คุณหนูสี่ สตรีเปื้อนเลือด - ตอนที่ 507 จิตสังหารที่ซ่อนอยู่
แน่นอนว่าการประชันฝีมือระหว่างฉินอวี้โม่และเฝินชวี่ดึงดูดความสนใจของทุกคนจนมิอาจละสายตา
ผู้คนที่ไม่ทราบถึงความแข็งแกร่งของฉินอวี้โม่ต่างก็มีสีหน้าตื่นเต้นอย่างชัดเจน พวกเขาต้องการเห็นด้วยตาตัวเองว่าผู้นำเรือนเฟิงเสวี่ยที่เลื่องชื่อผู้นี้มีทักษะความสามารถอย่างไรถึงได้รับการเสนอชื่อจากคนมากมายให้เป็นผู้ปกครองของดินแดนทางเหนือนี้
สำหรับบรรดาสามขุมกำลังใหญ่ของดินแดนทางเหนือ นอกเหนือจากรอยยิ้มเยาะเย้ยและความมุ่งร้ายที่แผ่มาจากเฝินเมี่ยเทียนอย่างไม่ปิดบัง ปฏิกิริยาของอีกสองขุมกำลังก็แตกต่างกันออกไป
อู่หลิวเฟิงมองดูสถานการณ์ตรงหน้าด้วยท่าทีตื่นเต้นเล็กน้อย แม้เขาเลือกอยู่ฝ่ายเดียวกับฉินอวี้โม่ก่อนหน้านี้แล้ว ทว่าหากนางไม่มีศักยภาพและความสามารถพอที่จะสร้างความเชื่อมั่นให้กับเขาได้ มันก็ยากที่เขาจะยอมรับได้อย่างสนิทใจ
สำหรับอู่ถง เขาก็ขมวดคิ้วเล็กน้อยและมีสีหน้ากังวลเล็ก ๆ ที่ยากจะสังเกตเห็น มิอาจทราบได้ว่าเขากำลังคิดสิ่งใด
อันที่จริง เขารู้สึกประทับใจในตัวฉินอวี้โม่มากและไม่ต้องการเห็นเรื่องร้ายใด ๆ เกิดขึ้นกับนาง แม้ทราบดีว่าสตรีโฉมงามผู้นี้มีพลังความแข็งแกร่งที่ไม่ธรรมดา แต่เขาก็ยังกังวลเล็กน้อย ทว่าก็ปกปิดมันไว้ได้อย่างแนบเนียนในระดับหนึ่ง
ใบหน้าของฮั่วชิงซานในตอนนี้ก็แสดงถึงความกังวลเล็กน้อยเช่นกัน ทว่าเมื่อหันไปเห็นสีหน้าสงบใจเย็นของทุกคนจากเรือนเฟิงเสวี่ย เขาก็รู้สึกโล่งใจลงได้
แม้ได้รู้จักกันเพียงไม่นาน เขาก็ตระหนักว่าฉินอวี้โม่เป็นคนอย่างไร หากปราศจากความมั่นใจในตัวเองอย่างเต็มเปี่ยม นางไม่มีทางอาจหาญจนทำเช่นนี้แน่ ด้วยเหตุนั้น ความกังวลเดิมของเขาจึงแปรเปลี่ยนกลายเป็นความสงสัยและใคร่รู้ อยากรู้นักว่าความแข็งแกร่งของแม่นางผู้นี้จะเป็นอย่างไรกันแน่ ?
สีหน้าท่าทางของฮั่วหลินดูใจเย็นเช่นกันและเขาเชื่อมั่นในความสามารถของฉินอวี้โม่พอสมควร ยิ่งไปกว่านั้น ถึงแม้เฝินชวี่จะเป็นถึงจอมยุทธ์ในขอบเขตพสุธาเซียน แต่ประสบการณ์การต่อสู้ของเขาก็น้อยนิดนักและก็มิได้แข็งแกร่งอย่างที่ควรจะเป็น หากเกิดการต่อสู้กันจริง ๆ มันก็ยากที่เขาจะเป็นฝ่ายได้เปรียบ
อากัปกิริยาและแววตาของทุกคนจากฝ่ายเรือนเฟิงเสวี่ยสงบราบเรียบไม่มีความเปลี่ยนแปลงใด ๆ พวกเขาทราบถึงความแข็งแกร่งของผู้นำคนใหม่เป็นอย่างดีและมั่นใจว่าเฝินชวี่มิใช่คู่ต่อสู้ของนางเลย ฉะนั้นพวกเขาจึงไม่มีความกังวลเลยสักนิดว่าฉินอวี้โม่จะเพลี่ยงพล้ำหรือพ่ายแพ้ไป
อย่างไรก็ตาม สายตาของซวงเสวี่ยเลื่อนไปหยุดที่เฝินเมี่ยเทียนและกระซิบกระซาบเบา ๆ “ท่านฉินเฟิง เหมาซาน เราต้องจับตาดูเฝินเมี่ยเทียนไว้ เขาเป็นบุคคลที่มีจิตใจชั่วช้าและเจ้าเล่ห์จอมแผนการ พวกเราไม่สามารถหวังศีลธรรมหรือความซื่อสัตย์จากคนอย่างเขาได้”
ฉินเฟิงพยักศีรษะเบา ๆ แม้ไม่มีคำเตือนจากซวงเสวี่ย เขาก็คิดที่จะจับตาดูผู้นำหุบเขากรุ่นกำยานอย่างไม่ละสายตาอยู่แล้ว
“ท่านหมายความว่า…”
เมื่อเหมาซานได้ยินวาจาของซวงเสวี่ย เขาก็มองไปที่เฝินเมี่ยเทียนโดยอัตโนมัติก่อนพยักหน้าหงึกหงักขณะตระหนักถึงบางอย่างขึ้นมาได้
กลางอากาศเหนือลานจัตุรัส ฉินอวี้โม่และเฝินชวี่ทรงตัวยืนตรงข้ามกัน
ใบหน้าของเฝินชวี่แสดงถึงความอาฆาตมุ่งร้ายอย่างชัดเจนและไม่พยายามปกปิดมันแม้แต่น้อย ในทางกลับกัน สีหน้าและแววตาของฉินอวี้โม่เรียบเฉยไม่เปลี่ยนแปลง
ฉินอวี้โม่ไม่ได้เห็นเฝินชวี่ผู้นี้อยู่ในสายตาเลยสักนิด ยิ่งไปกว่านั้น นางก็มีแผนการของตนเองและรอเพียงโอกาสจังหวะที่เหมาะสมเท่านั้น
“ฉินอวี้โม่ เจ้ากระทำการท้าทายและยั่วยุหุบเขากรุ่นกำยานของเรามาหลายครั้งหลายครา ดังนั้นวันนี้อย่าหาว่าข้าโหดร้ายเกินไปก็แล้วกัน !”
เฝินชวี่กล่าวอย่างเย็นชา ตอนนี้หอกเล่มหนึ่งปรากฏขึ้นในมือของเขาแล้วพร้อมกับแรงกดดันอันทรงพลังที่แผ่ออกมา
จากนั้นเขาก็เริ่มเรียกอสูรมายาคู่กายออกมา—หมาป่าตาขาวระดับเซียนขั้นเก้า
“เจ้าอย่าลืมล่ะ เจ้ากล่าวไว้แล้วว่าจะไม่เรียกอสูรมายาออกมา”
ขณะยิ้มยียวนให้กับฉินอวี้โม่ น้ำเสียงของเฝินชวี่เปี่ยมไปด้วยความพึงพอใจ ในเมื่อฉินอวี้โม่รับปากแล้วว่าจะไม่เรียกอสูรมายาของตนออกมา แน่นอนว่าเขาก็ไม่ลังเลที่จะใช้ประโยชน์จากสิ่งนี้
“ต่ำช้ายิ่งนัก จอมยุทธ์ขอบเขตพสุธาเซียนสู้กับจอมยุทธ์ขอบเขตเซียนขั้นเก้า อีกทั้งยังเป็นการประจันหน้าระหว่างบุรุษและสตรี ทว่าเฝินชวี่ก็ยังคิดใช้วิธีการต่ำทรามในการเอาเปรียบอีกฝ่ายเช่นนี้อีก ช่างไร้ยางอายยิ่งนัก !”
เมื่อเห็นการกระทำของเฝินชวี่ ใครบางคนก็อดกล่าวออกไปไม่ได้ การกระทำเช่นนี้ช่างต่ำทรามและน่าอับอายขายหน้าเป็นที่สุด
ก่อนหน้านี้พวกเขาคาดว่าเฝินชวี่จะทำเช่นเดียวกับฉินอวี้โม่และไม่เรียกอสูรมายาออกมา ไม่คิดเลยว่าเขาจะเรียกอสูรของตนออกมาอย่างหน้าตาเฉยเช่นนี้ เขาไม่ต่างจากคนชั่วที่มีแต่ความทะเยอทะยานและการกระทำของเขาก็สร้างความเสื่อมเสียน่าอับอายต่อทั้งหุบเขากรุ่นกำยานอย่างแท้จริง
“ฮ่า ๆ ๆ ข้าเคยได้ยินว่าหุบเขากรุ่นกำยานไม่ใช่ขุมกำลังที่มีศีลธรรมนัก ทว่าข้าก็ไม่เคยปักใจเชื่อ เมื่อได้เห็นการกระทำของเฝินชวี่ในวันนี้ ข้าตระหนักแล้วว่าหุบเขากรุ่นกำยานเป็นขุมกำลังที่เลวร้ายและไร้ศีลธรรมอย่างแท้จริง โชคดีที่มีคนปรามข้าไว้มิให้เข้าร่วมกับหุบเขากรุ่นกำยาน ไม่เช่นนั้นข้าคงรู้สึกผิดไปจนตาย”
บุรุษอีกคนกล่าวอย่างดูหมิ่นซึ่งแสดงถึงความรู้สึกที่เขามีต่อการกระทำของเฝินชวี่อย่างชัดเจน
ในดินแดนเทพมายา ผู้ที่แข็งแกร่งคือผู้ที่ได้รับความเคารพและพวกเขาทุกคนก็นับถือชื่นชมผู้ที่แกร่งกล้ามากฝีมือ อย่างไรก็ตาม นั่นมิได้หมายความว่าพวกเขาจะชื่นชอบและเห็นด้วยกับพฤติกรรมการรังแกผู้อ่อนแอเช่นนี้
การกระทำและพฤติกรรมของฉินอวี้โม่ก่อนหน้านี้ทำให้พวกเขาประทับใจในตัวนาง ทว่าตอนนี้เฝินชวี่ที่เป็นจอมยุทธ์ในขอบเขตพสุธาเซียนที่เผชิญหน้ากับฉินอวี้โม่ซึ่งมีพลังในขอบเขตเซียนขั้นเก้านั้น เห็นได้ชัดว่าเขาเป็นฝ่ายได้เปรียบกว่า ทว่าเขาก็ยังใช้วิธีการที่หน้าไม่อายเช่นนี้ แน่นอนว่ามันทำให้ทุกคนไม่เห็นด้วยและไม่พอใจอย่างที่สุด
ในฐานะนายน้อยแห่งหุบเขากรุ่นกำยาน วาจาและการกระทำทุกอย่างของเฝินชวี่ถือว่าเป็นตัวแทนภาพลักษณ์ของทั้งหุบเขากรุ่นกำยาน แน่นอนว่าการประพฤติตัวเช่นนี้ของเขานำพาความเสื่อมเสียและความอัปยศอดสูมาสู่หุบเขากรุ่นกำยานเช่นกัน
เมื่อเฝินเมี่ยเทียนได้ยินเสียงหารือของผู้คนรอบตัว ใบหน้าของเขาก็แดงก่ำด้วยโทสะทว่าไม่ได้กล่าวสิ่งใดออกไป
เขาไม่สนใจว่าบุตรชายของตนจะเลือกใช้วิธีการใด ตราบใดที่ได้สั่งสอนฉินอวี้โม่อย่างสาสมและได้เป็นผู้ปกครองของดินแดนทางเหนือ เขาก็ไม่รังเกียจที่จะใช้วิธีการที่ชั่วร้ายและไร้ยางอาย
ยิ่งไปกว่านั้น เขาวางแผนไว้ในใจแล้ว หากบุตรชายของตนพ่ายแพ้ให้กับฉินอวี้โม่ เขาก็ไม่ขัดข้องที่จะยื่นมือเข้าไปช่วยอย่างลับ ๆ กล่าวคือในการประจันหน้าครานี้ ไม่ว่าอย่างไรเขาก็จะต้องสังหารฉินอวี้โม่ให้จงได้
“ฮ่า ๆ ๆ หุบเขากรุ่นกำยานช่างเป็นขุมกำลังที่ไร้ยางอายจริง ๆ”
ฮั่วชิงซานยิ้มและกล่าววาจาเสียดสีอย่างไม่ไว้หน้า เขาเป็นคนตรงไปตรงมาเสมอ แม้เขามีแผนการกลยุทธ์ของตน เขาก็ไม่มีทางใช้มันในสถานการณ์เช่นนี้ สำหรับสิ่งที่เฝินเมี่ยเทียนและเฝินชวี่ทำ แน่นอนว่ามันน่ารังเกียจอย่างที่สุด
“ไม่แปลกใจเลยที่พวกเขาสามารถครองอันดับหนึ่งในสามขุมกำลังของเรามาโดยตลอด ดูเหมือนว่าความไร้ยางอายของพวกเขาก็ถือเป็นอาวุธพิเศษที่ช่วยในการเอาชนะผู้อื่น”
ฮั่วหลินยิ้มและกล่าวเย้ยหยันทว่าในใจของเขายังคงไม่มีความกังวลใด ๆ เขาเชื่อมั่นว่าเพียงอสูรมายาตัวเดียวไม่มีทางที่จะคุกคามฉินอวี้โม่ได้อย่างแน่นอน
ฉินอวี้โม่ซึ่งทรงตัวกลางอากาศยังคงมีใบหน้าสงบนิ่งไม่เปลี่ยนแปลง เพียงอสูรเซียนขั้นเก้าตัวเดียว นางไม่ได้ใส่ใจแม้แต่น้อย
“นายน้อยเฝินชวี่ พร้อมรึยัง ?”
แววตาที่ฉินอวี้โม่มองเฝินชวี่เต็มไปด้วยความยั่วยุและการดูหมิ่น
“เหอะ ยโสโอหังไปเถอะ ข้าอยากเห็นนักว่าเพียงแค่พลังขอบเขตเซียนขั้นเก้าจะสู้กับพลังที่รวมกันของเราได้ยังไง ?!”
เมื่อเฝินชวี่มองเห็นสีหน้าที่เรียบเฉยไม่แยแสของฉินอวี้โม่ ไม่ทราบเช่นกันว่าเพราะเหตุใด จู่ ๆ ความกังวลก็ก่อตัวในหัวใจของเขาอย่างไร้ที่มา อย่างไรก็ตาม เขาแค่นเสียงเย็นชาและกล่าวออกไปซึ่งเป็นการเสริมความมั่นใจของตนเองมิให้คิดมากเกินไป
“ตามที่ปรารถนา ข้าจะแสดงให้เจ้าได้เห็น”
ฉินอวี้โม่ยิ้มบางๆ ขณะกระบี่ปีกจักจั่นเบาหวิวลอยตัวขึ้นมาอยู่ตรงหน้านาง
ในขณะเดียวกัน จู่ ๆ ทั้งร่างของนางก็ถูกห่อหุ้มโดยเพลิงลุกโชนที่กลายเป็นเกราะสีแดงเพลิงงดงาม แม้ว่าสวมผ้าคลุมบดบังใบหน้า ทว่ากลิ่นอายที่แผ่มาจากร่างของฉินอวี้โม่ก็ยังดึงดูดสายตาของทุกคนอย่างมิอาจเลี่ยงได้
“ผู้นำของเรือนเฟิงเสวี่ยช่างเป็นบุคคลที่น่าอัศจรรย์จริง ๆ การที่สามารถใช้เพลิงเป็นเกราะป้องกันแสดงให้เห็นว่านางและเพลิงของนางบรรลุระดับของการผสมผสานเป็นหนึ่งเดียวกันอย่างสมบูรณ์แล้ว”
บนแท่นยกสูง เซิ่งเซียวอดกล่าวออกมาไม่ได้ แววตาของเขาในตอนนี้เต็มไปด้วยความสงสัยใคร่รู้เกี่ยวกับตัวตนของคนผู้นี้ ฉินอวี้โม่สร้างความประหลาดใจให้เขาเป็นอย่างมาก เรียกได้ว่าในดินแดนเทพมายาแห่งนี้ เขาไม่ได้พบบุคคลที่น่าสนใจเช่นนี้มานานแล้ว
“เป็นจริงอย่างที่ว่า นางเป็นคนที่น่าสนใจจริง ๆ เพียงแต่ข้าไม่รู้ว่านางมาจากที่ใด”
หลงจื้อพยักศีรษะเห็นด้วยเช่นกัน เวลานี้ใบหน้างดงามของสตรีนางหนึ่งผุดขึ้นในความคิดของเขา สตรีทั้งสองคนมีความโอหังที่เหมือนกันไม่มีผิด !
อย่างไรก็ตาม สตรีตรงหน้าเขาในตอนนี้น่าจะมิใช่คนผู้นั้น เนื่องจากครานั้นที่พบกัน สตรีผู้นั้นยังคงอ่อนแออยู่มากและตอนนี้เวลาก็ผ่านมาเพียงแค่ไม่กี่ปีเท่านั้น เป็นไปไม่ได้เลยที่คนผู้นั้นจะพัฒนาจนมีความแข็งแกร่งถึงระดับนี้ได้
เขาสลัดข้อสันนิษฐานในใจทิ้งไป ทว่าหลงจื้อไม่มีทางทราบเลยว่าหลังจากนี้เขาจะรู้สึกผิดเพียงใดเมื่อมารู้ว่าฉินอวี้โม่ผู้นี้คือสตรีคนเดียวกันกับที่เขาตามหามาโดยตลอด
อู่ซิงเพียงหัวเราะเบา ๆ และไม่กล่าวสิ่งใด ทว่าหัวใจของเขาเย้ยหยันในความโง่เขลาเบาปัญญาของหลงจื้อ อย่างไรก็ตาม แน่นอนว่าเขาไม่มีทางที่จะเปิดเผยตัวตนของฉินอวี้โม่ออกไป
เขามองฉินอวี้โม่ด้วยความสงสัยใคร่รู้ อู่ซิงเองก็ข้องใจยิ่งนักว่าฉินอวี้โม่พัฒนาไปมากเพียงใดตลอดหลายปีที่ผ่านมานี้
“หอกวายุ—วายุกระหน่ำแทง !”
เฝินชวี่ซึ่งอยู่กลางอากาศตะโกนกร้าวออกมา หอกในมือของเขาหมุนวนกลายเป็นพายุหมุนและแทงตรงไปยังฉินอวี้โม่
“โฮกกก !”
อสูรหมาป่าข้างกายเขาก็รับคำสั่งจากผู้เป็นนายเช่นกัน มันส่งเสียงคำรามดังขณะพุ่งตรงเข้าจู่โจมฉินอวี้โม่โดยตรง
“ไสหัวไปซะ !”
สีหน้าของฉินอวี้โม่ไม่เปลี่ยนแปลงแม้แต่น้อย นางเพียงยกยิ้มมุมปากและตะโกนออกไป กระบี่ปีกจักจั่นในตอนนี้กลายเป็นเหมือนกระบี่เล่มยักษ์ที่สนั่นสะเทือนทั้งท้องฟ้าและพุ่งเข้าปะทะกับหอกดุจพายุหมุนของอีกฝ่าย
ตู้มมม !
พลังที่แกร่งกล้าของทั้งสองฝ่ายปะทะกันกลางอากาศจนเกิดเสียงดังสนั่นขึ้นมา สายตาของผู้คนที่มองอยู่ต่างก็ชะงักค้างไป พลังจากทั้งสองฝ่ายที่ปะทะกันเมื่อครู่น่าหวาดหวั่นไม่น้อยเลย
เมื่อเงยหน้าขึ้นมอง ผู้คนก็พบว่าหมาป่ายักษ์ของเฝินชวี่ได้อ้อมตัวไปข้างหลังฉินอวี้โม่แล้ว ขณะนี้ก้อนแสงขนาดใหญ่ปรากฏในปากของมันก่อนที่จะปลดปล่อยตรงไปยังร่างของฉินอวี้โม่ทันที
การปะทะเมื่อครู่แสดงให้เห็นว่าฉินอวี้โม่กำลังติดพันอยู่กับเฝินชวี่และไม่มีเวลาที่จะรับมือกับอสูรหมาป่าร่างยักษ์ เมื่อเห็นก้อนแสงพุ่งตรงเข้าหาร่างของนาง สีหน้าของทุกคนจึงเหยเกและแววตาบ่งบอกถึงความกังวลทันที
“ไม่นะ ผู้นำเรือนเฟิงเสวี่ยตายไปแล้วรึ ?!”
ใครคนหนึ่งมองเห็นการระเบิดของแสงจ้าและฉินอวี้โม่ที่อยู่กลางอากาศก็หายไปอย่างไร้ร่องรอย ยิ่งไปกว่านั้น เขาก็มิอาจสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายของนางและอดโพล่งออกไปไม่ได้ !
“เป็นไปไม่ได้ หากผู้นำของเรือนเฟิงเสวี่ยอ่อนแอถึงขั้นนั้น ผู้แกร่งกล้าน่ายกย่องอย่างซวงเสวี่ยและเหมาซานจะยอมรับนางเป็นผู้นำได้อย่างไร !”
บุรุษอีกคนหนึ่งซึ่งยังคงมีสติได้กล่าวออกไปในขณะที่สายตาของเขากวาดมองไปทั่วอากาศด้วยหวังว่าจะพบเบาะแสของฉินอวี้โม่ ทว่าหลังจากมองไปรอบ ๆ และไม่พบสิ่งใด สีหน้าของเขาก็เริ่มหม่นลง นี่ข้าคิดผิดไปหรือนี่ ?
เมื่อเฝินชวี่มองเห็นว่าการโจมตีของอสูรมายาคู่กายพุ่งตรงเข้าใส่ฉินอวี้โม่และทำให้นางดับสลายไปในชั่วพริบตา รอยยิ้มอิ่มอกอิ่มใจก็ปรากฏบนใบหน้าของเขา
“ฮ่า ๆ ๆ ฉินอวี้โม่ ไม่ว่าเจ้าจะทรงพลังเพียงใด เจ้าก็ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของข้าอยู่ดี !”
เฝินชวี่หัวเราะอย่างบ้าคลั่งและสีหน้าแสดงความพึงพอใจอย่างชัดเจน
“เจ้าโง่เอ๋ย ข้าไม่รู้จริง ๆ ว่าเจ้าไปเอาความมั่นใจมาจากที่ใด…”
เสียงหนึ่งดังขึ้นในหูของทุกคน สายตาของบรรดาผู้ชมก็มองไปยังทิศทางต้นเสียงโดยอัตโนมัติและเห็นภาพที่น่าตกตะลึง
.