามือเข้าใส่เงานั้นไปครั้งหนึ่งจนมันสลายไปในทันที พวกเขาทั้งหมดจ้องมองบุรุษผู้ใช้เพียงหนึ่งฝ่ามือสังหารผู้พิทักษ์ของศิษย์จากอารามด้วยสายตาที่เบิกกว้าง บางคนถึงกับเผลอก้าวถอยหลังออกไปตามสัญชาตญาณ
แม้แต่บุคคลหยิ่งยโสอย่างลิ่วเยว่ที่มักจะมองผู้คนผ่านปลายจมูกอยู่เสมอนั้น เมื่อได้เห็นผู้พิทักษ์ที่แข็งแกร่งของเขาสลายตัวไปด้วยฝ่ามือเดียวของหานโม่ฉือ บนใบหน้าเขาก็ปรากฏอาการตื่นตระหนก
ในตอนนั้นเอง ร่างของหานโม่ฉือก็หายวับไปอย่างรวดเร็ว ไม่ถึงเสี้ยวลมหายใจร่างสูงของเขาก็ปรากฏอีกครั้งที่ด้านหลังของลิ่วเยว่
เขายื่นมือออกไปคว้าจับที่คอของผู้มีพรสวรรค์จากอารามราวกับคว้าคอไก่ก็มิปาน ก่อนจะส่งให้บุรุษไร้ยางอายกระเด็นไป
“ไปรับโทษซะ”
ลิ่วเยว่ถูกหานโม่ฉือเตะกระเด็นไปตกตรงหน้าฉินอวี้โม่ จากนั้นหานโม่ฉือก็เดินไปหยุดอยู่ข้างกายนางเพื่อทำหน้าที่เป็นองครักษ์พิทักษ์นารี
“ฮ่า ๆ คุณชายลิ่ว ตอนนี้ท่านไม่หยิ่งยโสทำตัวโอหังแล้วหรือ ?”
ฉินอวี้โม่มองลิ่วเยว่ที่กำลังนั่งคุกเข่าอยู่ตรงหน้าก่อนจะกล่าววาจาเย้ยหยันผู้ที่คิดจะสังหารนาง ตอนนี้คนจากอารามกำลังนั่งหน้าซีดปากสั่นอย่างหวาดหวั่น
“มะ… แม่นางฉินอวี้โม่ ดะ… ได้โปรดไว้ชีวิตข้า ข้าไม่ควรไปยั่วยุเจ้า นี่อสูรมายาของข้า ตอนนี้มันเป็นของเจ้าแล้ว ได้โปรดไว้ชีวิตข้าเถอะ”
ลิ่วเยว่มองตาฉินอวี้โม่และพยายามร้องขออย่างสุดชีวิต
ความแข็งแกร่งของหานโม่ฉือน่าหวาดกลัวจนเกินไป เขาไม่มีพลังเพียงพอจะต่อต้านหรือขัดขืนได้เลย ตอนนี้เขาเหมือนลูกไก่ที่อยู่ในกำมือของฉินอวี้โม่ หากไม่รีบร้องขอชีวิตไว้ ก็เกรงว่าวันนี้เขาคงไม่มีทางรอดกลับไปแน่นอน
อย่างไรก็ตาม ภายในหัวใจของลิ่วเยว่ก็ยังคงเต็มเปี่ยมไปด้วยความเกลียดชัง เขาขอสาบานด้วยเกียรติทั้งหมด !…หากเขารอดชีวิตกลับไปที่อารามได้ เขาจะรวบรวมยอดฝีมือมาล้างแค้นสตรีผู้นี้ ให้นางได้รู้ว่าการกระทำสิ่งเหยียดหยาม ลบหลู่ดูหมิ่นคนของอารามเช่นเขาจะได้รับผลอย่างไร !
เมื่อได้ยินวาจาของลิ่วเยว่ ฉินอวี้โม่ก็เผยรอยยิ้มเยือกเย็น
“ขอความเมตตางั้นหรือคุณชาย แล้วเหตุใดตอนที่เจ้าตัดสินใจลงมือฆ่าข้า เจ้าถึงไม่คิดเมตตาข้าบ้างเล่า ? เจ้าฉวยโอกาสตอนที่ข้าพลั้งเผลอไร้ทางสู้ลงมือกับสตรีเช่นข้าอย่างไม่ยั้งคิด คนชั่วช้า ! เจ้ายังใจจืดใจดำถึงกับไม่คิดรั้งรอให้โอกาสข้าได้ร้องขอความเมตตาเสียด้วยซ้ำ จำได้หรือไม่ ?”
วาจาของฉินอวี้โม่เต็มไปด้วยเจตนาเสียดแทง ในตอนแรกนางไม่มีแผนที่จะทำร้ายหรือกลั่นแกล้งลิ่วเยว่คืนเลยแม้แต่น้อย แม้จะรู้ว่าการแข่งขันในครั้งนี้เป็นกับดัก แต่นางก็ปลงใจตกปากรับคำท้าอย่างไม่ลังเล และพยายามคิดหากลยุทธ์มารับมือกับกลโกงของพวกเขา นางไม่ได้ปฏิเสธหรือคิดออกปากเปิดโปงความชั่วช้าของพวกเขาเลยแม้แต่น้อย นางเพียงแต่ต้องการให้มันเป็นการแข่งขันที่ดีและนางก็คิดว่าวันนี้ตัวนางจะชนะได้อย่างงดงามพร้อมทั้งได้ครอบครองรางวัลตามที่ลิ่วเยว่และหลี่เปียวออกปากสาบานไว้ แต่กลับคิดไม่ถึงว่าเพื่อที่จะทำให้คำสาบานเป็นโมฆะ ลิ่วเยว่จะไร้ยางอายได้ถึงกับลงมือลอบสังหารนางเช่นนี้ ! ….เสแสร้ง เมื่อยิ่งใหญ่ไม่เคยเห็นหัวผู้ใด ทำร้ายผู้อื่นไม่สะทกสะท้าน แต่ถึงคราวอับจนหนทางกลับร้องขอความเมตตา ตัวบัดซบหน้าไม่อาย !
เรื่องนี้ทำให้ฉินอวี้โม่โกรธเคืองอย่างถึงที่สุด เป็นที่ทราบดีว่าฉินอวี้โม่เกลียดคนประเภทนี้มากจนเข้ากระดูก
“แม่นางฉินอวี้โม่ ข้ายอมรับว่าตัวเองผิดที่ไปยั่วยุเจ้า แต่เรื่องทั้งหมดนี้เกิดขึ้นเพราะหลี่เปียวผู้เดียว หากไม่ใช่เพราะความคิดชั่วช้าของมันก็คงไม่เกิดเรื่องเช่นนี้ !”
เมื่อเหลือบไปเห็นหลี่เปียวที่กำลังยืนหลบอยู่อย่างเงียบ ๆ ลิ่วเยว่ก็หันไปกล่าวโทษอีกฝ่ายด้วยน้ำเสียงเคียดแค้น
“ฮ่า ๆ คุณชายลิ่ว คิดว่าข้าโง่เหมือนกับเจ้ารึไง ?”
ฉินอวี้โม่แสยะยิ้มมุมปากก่อนจะเอ่ยคำเย้ยหยัน ลิ่วเยว่ผู้นี้ภายในกะโหลกหนา ๆ ของเขาคงจะไร้สมองโดยสมบูรณ์ ทั้ง ๆ ที่เขาเป็นผู้ลงมือลอบสังหารนางอยู่แท้ ๆ แต่กลับพล่ามวาจาเหลวไหล เฉไฉปฏิเสธความผิด และเลือกโยนเรื่องทั้งหมดไปที่หลี่เปียว
“เหอะ ! ฉินอวี้โม่ ถ้าเจ้ากล้าทำอะไรข้า อารามของเราจะไม่ปล่อยเจ้าไปแน่ !”
เมื่อเห็นว่าฉินอวี้โม่ไม่ยินยอมจะปล่อยตนเองไป ลิ่วเยว่ก็เริ่มกล่าววาจาข่มขู่ เขาเชื่อว่าอย่างไรเสียฉินอวี้โม่ก็คงจะไม่กล้าลงมือสังหารหรือแม้แต่ทำร้ายศิษย์จากอารามแน่
“ฮ่า ๆ แม้ว่าข้าจะปล่อยเจ้าไป แล้วอารามของเจ้าจะไว้ชีวิตข้าอย่างนั้นรึ ?”
ฉินอวี้โม่พอจะคาดเดาความคิดของลิ่วเยว่ได้ นางถามออกมาด้วยรอยยิ้มเย้ยหยัน
“ที่สำคัญ หากว่าอารามของเจ้าอยากจะเอาเรื่องข้า แล้วเหตุใดข้าต้องกลัวด้วย ?”
อดีตสาวนักฆ่ากล่าวขึ้นมาอย่างองอาจ อีกฝ่ายก็แค่อารามเท่านั้น และเธอเองก็เคยผ่านพ้นความตายมาแล้ว หากตายก็คือตาย ผู้คนมากมายหวาดกลัวความตาย บางคนกลัวเพราะไม่รู้ว่าตายแล้วไปไหน บางคนกลัวเพราะจะต้องพลัดพรากจากความสุขที่มี แต่ในความจริงตายไปแล้วก็ไม่มีใครรู้เลยว่าจะได้ไปไหน อย่างตัวเธอพอตายกลับได้มาอยู่ในร่างคนอื่นในโลกอื่นที่แทบไม่มีอะไรที่เธอรู้จักเลยด้วยซ้ำ อีกทั้งความตายครั้งก่อนเกิดขึ้นกับเธอในชั่วพริบตานั่นทำให้เธอยิ่งเข้าใจว่าความตายมาพรากได้ในทุกลมหายใจเข้าออก ตอนนี้เธอได้ใช้ลมหายใจมาสองชีวิตแล้ว ถึงจะตายอีกก็ไม่มีอะไรให้เธอต้องกลัว
เมื่อได้ยินวาจาห้าวหาญของสตรีข้างกาย มนุษย์น้ำแข็งหานโม่ฉือก็ยกมุมปากปรากฏเป็นรอยยิ้มขึ้นมา หญิงสาวผู้นี้ต่างจากผู้อื่นอย่างแท้จริง ตั้งแต่คราที่พบนางครั้งแรก ณ ชายป่าพรุนอกเมืองหลิงซี ไม่ไกลจากบึงสายหมอกมากนัก ตอนนั้นเขาบังเอิญได้รู้เห็นเหตุการณ์ที่นางสั่งสอนผู้คนด้วยคมมีด เขาก็คิดว่านางไม่ธรรมดา
‘วันนั้นเขาและหลินจิ้งหงเดินทางผ่านป่าพรุเพื่อจะทำภารกิจยูนิคอร์นสีนิลที่บึงสายหมอก ฉับพลันก็ได้ยินเสียงกรีดร้องอย่างเจ็บปวดของผู้ชายดังขึ้นในทิศทางหนึ่ง เมื่อเขาและสหายมองไปในทิศนั้นก็พบว่ากำลังเกิดเหตุสังหารหมู่บุรุษฉกรรจ์กว่าสิบคน… โดยสตรีผู้หนึ่ง
…ภาพสตรีตัวบางแสนงดงามที่ลงมือสังหารบุรุษร่างใหญ่กลุ่มหนึ่งอย่างโหดเหี้ยมภายในเวลาชั่วพริบตายังคงติดตราตรึงอยู่ในใจเขาจนถึงทุกวันนี้…
การสังหารหมู่ของนางจบลงในเวลาเพียงไม่ถึงครึ่งก้านธูป ภาพของนางในใจเขาตอนนั้นคือสตรีเลือดเย็นที่สามารถสังหารผู้คนได้โดยไม่กะพริบตา หากเป็นบุรุษที่จิตใจอาจหาญคงไม่แปลกนัก แต่เมื่อเป็นสตรีที่สมควรจะบอบบางอ่อนโยน มีจิตใจอ่อนไหวเมตตากลับดูประหลาด ซึ่งความคิดเช่นนั้นก็ทำให้เขาแทบอยากจะเมินเฉยต่อนางเมื่อครั้งพบกันเป็นครั้งที่สองที่สมาคมทหารรับจ้าง
ทว่าหลังจากจบภารกิจตามหาถ้ำยูนิคอร์นสีนิลที่เขาและฉินอวี้โม่ได้ทำร่วมกัน เขาก็เปลี่ยนความคิดที่มีต่อนางไป… เขาคิดว่านางเป็นสตรีที่พิเศษไม่เหมือนผู้ใด
ไม่ทราบว่าเป็นเพราะได้ฟังวาทะไม่ยอมคนเมื่อคราวที่นางมาสมัครเป็นทหารรับจ้าง หรือสุนทรพจน์ที่นางใช้สั่งสอนทหารรับจ้างชื่อเหยียน หรือเป็นเพราะความแข็งแกร่งไม่เป็นรองผู้ใด ความเด็ดเดี่ยวในการต้านทานคำครหาอย่างไม่ยอมแพ้ หรือเพราะท่วงท่าการต่อสู้อันสง่างาม หรืออาจจะเป็นความงดงามจากทั้งรูปโฉมและทัศนคติ และไม่ทราบอีกเช่นกันว่าตั้งแต่เมื่อไหร่ที่ทั้งหมดนี้ทำให้… ความสนใจที่เขามีต่อสตรีโฉมงามผู้นี้เปลี่ยนเป็นหลงใหล’
บุรุษมนุษย์น้ำแข็งมองดูสตรีข้างกายที่ละลายน้ำแข็งในหัวใจเขาด้วยรอยยิ้มอ่อนหวาน ทว่าฉินอวี้โม่กลับไม่ได้สังเกตเห็นรอยยิ้มนั้นเลย มิฉะนั้นแล้วนางอาจจะต้องประหลาดใจ หานโม่ฉือแทบไม่เคยหัวเราะหรือยิ้ม รอยยิ้มของคนผู้นี้เป็นของล้ำค่า การจะได้เห็นเขายิ้มว่ายากแล้ว แต่การทำให้เขายิ้มได้ต้องนับว่าเป็นเรื่องมหัศจรรย์
“ใช่แล้ว แม่นางฉินพูดถูกแล้ว มันก็แค่อารามเท่านั้น มีอะไรต้องไปกลัวนักหนา !”
หนึ่งในสมาชิกของกองทหารรับจ้างชื่อเหยียนกล่าวขึ้นมา และนั่นก็ชักนำให้คนอื่น ๆ ที่เหลือในกลุ่มต่างส่งเสียงสนับสนุนกันเซ็งแซ่อย่างอดไม่ได้
“ถ้าทุกคนในอารามเป็นเหมือนกับเจ้าหมด ข้าว่าต่อไปคงไม่ต้องใช้ชื่อว่าอารามแล้ว เรียกว่าซ่องโจรไปเลยจะเหมาะกว่า !”
“จะอารามหรืออะไรก็แล้วแต่ ในเมื่อทำผิดก็ควรจะรับโทษเหมือน ๆ กัน”
ถ้อยคำที่ไม่เกรงกลัวของสมาชิกแห่งกองทหารรับจ้างชื่อเหยียนทำให้ฉินอวี้โม่อมยิ้มอย่างอดไม่ได้เมื่อได้ยิน พวกเขาเป็นบุรุษเรียบง่ายตรงไปตรงมา ยิ่งได้พบเจอได้รู้จักได้สนิทสนมก็ยิ่งทำให้นางชอบพวกเขามากยิ่งขึ้น พวกเขาไม่เกรงกลัวสิ่งใดและยึดมั่นในแนวคิดของตัวเอง พวกเขาเป็นกลุ่มคนที่น่าคบหาเป็นอย่างมาก
“พวกเจ้า !…”
เมื่อลิ่วเยว่ได้ยินสิ่งที่ฉินอวี้โม่และทหารรับจ้างกล่าว เขาก็เดือดดาลขึ้นทันที บุรุษไร้ยางอายโกรธเคืองถึงขีดสุดจนถึงกับกล่าวสิ่งใดไม่ออก เขาคิดเสมอว่าไม่ว่าเขาจะไปที่ไหน จะเป็นอย่างไร และคนที่นั่นจะไม่ชอบพฤติกรรมของเขามากเพียงใด แต่ด้วยสถานะของคนจากอารามทุกคนก็ย่อมต้องแสดงความยำเกรง ให้เกียรติเขาเพราะเกรงกลัวอิทธิพลของอาราม ทว่าไม่คิดเลยว่าวันนี้นอกจากจะไม่มีผู้ใดไว้หน้าเขาแล้ว แต่คนเหล่านี้ก็ยังแสดงท่าทีไม่ให้เกียรติหรือเกรงกลัวอารามแม้แต่น้อย ไม่มีใครเห็นเขาอยู่ในสายตา ตั้งแต่เมื่อใดกันที่อารามตกต่ำลงได้ถึงเพียงนี้
“หุบปาก ! เจ้ากล้ารังแกนายหญิงของพวกข้า เจ้ามันสมควรตายแล้ว”
เสี่ยวเฮยและเสี่ยวจินจ้องมองลิ่วเยว่อย่างเอาเป็นเอาตาย แววตาของพวกมันเต็มไปด้วยรังสีสังหาร อีกฝ่ายเพิ่งจะลงมือกับนายหญิงของพวกมันไป เรื่องนี้มีโทษถึงตาย !
ขอเพียงแค่นายหญิงออกคำสั่ง พวกมันก็พร้อมจะปฏิบัติตามอย่างไม่ลังเล ไม่ใช่แค่มนุษย์หน้าเหม็นตัวเล็กนิดเดียวผู้นี้เท่านั้น ต่อให้ขนกันมาทั้งอารามพวกมันก็ไม่กลัว
“นายหญิง จะให้เราฆ่าเจ้าหน้าโง่นี่ด้วยวิธีไหนก็สั่งมาได้เลย พวกข้าสองตัวไม่อยากให้มือของท่านต้องแปดเปื้อน”
เสี่ยวเฮยเอ่ยกับฉินอวี้โม่ด้วยรอยยิ้มอวดฟันม้า ๆ สีขาวเงาวับ มันกำลังรอฟังคำสั่งของเจ้านายอย่างใจจดใจจ่อ
ฉินอวี้โม่แสยะยิ้มและกล่าวกับลิ่วเยว่ “ลิ่วเยว่ เจ้าเข้ามายั่วยุข้าที่งานเลี้ยงเมื่อวานนี้ แต่เพราะข้าไม่อยากถือสาหาความจึงปล่อยเจ้าไป ไม่คิดเลยว่าเจ้าจะไม่รู้ดีรู้ชั่ว ทำตัวเลวทราม น่าอับอายยิ่งนัก”
“ก่อนหน้านี้เราตกลงกันไว้ว่า หากเจ้าแพ้ เจ้าจะยอมมอบอสูรเทวะให้ข้า ที่ข้ายอมตกปากรับคำไปก็เพราะคิดว่าหากเจ้าต้องสูญเสียอสูรมายาเพราะทำตัวโอหัง เหยียดหยามผู้อื่นแล้วเจ้าจะสำนึก จะได้ลงโทษให้เจ้าหลาบจำ”
“แต่ไม่คาดคิดว่าเจ้าจะถึงกับกล้าลงมือพยายามจะเอาชีวิตข้า”
ถ้าหากเป็นตัวเธอในชีวิตก่อนก็คงไม่มัวมาพูดพล่ามเสียเวลาเหมือนตอนนี้ เธอคงลงมือสังหารอีกฝ่ายทันทีแบบไม่ต้องคิด ฉินอวี้โม่นักฆ่าสาวไม่เคยมีเมตตาให้กับคนที่ตั้งใจจะฆ่าเธอ
“เจ้าคิดจะทำอะไร ?!”
เมื่อได้ยินคำพูดของฉินอวี้โม่ ลิ่วเยว่ก็อดไม่ได้ที่จะลุกขึ้นแล้วก้าวถอยหลังออกไปหลายก้าว ใบหน้าของเขาขาวซีดและเต็มไปด้วยความหวาดกลัวลนลาน
“ข้าไม่อยากจะให้ผู้ที่เป็นอันตรายต่อชีวิตข้ามีลมหายใจอยู่บนโลกใบนี้ หากข้าปล่อยเจ้ากลับไปตอนนี้ ข้ากลัวว่าอีกไม่นานเจ้าคงจะไปพาคนกลุ่มใหญ่จากอารามของเจ้ากลับมาล้างแค้นข้าแน่ ดังนั้นข้าก็คงไม่โง่ทำเช่นนั้น !”
วาจาของฉินอวี้โม่เย็นเฉียบ เธอไม่ใช่คนใจอ่อนและก็ไม่อยากจะหาเรื่องใส่ตัว เธอควรจะตัดไฟแต่ต้นลม และเธอก็ไม่ยินดีให้คนที่ต้องการจะเอาชีวิตเธออยู่ร่วมโลกเดียวกัน นี่เป็นหลักการของฉินอวี้โม่ในชีวิตก่อน สาวนักฆ่าที่มีฝีมือระดับพระกาฬ
“จะ… เจ้าจะต้องเสียใจ”
เมื่อได้ยินวาจาที่ออกจากปากของฉินอวี้โม่ ใบหน้าของลิ่วเยว่ก็เปลี่ยนไปอย่างใหญ่หลวง เขากลัวสุดขีดและพยายามจะวิ่งหนีไปให้ไกล
ทว่าร่างของฉินอวี้โม่กลับมาปรากฏตรงหน้าของเขาราวกับภูตผี
“คุณชายลิ่ว… ข้าไม่ให้เจ้าหนีได้หรอก”
กล่าวจบ รอยยิ้มเย็นยะเยือกก็ปรากฏบนใบหน้างดงามไร้ที่ติ ก่อนที่กริชเล่มหนึ่งจะปรากฏขึ้นในมือนาง
“จำเอาไว้ด้วยว่า คนที่ฆ่าเจ้ามีนามว่าฉินอวี้โม่ และที่เจ้าต้องตายก็เพราะความโง่งมของตัวเอง !”
ประโยคอันหนาวเหน็บของฉินอวี้โม่ดังก้องในหูของลิ่วเยว่ ขณะที่กริชงดงามเปล่งประกายพุ่งตรงเข้าเสียบที่หัวใจของเขา
“ฉินอวี้โม่ ถึงข้าจะกลายเป็นผี ข้าก็จะไม่ละเว้นเจ้า…”
ลิ่วเยว่กล่าววาจาสุดท้ายของชีวิตอย่างอาฆาตแค้นก่อนที่จะล้มพับลงไปกองพื้น พร้อมกันกับที่ลมหายใจสุดท้ายได้หลุดลอยไป
ฉินอวี้โม่ส่งรอยยิ้มเย้ยหยันเพื่อไว้อาลัยให้กับร่างไร้วิญญาณของลิ่วเยว่ที่อยู่บนพื้นก่อนจะเดินตรงเข้าไปหาหานโม่ฉือ
“ขอบคุณท่านมาก”
ฉินอวี้โม่กล่าวด้วยน้ำเสียงซาบซึ้ง
ฉินอวี้โม่ไม่ใช่คนโง่ ที่นางลงมือสังหารอีกฝ่ายได้ง่าย ๆ ไม่ใช่เพราะลิ่วเยว่ไม่ต่อต้านนาง แต่เขาต่อต้านไม่ได้ เหตุผลก็เพราะว่าเขาถูกแรงกดดันจากพลังที่ห่างชั้นของหานโม่ฉือบีบอัดจนไม่สามารถขยับตัวได้ แม้จะคิดหนีก็ทำได้อย่างยากลำบาก มิฉะนั้นนางคงลงมือสังหารเขาได้ไม่ง่ายเช่นนี้แน่
หานโม่ฉือพยักหน้าเบา ๆ และไม่กล่าวอะไรเช่นเคย
ตอนนี้เขาไม่ได้คิดว่าฉินอวี้โม่เป็นสตรีที่โหดร้าย แต่คิดว่านางเป็นคนที่เด็ดขาด อีกทั้งตัวเขาเองก็มีความคิดคล้ายกันกับนาง ผู้ที่ตั้งใจจะเอาชีวิตเราไม่ควรมีโอกาสที่สอง เมื่อมีโอกาสแล้วก็จงอย่าได้ใจอ่อนกับคนประเภทนี้
ดังนั้นเขาถึงได้ใช้พลังกดดันลิ่วเยว่ไว้เพื่อช่วยให้ฉินอวี้โม่ลงมือได้ง่าย
ทันทีที่ลิ่วเยว่ตาย หลี่เปียวที่ตอนนี้ถูกควบคุมตัวไว้แล้วก็หน้าซีดเผือด เขาหวาดกลัวจนปากสั่น
“หัวหน้าหลี่เปียว… ลิ่วเยว่ถูกสำเร็จโทษไปแล้ว ทีนี้ก็ถึงตาเจ้าแล้วล่ะ !”
ฉินอวี้โม่ยิ้มเย็น ทว่านางไม่มีความคิดที่จะสังหารหลี่เปียว
“แผนการที่เจ้าคิดจะใช้เกสรงาดำเล่นงานพวกเราถือว่าไม่เลว แต่เจ้าคงคิดไม่ถึงสินะว่าข้าจะรู้ถึงแผนการของเจ้าเสียก่อน ยิ่งกว่านั้นข้ายังหาทางแก้ไขไว้เรียบร้อยแล้ว”
ฉินอวี้โม่มองดูใบหน้าไร้สีเลือดของหลี่เปียวก่อนจะกล่าวต่อด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล “ไม่ต้องกลัวไปหรอก ข้าจะส่งเจ้าเข้าคุกของเมืองเยว่กวาง ส่วนกลุ่มทหารรับจ้างของเจ้าก็จะถูกเพิกถอนสิทธิ์ บทเรียนคราวนี้หวังว่าจะทำให้หัวหน้าหลี่เปียวเลิกโง่ได้เสียที”
“คุณชายลั่วอวิ๋น ข้ามีเรื่องรบกวนท่าน ได้โปรดจัดการเรื่องลงโทษหัวหน้าหลี่เปียวและกลุ่มทหารรับจ้างหมาป่าปีศาจด้วย”
เมื่อได้ยินคำพูดของฉินอวี้โม่ กลุ่มทหารรับจ้างแทบทุกกลุ่มของเมืองเยว่กวางที่เคยถูกกลุ่มทหารรับจ้างหมาป่าปีศาจเอาเปรียบและกลั่นแกล้งก็ส่งเสียงโห่ร้องออกมาด้วยความดีใจ