คุณหนูสี่ สตรีเปื้อนเลือด - ตอนที่ 500 จิ้งจอกเจ้าเล่ห์ทั้งสอง
เมื่อได้ยินคำถามของอู่หลิวเฟิง เฝินเมี่ยเทียนก็ลอบแสยะยิ้มทันที เจ้าจิ้งจอกเจ้าเล่ห์นี่รับมือได้ยากจริง ๆ …
“ฮ่า ๆ ๆ ผู้นำเรือนเฟิงเสวี่ยเพียงลำพังไม่มีทางแย่งชิงสิ่งใดไปจากชวี่เอ๋อร์ได้หรอก ทว่าซวงเสวี่ยและพรรคพวกคนอื่น ๆ จากเรือนเฟิงเสวี่ยก็ติดตามมาด้วย แน่นอนว่าชวี่เอ๋อร์ไม่ใช่คู่มือของพวกเขา แม้ว่าจะมีคนจากหุบเขากรุ่นกำยานติดตามไปด้วยไม่น้อยเช่นกัน ทว่าผู้นำเรือนเฟิงเสวี่ยก็ยังใช้วิธีการชั่วร้ายและแย่งชิงวัตถุล้ำค่าชิ้นนั้นไปได้สำเร็จ”
เฝินเมี่ยเทียนกล่าวเบา ๆ วาจาของเขายังคงเป็นความจริงครึ่งและไม่จริงครึ่งเช่นเดิม
แน่นอนว่าอู่หลิวเฟิงไม่เชื่อคำพูดเหล่านั้นขณะยิ้มและกล่าวออกไป “ฮ่า ๆ ๆ ผู้นำเรือนเฟิงเสวี่ยผู้นั้นช่างน่าสนใจจริง ๆ ข้าอดชื่นชมไม่ได้เลย”
เมื่อได้ยินวาจาของอู่หลิวเฟิง สีหน้าของเฝินชวี่ก็เปลี่ยนไปเล็กน้อยและโทสะคุกรุ่นในใจ ในขณะเดียวกัน สีหน้าของเฝินเมี่ยเทียนยังคงราบเรียบไม่มีความเปลี่ยนแปลงใด อย่างไรก็ตาม แววตาของเขาฉายแววความโกรธเคืองขึ้นมาชั่วขณะก่อนที่มันจะหายไปอย่างรวดเร็ว
“ผู้นำนิกายอู่ วันนี้ที่ข้ามาหาท่านไม่ใช่เพื่อพูดคุยเรื่องนี้ ทว่าเราได้ยินข่าวที่น่าสนใจและต้องการหารือกับท่าน”
สีหน้าของเฝินเมี่ยเทียนในตอนนี้ยิ้มแย้มอย่างเป็นมิตรและกล่าวต่อ “เราเพิ่งได้ข่าวว่าผู้นำของเรือนเฟิงเสวี่ยเดินทางไปยังที่พักชั่วคราวของนิกายเพลิงแดงเดือด อีกทั้งผู้นำเรือนเฟิงเสวี่ยและนายน้อยนิกายเพลิงแดงเดือดก็ดูจะมีความสัมพันธ์ที่สนิทสนมต่อกันและพูดคุยกันอย่างมีความสุข หากข้าเดาไม่ผิด ทั้งสองขุมกำลังนั่นจะต้องแอบร่วมมือกันอย่างลับ ๆ และวางแผนทำอะไรสักอย่างในงานชุมนุมดินแดนเหนือที่จะมาถึงอย่างแน่นอน ด้วยการที่พวกเราทั้งสองเป็นหนึ่งในสามขุมกำลังใหญ่ แน่นอนว่าเมื่อทราบข่าวนี้ ข้าก็ไม่รอช้าและรีบเข้ามาหารือกับท่านด้วยตัวเอง”
อู่หลิวเฟิงประหลาดใจเล็กน้อยเมื่อได้ยินว่าเรือนเฟิงเสวี่ยและนิกายเพลิงแดงเดือดอาจร่วมมือกันอย่างลับ ๆ ทว่าเมื่อหันไปสบตากับอู่ถงและบุตรชายของตนพยักศีรษะเล็กน้อย เขาก็อดขมวดคิ้วด้วยความฉงนสงสัยไม่ได้
“ฮ่า ๆ ๆ พวกเราสามขุมกำลังใหญ่ของดินแดนทางเหนือดำรงอยู่มานานหลายปีและสถานการณ์คงที่มาโดยตลอด ทว่าหากนิกายเพลิงแดงเดือดและเรือนเฟิงเสวี่ยสมคบคิดกันจริง ท่านก็น่าจะจินตนาการได้ว่าผลที่เกิดขึ้นจะเป็นอย่างไร ผู้นำนิกายอู่เป็นคนชาญฉลาดและน่าจะไตร่ตรองได้ไม่ยาก”
เฝินเมี่ยเทียนกล่าวต่อ เขาไม่ระบุแผนการหรือความต้องการโดยตรงทว่าเพียงกล่าวออกไปเช่นนั้น
เมื่อได้ยินวาจาของเฝินเมี่ยเทียน อู่หลิวเฟิงยิ้มบาง ๆ และสีหน้ากลับเป็นปกติเช่นเดิมก่อนกล่าวอย่างไม่แสดงความรู้สึกใด “พวกเรานิกายอู่ซานและนิกายเพลิงแดงเดือดไม่เคยมีเรื่องบาดหมางกัน และพวกเราก็ไม่เคยมีปัญหากับเรือนเฟิงเสวี่ยเช่นกัน ยิ่งไปกว่านั้น การที่พวกเขาจะมีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกันก็มิได้ส่งผลใด ๆ กับเรา ข้าไม่เข้าใจความหมายของผู้นำเฝินเลยจริง ๆ”
แน่นอนว่าอู่หลิวเฟิงคาดเดาได้ว่าเฝินเมี่ยเทียนเดินทางมาถึงที่นี่เพื่ออะไร อย่างไรก็ตาม ในเมื่ออีกฝ่ายไม่กล่าวออกมาอย่างชัดเจน เขาก็ย่อมไม่เอ่ยจุดชนวนไปก่อน ผู้นำนิกายอู่ซานเพียงแสร้งแสดงท่าทีไม่รู้เรื่องรู้ราวและชะงักนิ่งไป เขาต้องการทราบว่าเฝินเมี่ยเทียนวางแผนไว้อย่างไรกันแน่
“ฮ่า ๆ ๆ เหตุใดผู้นำนิกายอู่จะต้องเสแสร้งทำเป็นไม่รู้เช่นนี้กันเล่า ?”
เฝินเมี่ยเทียนกล่าวพร้อมหัวเราะเบา ๆ “หากนิกายอู่ซานกล่าวว่าไม่เคยมีความคิดที่จะผนึกกำลังดินแดนทางเหนือ ข้าก็ไม่เชื่อแน่ การที่เรือนเฟิงเสวี่ยและนิกายเพลิงแดงเดือดร่วมมือกัน พวกเขาก็ย่อมมีแผนการเช่นนี้อยู่ ท่านน่าจะทราบว่าการรวมกำลังของสองขุมกำลังนั่นไม่เป็นผลดีต่อเรานัก ยิ่งไปกว่านั้น แม้ว่าพลังของขุมกำลังของเราทั้งสองจะไม่อ่อนแอ แต่มันก็ไม่ต่างจากนิกายเพลิงแดงเดือดมากนัก และแม้ว่าความแข็งแกร่งของผู้นำเรือนเฟิงเสวี่ยจะไม่ได้มากนัก ทว่านางก็เป็นช่างหลอมมากฝีมือ อีกทั้งศิษย์พี่ของนางก็เป็นถึงจอมยุทธ์ขอบเขตพสุธาเซียนขั้นกลางที่มีฝีมือแกร่งกล้า ในช่วงที่ผ่านมานี้ เรือนเฟิงเสวี่ยก็มียอดฝีมือเพิ่มขึ้นเป็นจำนวนมาก หากทั้งสองขุมกำลังร่วมมือกัน เห็นได้ชัดว่าพลังความแข็งแกร่งจะเพิ่มขึ้นมากเพียงใด”
เฝินเมี่ยเทียนกล่าววาจาอย่างตรงไปตรงมา ครานี้เขาพูดเข้าประเด็นและเริ่มไม่วกวนเหมือนก่อนอีกต่อไป
สามขุมกำลังระดับหนึ่งของพวกเขายืนหยัดในดินแดนทางเหนือมานาน หากกล่าวว่าพวกเขาไม่มีความคิดที่จะรวมดินแดนเหนือให้เป็นปึกแผ่นเดียวกัน มันก็เป็นไปไม่ได้อย่างแน่นอน เขาเพียงคาดเดาความคิดของผู้นำนิกายอู่ซานและเดินทางมาที่นี่ด้วยความต้องการที่จะร่วมมือกับนิกายอู่ซานเป็นการชั่วคราว
เมื่อได้ยินวาจาชัดเจนของผู้นำหุบเขากรุ่นกำยาน อู่หลิวเฟิงก็ยิ้มมุมปากเล็กน้อย
“ฮ่า ๆ ๆ ผู้นำเฝิน หากท่านมีความคิดใดก็กล่าวมาตรง ๆ เถอะ ไม่ต้องชักแม่น้ำทั้งห้าเช่นนี้ ไม่ต้องพูดอ้อมค้อมไปมา พวกเรามิใช่คนเขลา แน่นอนว่าเรามีความคิดเป็นของตัวเอง”
เมื่อได้ยินวาจาของอู่หลิวเฟิงที่ต้องการฟังแผนการของตน เฝินเมี่ยเทียนก็กล่าวตอบ “เอาล่ะ ในเมื่อท่านต้องการเช่นนั้น ข้าก็จะพูดตรง ๆ ก็แล้วกัน เรือนเฟิงเสวี่ยและนิกายเพลิงแดงเดือดร่วมมือกันแล้ว มีเพียงแค่การที่เราทั้งสองขุมกำลังร่วมมือกันเท่านั้นจึงจะมีจุดยืนที่ไร้เทียมทานได้ มันจะดีกว่าหากเราร่วมมือกันและตัดกำลังของพวกเขาให้อ่อนแอลงในงานชุมนุมดินแดนเหนือที่จะมาถึงนี้ เมื่อถึงตอนนั้น เราจะได้รวมดินแดนทางเหนือเข้าด้วยกันและก่อตั้งขุมกำลังใหม่ขึ้นมา หลังจากนั้น ขุมกำลังใหม่นี้ก็จะอยู่ภายใต้การปกครองร่วมกันของท่านกับข้า ข้าเชื่อว่าเราจะกลายเป็นขุมกำลังอันดับต้น ๆ ในดินแดนเทพมายาและสามารถรับมือกับขุมกำลังแกร่งกล้าจากภูมิภาคกลางได้อย่างแน่นอน !”
วาจาของเขาบ่งบอกความปรารถนาและแผนการอย่างชัดเจน การผนึกกำลังดินแดนทางเหนือจะต้องเกิดขึ้นในไม่ช้าก็เร็ว ถึงอย่างไรแล้วตลอดหลายปีที่ผ่านมานี้ เขาก็รู้สึกได้ถึงลางสังหรณ์ไม่ดีบางอย่าง หากสถานภาพปัจจุบันยังคงดำเนินต่อไป ดินแดนทางเหนือจะต้องกลายเป็นเหยื่อหมายเลขหนึ่งของสงครามที่จะมาถึง และจากการที่ดำรงอยู่ในดินแดนนี้มาเนิ่นนาน แน่นอนว่าเขาย่อมไม่ต้องการให้เหตุการณ์เช่นนั้นเกิดขึ้น
ยิ่งไปกว่านั้น ตราบใดที่ยังเป็นมนุษย์และมีหัวใจที่แกร่งกล้า ไม่มีผู้ใดต้องการตกเป็นหุ่นเชิดของผู้อื่นและอยู่นิ่งเฉยอย่างไร้ความก้าวหน้า เพราะเหตุนั้น นับตั้งแต่หุบเขากรุ่นกำยานเป็นหนึ่งในสามขุมกำลังใหญ่ของดินแดนทางเหนือ เฝินเมี่ยเทียนก็มีความคิดที่จะปกครองดินแดนทางเหนือมาโดยตลอดและหมายที่จะประชันฝีมือกับขุมกำลังแกร่งกล้าจากภูมิภาคกลางให้จงได้
อย่างไรก็ตาม ทั้งนิกายอู่ซานและนิกายเพลิงแดงเดือดมิใช่ขุมกำลังที่เขาจะพิชิตได้ง่ายนัก และการผนึกกำลังทั้งดินแดนทางเหนือก็ไม่ง่ายเลย เพราะเหตุนั้นแผนการที่เขาวางไว้จึงล่าช้ามาเรื่อย ๆ
บัดนี้หากสามารถใช้ประโยชน์จากนิกายอู่ซานเพื่อเป็นจุดเริ่มต้นในการผนึกกำลังดินแดนทางเหนือได้ หลังจากนั้น เขาก็จะหาโอกาสควบคุมนิกายอู่ซานให้อยู่ในกำมือและเขาจะกลายเป็นผู้ปกครองของดินแดนทางเหนืออย่างแท้จริง
ยิ่งไปกว่านั้น ตราบใดที่สองขุมกำลังของพวกเขาร่วมมือกัน การประจันหน้ากับฝ่ายนิกายเพลิงแดงเดือดและเรือนเฟิงเสวี่ยก็จะเกิดขึ้นอย่างมิอาจหลีกเลี่ยงได้ เมื่อเวลานั้นมาถึง เขาก็เพียงรอให้อู่หลิวเฟิงและฮั่วชิงซานต่อสู้กันจนบาดเจ็บไปทั้งสองฝ่าย จากนั้นเขาก็จะกลายเป็นเฒ่าประมงได้กำไรอย่างสบาย ๆ
*渔翁 ชาวประมง คนตกปลา มาจากสำนวน เฒ่าประมงตกปลา (เฒ่าประมงได้กำไร) ความหมายคือ คนที่ได้กำไรจากการมีปัญหากันของสองฝ่าย
ต้องกล่าวเลยว่าเฝินเมี่ยเทียนเป็นคนเจ้าเล่ห์จอมวางแผนอย่างยิ่งและเขาคำนวณทุกอย่างมาเป็นอย่างดีจนนำมาสู่แผนการที่แยบยลเช่นนี้
แต่ทว่า… อู่หลิวเฟิงก็ไม่ธรรมดาเช่นกัน การเป็นผู้นำนิกายของขุมกำลังที่เป็นคู่ต่อสู้กับเฝินเมี่ยเทียนมานานหลายปี แน่นอนว่าเขาเข้าใจความคิดของอีกฝ่ายเป็นอย่างดี
ยิ่งไปกว่านั้น ชื่อเสียงของหุบเขากรุ่นกำยานก็ไม่ดีนัก หากนิกายอู่ซานของพวกเขาตอบตกลงร่วมมือกับเฝินเมี่ยเทียน ภาพลักษณ์ที่พวกเขาสั่งสมมาตลอดจะได้รับผลกระทบอย่างมาก และนั่นมิใช่สิ่งที่อู่หลิวเฟิงอยากให้เกิดขึ้น
อย่างไรก็ตาม การร่วมมือกันระหว่างเรือนเฟิงเสวี่ยและนิกายเพลิงแดงเดือดเป็นข่าวที่ไม่น่าพอใจนักสำหรับพวกเขา หากทั้งสองขุมกำลังลงมือทำสิ่งใดจริง พวกเขาแต่ละขุมกำลังมิอาจตอบโต้ได้แน่
อู่หลิวเฟิงมีแผนการของตนเองและเขามีความคิดที่จะผนึกกำลังดินแดนทางเหนือเช่นกัน เพราะเหตุนั้น มันจึงเป็นไปไม่ได้ที่เขาจะอยู่เฉยและปล่อยให้ขุมกำลังใดเติบโตจนแข็งแกร่งเหนือกว่าเขา
“ฮ่า ๆ ๆ ความคิดของผู้นำเฝินดีทีเดียวและข้าคิดว่าคงไม่มีปัญหาใด อย่างไรก็ตาม การร่วมมือของสองขุมกำลังมิใช่เรื่องง่ายเลย ยังมีหลายสิ่งหลายอย่างที่เราต้องพิจารณาอย่างรอบคอบ เพราะเหตุนั้นข้าคงต้องขอเวลาสักหน่อย และข้าจะให้คำตอบกับท่านในงานชุมนุมดินแดนเหนือ”
ผู้นำนิกายอู่ซานยิ้มและกล่าวออกไป เขายังต้องใช้เวลาไตร่ตรองสถานการณ์และปัจจัยต่าง ๆ แน่นอนว่าเขาต้องเลือกสิ่งที่ดีที่สุดให้กับขุมกำลังของตน
ตลอดหลายปีที่ผ่านมานี้ ไม่ว่าเป็นการตัดสินใจเรื่องใดหรือเหตุการณ์ใดเกิดขึ้นในดินแดนทางเหนือ ภายใต้การตัดสินใจของอู่หลิวเฟิงนั้น นิกายอู่ซานก็ไม่เคยต้องเผชิญกับความสูญเสียใด ๆ และครานี้เขาก็ไม่ต้องการให้ขุมกำลังของตนต้องสูญเสียผลประโยชน์ใด ๆเช่นกัน
“ตกลง เช่นนั้นข้าจะรอฟังข่าวดีจากผู้นำนิกายอู่”
เฝินเมี่ยเทียนยิ้มอย่างเป็นมิตรและไม่กล่าวให้มากความ จากนั้นเขาก็ลุกขึ้นและเดินจากไป
“ท่านพ่อ ท่านคิดจะร่วมมือกับหุบเขากรุ่นกำยานจริง ๆ รึขอรับ ?”
อู่ถงมองบิดาอย่างลังเลใจและเอ่ยถามด้วยความสงสัย
“เหอะ เฝินเมี่ยเทียนเจ้าจิ้งจอกเจ้าเล่ห์นั่นพยายามยุยงปลุกปั่นเรา เขาต้องการให้เรือนเฟิงเสวี่ย นิกายเพลิงแดงเดือดและพวกเรานิกายอู่ซานห้ำหั่นกันจนตายไปข้างหนึ่ง ส่วนเขาก็จะอยู่เฉย ๆ และรับผลประโยชน์ไปดั่งเฒ่าประมงได้กำไร ข้าจะมองความคิดของเขาไม่ออกได้อย่างไรกัน !”
อู่หลิวเฟิงแค่นเสียงเย็นชาและกล่าวด้วยความชิงชังที่มีต่อผู้นำหุบเขากรุ่นกำยาน
“ถ้าเช่นนั้นเราจะทำอย่างไรต่อไป ?”
เมื่อเห็นสีหน้าของบิดา อู่ถงก็เอ่ยถามด้วยความงุนงงและสับสน
“ประการแรก เราต้องสืบข่าวคราวความเคลื่อนไหวของนิกายเพลิงแดงเดือนและเรือนเฟิงเสวี่ยเสียก่อน จากนั้นเจ้าต้องหาทางติดต่อกับผู้นำเรือนเฟิงเสวี่ย หากเป็นไปได้ จงหาทางให้ข้าได้พบกับนาง เมื่อถึงตอนนั้น ข้าจะตัดสินใจเองว่าเราจะทำอย่างไรต่อไป”
อู่หลิวเฟิงยกยิ้มมุมปากและวางแผนสิ่งต่าง ๆ อย่างรวดเร็ว เขาต้องการเห็นด้วยตาตัวเองก่อนว่าผู้นำเรือนเฟิงเสวี่ยเป็นอย่างไร และหากเป็นไปได้ เขาก็ไม่รังเกียจที่…..
ราวกับคาดเดาความคิดของบิดาได้ อู่ถงพยักศีรษะและเดินออกไปอย่างรวดเร็ว ทว่าเขาก็แอบรู้สึกโล่งใจอย่างยิ่ง
ในอีกฝั่งหนึ่ง แน่นอนว่าฉินอวี้โม่ก็ได้รับข่าวการพบกันของเฝินเมี่ยเทียนและอู่หลิวเฟิง
ตอนนี้นางและคนอื่น ๆ กำลังนั่งอยู่ในห้องโถงโดยมีฮั่วชิงซานนั่งอยู่ในบัลลังก์หลัก ฉินอวี้โม่นั่งอยู่ในตำแหน่งที่ต่ำกว่าเขาเล็กน้อยพร้อมด้วยรอยยิ้มบางประดับใบหน้า
“ฮ่า ๆ ๆ เจ้าเฝินเมี่ยเทียนเคลื่อนไหวเร็วจริง ๆ”
ฮั่วชิงซานกล่าวพร้อมยิ้มมุมปาก สีหน้าของเขายังคงเรียบเฉยไม่บ่งบอกถึงความรู้สึกใด
“แน่นอนว่าเขาไม่รอช้าแน่ ถึงอย่างไรการที่ขุมกำลังของเราทั้งสองร่วมมือกัน หุบเขากรุ่นกำยานก็ต้องรู้สึกถึงภัยคุกคามมากกว่าใคร ยิ่งไปกว่านั้น ตลอดหลายปีที่ผ่านมา หุบเขากรุ่นกำยานของเขาก็สร้างศัตรูไว้ทั่วทุกหนแห่ง หากเราสู้กันจริง มันไม่เกิดผลดีแน่ อีกอย่าง…เขาคงกลัวว่านิกายอู่ซานจะร่วมมือกับเรา ซึ่งเมื่อถึงตอนนั้น พวกเขาไม่มีโอกาสชนะแน่”
ฉินอวี้โม่ยิ้มอ่อนอย่างไม่บ่งบอกความรู้สึกเช่นกัน ในงานชุมนุมดินแดนเหนือครานี้ นางมุ่งมั่นที่จะเอาชนะให้ได้ นางและคนอื่น ๆ คาดเดาการเคลื่อนไหวของเฝินเมี่ยเทียนไว้ล่วงหน้าแล้ว เพียงแต่ตอนนี้ฉินอวี้โม่สงสัยใคร่รู้ยิ่งนักว่าอู่หลิวเฟิงจะตัดสินใจอย่างไร ?
“ฮ่า ๆ ๆ จากที่ข้ารู้จักอู่หลิวเฟิงมา เขาไม่มีทางตอบตกลงกับข้อเสนอของเฝินเมี่ยเทียนง่าย ๆแน่ ข้าเชื่อว่าเขาจะส่งคนมาหยั่งเชิงพวกเราก่อนที่จะตัดสินใจในท้ายที่สุด”
ฮั่วชิงซานยังคงกล่าวพร้อมรอยยิ้ม เขารู้จักอู่หลิวเฟิงดีพอสมควร
ความสัมพันธ์ระหว่างนิกายเพลิงแดงเดือดและนิกายอู่ซานไม่ได้เลวร้ายนัก พวกเขารู้จักนิสัยของกันและกันไม่น้อยเลย
ฉินอวี้โม่พยักศีรษะเบา ๆ ด้วยความเข้าใจ ตอนนี้นางเพียงตั้งตารอการเคลื่อนไหวต่อไปของอู่หลิวเฟิง…
.