คุณหนูสี่ สตรีเปื้อนเลือด - ตอนที่ 506 มาสู้กับข้าจะดีกว่า
เมื่อสัมผัสถึงสายตาของทุกคนที่มองมาที่ตนเป็นตาเดียว อู่หลิวเฟิงก็ขมวดคิ้วเล็กน้อย
แม้ว่าเขาจะตัดสินใจแล้ว แต่เขาก็ยังรู้สึกว่าทุกสายตาที่มองมาในตอนนี้สร้างแรงกดดันให้กับเขาไม่น้อย
เพราะผู้ที่ถูกเสนอรายชื่อในครานี้มีเพียงฉินอวี้โม่และเฝินเมี่ยเทียน เพราะฉะนั้นขุมกำลังของทั้งสองจึงไม่จำเป็นต้องแสดงความเห็นใด ๆ ออกมา
นิกายเพลิงแดงเดือดซึ่งเป็นหนึ่งในสามขุมกำลังใหญ่ได้ประกาศทัศนคติสนับสนุนเรือนเฟิงเสวี่ยแล้วและตอนนี้ทุกคนต่างก็ตั้งตารอคำตอบของนิกายอู่ซานของเขา หากนิกายอู่ซานสนับสนุนหุบเขากรุ่นกำยาน ผู้ได้รับการเสนอรายชื่อทั้งสองฝ่ายก็จะมีคะแนนเสียงที่เสมอกันและต้องใช้การแข่งขันต่อไปเพื่อตัดสินผู้ชนะ ทว่าหากนิกายอู่ซานสนับสนุนเรือนเฟิงเสวี่ย การแข่งขันเพื่อชิงตำแหน่งก็ไม่จำเป็นอีก ผู้นำของเรือนเฟิงเสวี่ยจะกลายเป็นผู้นำของดินแดนทางเหนือไปโดยปริยาย เมื่อถึงตอนนั้น ต่อให้เฝินเมี่ยเทียนคัดค้านหรือไม่เห็นด้วย มันก็ไร้ประโยชน์
เพราะเหตุนั้น การตัดสินใจของอู่หลิวเฟิงจึงสำคัญเป็นอย่างยิ่ง
“ฮ่า ๆ ๆ แม้ว่าสามขุมกำลังของเราเป็นเสาหลักและมีความแข็งแกร่งเป็นอันดับต้น ๆ ของดินแดนทางเหนือมาโดยตลอด ทว่าเราก็ต้องยอมรับว่าพวกเราแก่มากแล้ว ในอนาคตต่อไป ดินแดนเทพมายาจะต้องเป็นของคนรุ่นใหม่และการแข่งขันในภายภาคหน้าก็เป็นเรื่องของคนรุ่นหลังเหล่านั้นเช่นกัน”
หลังจากหยุดชั่วคราว อู่หลิวเฟิงก็กล่าวต่อ “ก่อนหน้านี้ที่ข้าได้ยินคำชื่นชมสรรเสริญผู้นำเรือนเฟิงเสวี่ยมามากมาย ข้าจึงสงสัยใคร่รู้อย่างยิ่งว่าแท้จริงแล้วผู้นำขุมกำลังใหม่นี้เป็นคนอย่างไรกันแน่ โชคดีที่ข้ามีโอกาสเชิญนางไปพบคราหนึ่งและหลังจากที่ได้สนทนาแลกเปลี่ยนความคิดกัน ข้าก็รู้สึกว่านางเป็นบุคคลที่มีอนาคตสดใสและมีศักยภาพที่ไร้ที่สิ้นสุด”
เมื่อได้ยินวาจาของอู่หลิวเฟิง เฝินเมี่ยเทียนก็รู้สึกได้ทันทีว่ามีบางอย่างผิดปกติ ไม่แปลกใจเลยที่อู่หลิวเฟิงไม่ตอบตกลงกับข้อเสนอของเขาก่อนหน้านี้ แท้ที่จริงแล้วผู้นำนิกายอู่ซานก็แอบติดต่อกับฉินอวี้โม่อย่างลับ ๆและตัดสินใจไปแล้ว
“ผู้นำเรือนเฟิงเสวี่ยทั้งอ่อนน้อมและสุภาพ อีกทั้งยังมีพรสวรรค์และพลังความแข็งแกร่งที่ชัดเจนอย่างไร้ข้อกังขา หากมีนางเป็นผู้นำทำหน้าที่ปกครองดินแดนทางเหนือ มันจะเป็นผลดีสำหรับเราทุกคนและก็เป็นสิ่งที่สมดั่งความคาดหวังของเรา ข้าเชื่อว่าหากมีนางเป็นผู้นำ ดินแดนทางเหนือของเราจะกลายเป็นขุมกำลังอันดับต้น ๆ ของดินแดนในไม่ช้าและเพียงพอที่จะเทียบชั้นกับสามขุมกำลังแกร่งกล้าของตัวแทนทั้งสามคนบนแท่นสูงนี่อย่างแน่นอน !”
อู่หลิวเฟิงจงใจกล่าวถึงคนทั้งสามบนแท่นยกสูง แท้ที่จริงเขาต้องการบอกทุกคนในที่นี้มิให้เห็นแก่ผลประโยชน์ส่วนตนและให้พวกเขาเหล่านั้นได้ตระหนักว่ายังมีอันตรายอีกหลายอย่างที่ผู้คนในดินแดนทางเหนือยังคาดไม่ถึงอยู่
ทุกคนมองไปที่อู่ซิง หลงจื้อและเซิ่งเซียวโดยอัตโนมัติ ในใจของพวกเขาทราบและเข้าใจดีว่าอู่หลิวเฟิงพยายามจะสื่ออะไร
ทว่าหลงจื้อและเซิ่งเซียวไม่คาดคิดว่าอู่หลิวเฟิงจะกล่าววาจาอย่างฉะฉานชัดเจนเช่นนี้ ทั้งสองขมวดคิ้วเล็กน้อยและร่องรอยของจิตสังหารแผ่ออกมาจากร่างของพวกเขา
ในทางกลับกัน สีหน้าของอู่ซิงในตอนนี้ราบเรียบไม่บ่งบอกถึงความรู้สึกใด ทว่าสายตาของเขาก็เลื่อนไปที่ฉินอวี้โม่และพยักศีรษะให้กับนางเบา ๆ
อู่ซิงทราบดีว่าฉินอวี้โม่เป็นเพียงคนเดียวที่เหมาะสมกับตำแหน่งผู้นำของดินแดนทางเหนือ ยิ่งไปกว่านั้น อีกไม่นานนางจะผนึกกำลังของดินแดนทางเหนือได้อย่างแน่นอน เมื่อถึงตอนนั้น นางจะสามารถก่อตั้งขุมกำลังที่ทัดเทียมกับพวกเขาได้และนั่นเป็นสิ่งที่ดีสำหรับเขาอย่างยิ่ง
แน่นอนว่าเขาไม่ต้องการแสดงท่าทีอย่างเด่นชัดเกินไป อีกทั้งไม่ต้องการให้หลงจื้อและเซิ่งเซียวทราบเรื่องนี้ เขาจึงจับตาดูการเปลี่ยนแปลงของสถานการณ์อย่างเงียบ ๆ ทว่าหากถึงคราวจำเป็นจริง ๆ เขาก็จะช่วยฉินอวี้โม่อย่างไม่ลังเล
“ฮ่า ๆ ๆ ในเมื่อผู้นำอู่ก็สนับสนุนผู้นำเรือนเฟิงเสวี่ย ฉะนั้น…”
อานเหยียนยิ้มและชำเลืองมองไปที่เฝินเมี่ยเทียน
ในวันนี้ ขุมกำลังส่วนใหญ่ในดินแดนทางเหนือต่างก็สนับสนุนให้ฉินอวี้โม่ขึ้นเป็นผู้ปกครองของดินแดนทางเหนือ และสองในสามขุมกำลังระดับหนึ่งก็ให้การสนับสนุนนางเช่นกัน ต่อให้เฝินเมี่ยเทียนคัดค้าน เขาก็ไม่มีทางเปลี่ยนแปลงผลลัพธ์นี้ได้
“ฮ่า ๆ ๆ แน่นอนว่าหุบเขากรุ่นกำยานของเราจะให้ความร่วมมือกับทุกคน !”
เฝินเมี่ยเทียนกล่าวพร้อมเสียงหัวเราะ ทว่าแววตาของเขาเปี่ยมด้วยความชั่วร้ายและจิตสังหารที่มิอาจปกปิด
เมื่อได้ยินวาจาของเฝินเมี่ยเทียน สีหน้าของเฝินชวี่ก็เปลี่ยนไปเล็กน้อยอย่างไม่ทราบว่าบิดากล่าวออกไปเช่นนั้นได้อย่างไร
“อย่างไรก็ตาม ดินแดนทางเหนือของเรามิใช่ดินแดนเล็ก ๆ และครอบคลุมพื้นที่อย่างน้อยหนึ่งในสิบส่วนของดินแดนเทพมายาทั้งหมด ขุมกำลังต่าง ๆ ในดินแดนทางเหนือก็ผสมปนเปกันและมีจุดยืนที่แตกต่างกัน ผู้ที่จะเป็นผู้ปกครองของดินแดนทางเหนือได้จะต้องมีพลังอำนาจและอิทธิพลที่แกร่งกล้าอย่างยิ่ง รวมถึงศักยภาพที่จะโน้มน้าวใจและทำให้ทุกคนเชื่อฟัง”
เขาหยุดชั่วคราวก่อนกล่าวต่อ “แน่นอนว่าข้าทราบดีว่าผู้นำเรือนเฟิงเสวี่ยมีพรสวรรค์ที่ไม่ธรรมดาซึ่งอาจถึงขั้นมีพรสวรรค์ที่อยู่ในระดับต้น ๆ ของดินแดนเทพมายา อย่างไรก็ตาม หากนางไม่แสดงให้เราทุกคนได้ประจักษ์ถึงความแข็งแกร่งของนาง มันก็ยากที่จะโน้มน้าวใจให้ทุกคนเชื่อมั่นได้ หากทุกคนไม่ยอมรับในการปกครองของนาง ข้าเกรงว่าการจัดการทุกอย่างในอนาคตก็คงจะไม่ง่ายนัก”
หลังจากกล่าวจบ เขาก็หันไปมองฉินอวี้โม่พร้อมรอยยิ้มยียวน “ผู้นำเรือนเฟิงเสวี่ย ไม่ทราบว่าสิ่งที่ข้ากล่าวไปสมเหตุสมผลหรือไม่?”
เมื่อได้ยินวาจาของอีกฝ่าย สีหน้าของฉินอวี้โม่ก็ไม่เปลี่ยนแปลงแม้แต่น้อย นางเพียงลุกขึ้นยืนพร้อมยิ้มบาง ๆ และกล่าวตอบโต้ “ฮ่า ๆ ๆ ผู้นำเฝินกล่าวถูกต้องแล้ว บอกตามตรง ข้าก็สนใจในตำแหน่งผู้ปกครองของดินแดนทางเหนือนี้มาก ทว่าการแสดงฝีมือให้ทุกคนได้เห็นก็เป็นสิ่งที่สำคัญ เพราะถึงอย่างไรในยุทธภพนี้ ใครมีกำปั้นที่ใหญ่กว่าย่อมเป็นผู้ที่ถูกต้อง ฉะนั้นแล้ว… ผู้นำเฝิน จะว่าอย่างไรหากข้าจะขอประชันฝีมือกับท่านสักหน่อย ?”
แรกเริ่มเดิมทีเมื่อได้ยินวาจาตรงไปตรงมาไม่อ้อมค้อมของฉินอวี้โม่ เฝินเมี่ยเทียนก็ชะงักไปเล็กน้อย ทว่าหลังจากนั้นเมื่อนางกล่าวท้าประลองกับเขาโดยตรง เขาก็ตกตะลึงไปทันทีและพยายามใช้ความคิดอย่างรวดเร็ว
ฉินอวี้โม่ผู้นี้ยโสโอหังยิ่งนักและนางคงจะมั่นใจทีเดียวถึงได้กล้าแสดงความยโสโอหังเช่นนี้ออกมา เขาไม่เชื่อว่าสตรีผู้นี้จะกล้าท้าสู้กับตนอย่างบุ่มบ่ามโดยที่ไม่ได้มีแผนการใดอยู่ในใจ
ถึงอย่างไรแล้วสตรีเยาว์วัยตรงหน้าก็มีพลังเพียงขอบเขตเซียนขั้นเก้าเท่านั้น การที่นางริอาจท้าทายเขาซึ่งมีพลังอยู่ในขอบเขตพสุธาเซียนขั้นสูงนั้นไม่ต่างไปจากการรนหาที่ตายเลย
“ฮ่า ๆ ๆ ฉินอวี้โม่ เจ้าคิดจะสู้กับพ่อของข้างั้นรึ ? เจ้าไม่อยากมีชีวิตอยู่แล้วรึอย่างไร ?”
เฝินชวี่อดหัวเราะอย่างสาแก่ใจไม่ได้และมองฉินอวี้โม่ด้วยสีหน้าท่าทางยียวน
เขาไม่คิดเลยว่าฉินอวี้โม่ผู้นี้จะกล้าหาญถึงขั้นริอาจท้าทายบิดาของเขาต่อหน้าทุกคนเช่นนี้ การกระทำของนางเป็นการรนหาที่ตายอย่างแท้จริง
หลงจื้อซึ่งอยู่บนแท่นยกสูงก็ชะงักไปเล็กน้อยเมื่อได้ยินชื่อ ‘ฉินอวี้โม่’ ชื่อนี้ฟังดูคุ้นหูอย่างยิ่งสำหรับเขา ทว่าเขาก็ยังนึกไม่ออกว่าเคยได้ยินมันจากที่ใด
หลงจื้อไม่ได้ยินชื่อของฉินอวี้โม่ในดินแดนเทพมายามานานหลายปี แม้มันจะฟังดูคุ้นหู ทว่าตอนนี้เขาก็ยังนึกไม่ออกและมิอาจตระหนักว่านี่คือฉินอวี้โม่ผู้เป็นเทพมายาคนใหม่ที่พวกเขาตามหามาตลอด
“หนวกหูชะมัด ข้าต้องการที่จะสู้กับพ่อของเจ้า มิใช่เจ้า หากว่าเจ้าไม่พอใจอะไรล่ะก็ มาสู้กับข้าเลยจะดีกว่า”
ฉินอวี้โม่เพียงชำเลืองมองเฝินชวี่ด้วยหางตาและกล่าวด้วยน้ำเสียงยั่วยุ นางเข้าใจลักษณะนิสัยของบิดาและบุตรชายจากหุบเขากรุ่นกำยานพอสมควร เมื่อเทียบกับบิดาที่ชั่วร้ายและเต็มไปด้วยเล่ห์เหลี่ยม เฝินชวี่เป็นคนที่อ่านง่ายกว่ามาก นอกจากความยโสโอหังและยกตนข่มผู้อื่น กล่าวได้เลยว่าเฝินชวี่ไม่มีลักษณะอื่นใดที่ชัดเจนอีกแล้ว
“เหอะ ไม่มีปัญหา ใครกันที่จะกลัวเจ้า !”
เฝินชวี่แค่นเสียงเย็นชา แม้ว่าพลังความแข็งแกร่งของเขาจะไม่มากเท่ากับผู้เป็นบิดา แต่เขาก็เป็นจอมยุทธ์ในขอบเขตพสุธาเซียนเช่นกัน แม้ว่าเขาเพิ่งทะลวงพลังมาได้ไม่นาน มันก็มิใช่ระดับที่พลังขอบเขตเซียนขั้นเก้าของนางจะรับมือได้
“ฮ่า ๆ ๆ ฉินอวี้โม่ เจ้ามีอสูรมายาระดับสูงหลายตัว หากเจ้าเรียกพวกมันออกมา ชวี่เอ๋อร์ก็คงจะไม่ใช่คู่มือของเจ้า ข้าจะเป็นคนประชันฝีมือกับเจ้าเอง”
เฝินเมี่ยเทียนยิ้มและกล่าวออกไป เขาตัดสินใจอย่างเด็ดขาดแล้ว
ฉินอวี้โม่อาจหาญถึงขั้นท้าทายเขาเช่นนี้ นางจะต้องมีบางอย่างที่เขาคาดไม่ถึงอย่างแน่นอน แท้จริงแล้วเขามิใช่คนที่ชื่นชอบความท้าทายหรือความเสี่ยง เพราะเหตุนั้นเขาจึงไม่ต้องการสู้กับนาง
ความแข็งแกร่งของเฝินชวี่ก็อยู่ในขอบเขตพสุธาเซียนเช่นกันและเขาไม่ถือว่าอ่อนแอเลย หากเผชิญหน้ากับฉินอวี้โม่ เขาก็น่าจะเป็นฝ่ายได้เปรียบ เฝินเมี่ยเทียนจงใจสั่งให้บุตรชายกล่าวหยั่งเชิงฉินอวี้โม่ ทว่าเขาก็ทราบดีว่าเฝินชวี่หวาดหวั่นต่ออสูรมายาจำนวนมากของอีกฝ่าย เขาจึงกล่าวเช่นนี้ออกไป
“แน่นอน ไม่มีปัญหา เดิมทีข้าก็เกรงว่าเฝินชวี่จะสู้ข้าได้ไม่ถึงสิบกระบวนท่าด้วยซ้ำ”
แน่นอนว่าฉินอวี้โม่ก็คาดเดาได้ถึงความคิดของเฝินเมี่ยเทียน ทว่าสายตาของนางยังคงมองไปที่เฝินชวี่อย่างยั่วยุต่อไป
นางมีแผนการของตนที่วางไว้ หากต้องประจันหน้ากับเฝินเมี่ยเทียน ต่อให้นางเรียกอสูรมายาของตนเองออกมา นางก็อาจจะเอาชนะเขาไม่ได้ อย่างไรก็ตาม หากคู่ต่อสู้คือเฝินชวี่ ทุกอย่างก็จะง่ายขึ้นมาก
และด้วยลักษณะนิสัยยโสโอหังและบุ่มบ่ามไม่ยั้งคิดของเฝินชวี่ รวมถึงความไม่ยอมคน ฉินอวี้โม่เชื่อว่าตราบใดที่กล่าววาจายั่วโทสะเขา เฝินชวี่จะถวายตัวมาให้กับนางเอง
“เหอะ ยโสโอหังนัก !”
เป็นจริงดังที่คิดไว้ สีหน้าของเฝินชวี่แสดงถึงความโกรธเกรี้ยวในทันที
“ฉินอวี้โม่ หากเจ้าแน่จริงก็อย่าใช้อสูรมายาและสู้กับข้าอย่างซึ่ง ๆ หน้า หากเจ้าเอาชนะข้าได้ ทุกคนในดินแดนเหนือจะไม่คัดค้านกับการขึ้นเป็นผู้นำของเจ้า พวกเราหุบเขากรุ่นกำยานก็จะสนับสนุนอย่างเต็มที่กับการที่เจ้าขึ้นเป็นผู้ปกครองของดินแดนทางเหนือ”
เฝินชวี่ยกนิ้วชี้ไปที่ฉินอวี้โม่อย่างโกรธเกรี้ยวทว่าหัวใจเปี่ยมไปด้วยจิตวิญญาณนักสู้ หากไม่มีอสูรมายาของฉินอวี้โม่ที่ทำให้เขาหวาดหวั่นใจ นางจะเป็นคู่ต่อสู้ของเขาได้อย่างไร !
แท้ที่จริงแล้ว เฝินชวี่ไม่คิดว่าฉินอวี้โม่เป็นคู่มือของตนเองเลย เขาคิดมาเสมอว่านางเพียงแค่อาศัยพลังของอสูรมายาและตัวนางมิได้มีความสามารถที่ยอดเยี่ยมแต่อย่างใด
“เฝินชวี่ ต่อให้ไม่มีอสูรมายา เจ้าก็ไม่มีทางรับมือกับข้าได้เกินสิบกระบวนท่าหรอก ข้าแนะนำให้เจ้าหลีกทางไปและปล่อยให้ข้าสู้กับพ่อของเจ้าจะดีกว่า”
ฉินอวี้โม่ชำเลืองมองเฝินเมี่ยเทียนด้วยท่าทางที่ไม่เห็นหัวเฝินชวี่แม้แต่น้อย แท้จริงแล้วนางต้องการให้ผู้นำหุบเขากรุ่นกำยานเอ่ยปากออกมาเองและต้องการให้เฝินเมี่ยเทียนหวั่นใจจนไม่กล้าสู้ด้วยตัวเอง
“ฮ่า ๆ ๆ ผู้นำเรือนเฟิงเสวี่ย ถึงแม้พลังความแข็งแกร่งของท่านจะไม่อ่อนแอก็ไม่ควรกล่าววาจาอวดอ้างอย่างไม่อายปากเช่นนี้ พลังของข้าเหนือกว่าท่านมาก หากข้าชนะ ผู้คนจะเอาไปพูดกันได้ว่าข้ารังแกเด็กจนทำให้ข้าเสื่อมเสีย ทว่าหากท่านแพ้ ทุกคนก็จะมองว่ามันเป็นเรื่องปกติ ฉะนั้นแล้วท่านสู้กับชวี่เอ๋อร์จะดีกว่า หากเอาชนะเขาได้ ข้าจะยอมรับท่านในฐานะผู้ปกครองของดินแดนทางเหนือ”
เฝินเมี่ยเทียนวิเคราะห์สถานการณ์ในใจอย่างรวดเร็วและตัดสินใจอย่างแน่วแน่ เขาต้องการให้เฝินชวี่ทดสอบฝีมือของฉินอวี้โม่ หากว่าเฝินชวี่สู้นางไม่ได้ เมื่อถึงคราวจำเป็น เขาก็ยังยื่นมือเข้าไปช่วยได้ ตราบใดที่ฉินอวี้โม่ตายไป ปัญหาทุกอย่างก็จะคลี่คลาย
เมื่อคิดได้เช่นนี้ มันก็ดีกว่าที่จะให้เฝินชวี่เป็นคนลงมือ
“ถ้าเป็นเช่นนั้น ข้าก็จะไม่เกรงใจอีกต่อไป”
ฉินอวี้โม่ยกยิ้มมุมปากและมองเฝินชวี่ด้วยรอยยิ้มเยาะเย้ย ในที่สุดชายแก่เฝินเมี่ยเทียนจอมเจ้าเล่ห์ก็ติดกับของนาง
น่าเสียดายที่ฉินอวี้โม่สวมผ้าคลุมบดบังใบหน้า เฝินเมี่ยเทียนและบุตรชายของเขาจึงไม่เห็นสีหน้าเยาะเย้ยของนางในตอนนี้
เฝินเมี่ยเทียนขยิบตาเป็นสัญญาณให้กับเฝินชวี่ และเมื่อเห็นเช่นนั้น เฝินชวี่ก็เข้าใจความหมายของบิดาทันทีและทราบว่าควรทำอย่างไร
จากนั้นทั้งสองฝ่ายก็มองหน้ากันขณะร่างของทั้งสองค่อย ๆ ลอยสูงขึ้นกลางอากาศเหนือแท่นยกสูง…
.