คุณหนูสี่ สตรีเปื้อนเลือด - ตอนที่ 512 ความแข็งแกร่งของเสี่ยวโร่ว
เมื่อเห็นสีหน้าที่เจื่อนลงเล็กน้อยของอู่ซิง ฉินอวี้โม่ก็คาดเดาได้แล้วว่าเขาน่าจะยังไม่ได้ข่าวคราวเรื่องมารดาของนาง
“ท่านยังไม่ได้พบเบาะแสเกี่ยวกับท่านแม่ของข้าเลยรึ?”
นางไม่รอช้าและเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงที่ค่อนข้างมั่นใจในคำตอบ
อู่ซิงเพียงพยักศีรษะและกล่าวอย่างจนปัญญา “เราส่งแทบจะทุกคนออกไปสืบหาข่าวคราวแล้ว ทว่าก็ยังไม่ได้ข่าวเพิ่มเติมเกี่ยวกับมารดาของท่านเลย เว้นเพียงแต่ทราบว่าครั้งนั้นนางถูกจับตัวไปโดยคนจากฝ่ายมารและหลังจากนั้นก็หายตัวไปอย่างไร้ร่องรอยนั้น พวกเราก็ไม่ได้รับข่าวใดๆอีกเลย”
ตลอดหลายปีที่ผ่านมา พวกเขาพยายามสืบหาข่าวคราวของอวี๋เสี่ยวอวิ๋นอย่างลับๆมาโดยตลอด ทว่าไม่ได้รับเบาะแสที่เป็นประโยชน์ใดๆ พวกเขาทราบเพียงว่าอวี๋เสี่ยวอวิ๋นถูกคนจากฝ่ายมารจับตัวไปในอดีตและพยายามสืบหาต่อจากเบาะแสนี้ ทว่าก็ยังไม่เคยพบข้อพิสูจน์ใดๆ
“เอาล่ะ ข้าเข้าใจแล้ว ขอบคุณท่านมาก”
ฉินอวี้โม่พยักศีรษะและกล่าวด้วยสีหน้าที่ไม่เปลี่ยนแปลง
นางคาดการณ์เรื่องนี้ไว้ล่วงหน้าแลัว เพราะเหตุนั้นนางจึงไม่ประหลาดใจเมื่อได้ฟังคำยืนยันจากอู่ซิง
นางเชื่อว่ามารดาของตนไม่ได้อยู่กับฝ่ายมารและไม่ได้อยู่ในการควบคุมของขุมกำลังอย่างนิกายหงส์มังกร เพราะหากอวี๋เสี่ยวอวิ๋นอยู่ในเงื้อมมือของคนเหล่านั้นจริง พวกเขาคงจะใช้มารดาของนางเป็นเครื่องมือเพื่อข่มขู่นางมานานแล้ว
อย่างไรก็ตาม ต่อให้อวี๋เสี่ยวอวิ๋นจะไม่ได้อยู่ในเงื้อมมือของคนพวกนั้น การหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอยของนางก็ต้องเกี่ยวข้องกับฝ่ายมารและนิกายหงส์มังกรอย่างแน่นอน หากต้องการตามหามารดาให้พบ ฉินอวี้โม่ก็ต้องเริ่มจากการสืบหากับฝ่ายมารก่อน
“ตอนนี้พลังอำนาจของฝ่ายมารอยู่เหนือกว่าสิ่งที่เราจะรับมือได้ เพราะเหตุนั้น แม้ทราบว่าเราจะได้เบาะแสเพิ่มเติมเกี่ยวกับมารดาของท่านจากคนพวกนั้น เราก็ไม่มั่นใจนักและไม่กล้าที่จะใจร้อนบุ่มบ่ามไป ข้าเชื่อว่าท่านก็คงจะเข้าใจเรื่องนี้ดี”
อู่ซิงกล่าวต่อ อันที่จริงเขาต้องการย้ำเตือนฉินอวี้โม่เป็นนัยๆมิให้ตัดสินใจกระทำสิ่งใดอย่างบุ่มบ่ามไม่ยั้งคิด ขุมกำลังมารร้ายทรงพลังอย่างยิ่งและมิใช่เป็นขุมกำลังที่พวกเขาจะสามารถรับมือได้ในตอนนี้ ยิ่งไปกว่านั้นยังมีขุมกำลังชั่วร้ายอย่างนิกายหงส์มังกรที่คอยจับตาดูอยู่ไม่ห่าง พวกเขาจะกระทำการใดโดยที่ไม่คิดหน้าคิดหลังไม่ได้
“ไม่ต้องห่วง ข้าเข้าใจดี”
ฉินอวี้โม่กล่าวพร้อมรอยยิ้ม นางเข้าใจดีว่าควรหรือไม่ควรทำอะไร ตอนนี้นางต้องพัฒนาความแข็งแกร่งของดินแดนทางเหนือให้ทรงพลังมากขึ้น จากนั้นก็ต้องหาทางพัฒนาพลังของตนเองให้บรรลุถึงขอบเขตพสุธาเซียน พลังของนางติดชะงักอยู่ที่ขอบเขตเซียนขั้นเก้ามานานเกินไปแล้ว หากนางทะลวงพลังไปไม่ได้ อสูรมายาของนางก็มิอาจวิวัฒนาการได้เช่นกัน เมื่อถึงคราวจำเป็น หากต้องเผชิญหน้ากับศัตรูที่ทรงพลัง นางก็อาจตกอยู่ในสถานการณ์อันตรายได้
จากนั้นอู่ซิงก็เล่าสถานการณ์โดยรวมทั่วไปของดินแดนเทพมายาให้ฉินอวี้โม่ได้ทราบและนางก็ขอให้เขาช่วยสืบข่าวเกี่ยวกับบิดาและคณะสหายทั้งหลายของตนที่มาจากดินแดนอ้างว้างเช่นกัน
แน่นอนว่าอู่ซิงตกปากรับคำโดยไม่ขัดข้องก่อนลุกขึ้นและกล่าวอำลา
เขาต้องการกลับไปแจ้งข่าวที่น่าตื่นเต้นนี้ให้สหายในนครล่าฝันได้ทราบว่าฉินอวี้โม่มาถึงที่ดินแดนเทพมายาแห่งนี้แล้วและผนึกกำลังดินแดนทางเหนือได้สำเร็จเพื่อที่พวกเขาเหล่านั้นจะได้ไม่ต้องกังวลสิ่งใด
ฉินอวี้โม่ก็ไม่ลืมที่จะบอกให้อู่ซิงเตือนสหายในนครล่าฝันมิให้พวกเขาวู่วามทำสิ่งใดและไม่ต้องเดินทางมาที่ดินแดนทางเหนือเพื่อมาพบนาง มิฉะนั้นมันอาจรู้ไปถึงหูของนิกายหงส์มังกรได้ นางเพียงกล่าวว่าตราบใดที่ความแข็งแกร่งของดินแดนทางเหนือมั่นคงและเสถียร นางและคนอื่นๆก็จะเดินทางไปที่ภูมิภาคกลางเพื่อไปพบกับพวกเขาด้วยตัวเอง
อู่ซิงตอบตกลงและรับคำทุกอย่างก่อนออกจากคฤหาสน์เฟิงหัวและมุ่งหน้าตรงกลับไปที่วิหารทมิฬอย่างรวดเร็ว
“คุณหนู เขากลับไปแล้วรึเจ้าคะ?”
ตอนนี้เสี่ยวโร่วกำลังเล่นสนุกกับเจ้าหนูทั้งสอง เมื่อเห็นฉินอวี้โม่เดินเข้ามา นางก็ยิ้มพร้อมลุกขึ้นและเอ่ยถามออกไป
ฉินอวี้โม่พยักศีรษะและจับมือเสี่ยวโร่วให้นั่งลงก่อน
“คุณหนู แล้วคุณชายหานโม่ฉือล่ะ?”
เสี่ยวโร่วแปลกใจที่ไม่เห็นแม้แต่เงาของหานโม่ฉือ ในเมื่อบุรุษน้ำแข็งผู้นั้นรักคุณหนูของนาง เขาก็น่าจะอยู่ข้างกายไม่ห่างไปที่ใด ทว่าตอนนี้นางกลับไม่ได้ยินข่าวคราวของเขาเลยแม้แต่น้อย
ฉินอวี้โม่ก็บอกเสี่ยวโร่วเกี่ยวกับสิ่งที่เกิดขึ้นในดินแดนอ้างว้าง เมื่อได้ยินเรื่องราวเหล่านั้น เสี่ยวโร่วก็อดกังวลไม่ได้
“คุณหนู ไม่ต้องห่วงเจ้าค่ะ คุณชายหานโม่ฉือทรงพลังมาก เขาไม่มีทางเป็นอะไรไปได้ เมื่อข้ากลับไป ข้าจะใช้อิทธิพลของตระกูลเพื่อช่วยสืบหาข่าวคราวของเขา”
เสี่ยวโร่วเขย่ามือของฉินอวี้โม่เบาๆเพื่อปลอบประโลมมิให้นางเป็นกังวล
ฉินอวี้โม่ยิ้มตอบเบาๆ แท้ที่จริงแล้วนางไม่กังวลเรื่องนี้เลยสักนิด ภาพลวงตาในข่ายอาคมครานั้นทำให้นางมั่นใจได้ว่าหานโม่ฉือยังมีชีวิตอยู่และสถานการณ์ในฝั่งของเขาก็ไม่เลวร้ายจนเกินไป
นางเชื่อมั่นว่าอีกไม่นานนางจะได้พบกับบุรุษคนรักและจะได้อยู่เคียงข้างกันอีกครา
“คุณหนู ครานี้ข้ามาที่นี่เพราะสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายของท่าน ข้าจึงทราบว่าท่านมาถึงที่ดินแดนเทพมายาแล้ว ดังนั้นจึงเข้ามาตามหาท่าน ทว่าที่ตระกูลของข้าก็ยังมีอีกหลายสิ่งหลายอย่างที่รอให้ข้ากลับไปจัดการ เพราะฉะนั้นข้าจึงอยู่ที่นี่ได้ไม่นานนัก ข้าอยู่กับท่านได้เพียงเจ็ดวันเท่านั้นก่อนที่จะต้องกลับไปที่จวนตระกูล”
เสี่ยวโร่วยิ้มและกล่าวบอกฉินอวี้โม่เกี่ยวกับแผนของตน อันที่จริงนางทนไม่ได้ที่จะต้องพรากจากคุณหนูคนสนิทอย่างรวดเร็วเช่นนี้ อย่างไรก็ตาม ในตระกูลเหมยยังมีอีกหลายสิ่งที่นางต้องจัดการให้เรียบร้อย หากอยู่กับฉินอวี้โม่นานเกินไปมันอาจจะจุดชนวนให้ใครบางคนในตระกูลเหมยเพ่งเล็งไปที่ฉินอวี้โม่ ซึ่งนั่นเป็นสิ่งเสี่ยวโร่วไม่ต้องการให้มันเกิดขึ้น
“เสี่ยวโร่ว หากเจ้าต้องการความช่วยเหลือ อย่าปิดบังมันจากข้าเด็ดขาด”
ฉินอวี้โม่พยักศีรษะ ทว่านางก็ทราบดีว่าเสี่ยวโร่วเองก็มีเรื่องของตนเองที่ต้องจัดการและเลือกที่จะไม่เอ่ยถามสิ่งใดให้มากความ
“เจ้าค่ะ”
เสี่ยวโร่วพยักหน้าหงึกหงักและตอบตกลงทันที
“อีกอย่าง.. ก่อนหน้านี้ข้าก็ได้พบกับคุณหนูชิงเฉิงและคนอื่นๆแล้ว”
เสี่ยวโร่วยิ้มและเปลี่ยนหัวข้อสนทนา
ก่อนหน้านี้นางแอบเดินทางไปที่นครล่าฝันและพบกับเยว่ชิงเฉิงและคนอื่นๆ แน่นอนว่านั่นเป็นการพบกันที่เสี่ยวโร่วมีความสุขมาก
เยว่ชิงเฉิงและคนอื่นๆก็ดีใจที่ได้พบเสี่ยวโร่วเช่นกัน นางก็ได้แจ้งพวกเขาเกี่ยวกับสถานการณ์เรื่องราวที่เกิดขึ้นตลอดหลายปีที่ผ่านมานี้
หลังจากรับปากว่าจะไปที่นครล่าฝันเพื่อกับพวกนางอีกครั้งในอนาคตข้างหน้า เสี่ยวโร่วก็มุ่งหน้ากลับจวนตระกูลเหมยของตน ทว่าเมื่อนับจากตอนนั้น มันก็ถือว่าผ่านมานานพอสมควรแล้ว
“พลังของพวกนางก็พัฒนาขึ้นมาก หากได้พบกันอีกครา คุณหนูต้องประหลาดใจแน่ๆเจ้าค่ะ”
เสี่ยวโร่วยิ้มกว้างแสดงให้เห็นว่านางมีความสุขอย่างยิ่งเมื่อนึกถึงเยว่ชิงเฉิงและสหายเก่าคนอื่นๆ
ฉินอวี้โม่พยักศีรษะเบาๆและตั้งตารอที่จะได้พบกับสหายทั้งหลายอีกครา ทว่าเมื่อได้ยินเรื่องความแข็งแกร่งที่พัฒนาเพิ่มขึ้น นางก็มองเสี่ยวโร่วและเอ่ยถามพร้อมรอยยิ้ม “เสี่ยวโร่ว ตอนนี้พลังของเจ้าอยู่ในระดับใดแล้ว?”
ไม่ทราบเช่นกันว่าเพราะเหตุใด นางมิอาจสัมผัสถึงความแข็งแกร่งของเสี่ยวโร่วได้เลย ทุกคราที่นางพยายามตรวจจับพลังของสตรีตรงหน้า ร่างของเสี่ยวโร่วก็มักมีการต้านทานบางอย่างที่ยากเกินเข้าใจและคอยเป็นอุปสรรคกีดขวางต่อการสำรวจของนาง
“พลังของข้าในตอนนี้ไม่ต่างจากคุณหนูมากนักเจ้าค่ะ และข้าใกล้ทะลวงพลังไปสู่ขอบเขตพสุธาเซียนเต็มที อย่างไรก็ตาม ศาสตร์การวางข่ายอาคมของข้าก็พัฒนาขึ้นอย่างรวดเร็วมาก ตอนนี้ข้าเป็นผู้ใช้ข่ายอาคมระดับเชี่ยวชาญแล้วและอีกไม่นานก็จะบรรลุระดับปรมาจารย์แล้วเจ้าค่ะ”
เสี่ยวโร่วกล่าวพร้อมรอยยิ้มขณะอธิบายความแข็งแกร่งของตนเองอย่างคร่าวๆ
ตลอดหลายปีที่ผ่านมา ด้วยทรัพยากรที่ครบครันทุกด้านของตระกูลเหมย แน่นอนว่าความแข็งแกร่งและความคืบหน้าในการฝึกฝนของเสี่ยวโร่วจึงราบรื่นอย่างยิ่ง กอปรกับความรักและคำชี้แนะจากผู้นำตระกูลเหมยและการสอนแบบตัวต่อตัวจากปรมาจารย์ผู้ใช้ข่ายอาคมประจำตระกูล พลังความแข็งแกร่งของนางจึงพัฒนาขึ้นมาอย่างรวดเร็วและน่าอัศจรรย์
อย่างไรก็ตาม เสี่ยวโร่วเชื่อว่าถึงแม้คุณหนูคนสนิทของนางจะมีพลังอยู่ในขอบเขตเซียนขั้นสูงสุดเช่นเดียวกับนาง ความแข็งแกร่งของฉินอวี้โม่ก็ต้องเหนือชั้นกว่านางอย่างแน่นอน
ฉินอวี้โม่ไม่ได้แปลกใจเมื่อทราบถึงพลังในปัจจุบันของเสี่ยวโร่ว พรสวรรค์ของเด็กสาวถือว่ายอดเยี่ยมมาก กอปรกับสายเลือดพิเศษของตระกูลลับ แน่นอนว่ามันก็ช่วยให้นางมาถึงระดับปัจจุบันนี้ได้ไม่ยาก
“หากท่านพี่ได้รู้ถึงการพัฒนาของเจ้า เขาจะต้องดีใจมากแน่ๆ”
ฉินอวี้โม่อดยิ้มออกมาไม่ได้ ทว่าเมื่อถึงนึกฉินอี้เฟยพี่ชายของตนที่ไม่ได้พบกันมานาน นางก็ขมวดคิ้วเล็กน้อย
ใบหน้างามของเสี่ยวโร่วก็แดงระเรื่อขึ้นเล็กน้อยเมื่อได้ยินวาจาของฉินอวี้โม่ และนางกระซิบกระซาบถามด้วยท่าทีเอียงอาย “คุณชายใหญ่สบายดีหรือไม่เจ้าคะ?”
อย่างไรก็ตาม คำถามของเสี่ยวโร่วทำให้ฉินอวี้โม่ชะงักไปทันที
“เจ้าไม่รู้งั้นรึ?”
นางคิดว่าฉินอี้เพ่ยและฉินอี้เฉียงน่าจะบอกให้เสี่ยวโร่วทราบแล้วว่าฉินอี้เฟยออกเดินทางมาที่ดินแดนเทพมายาก่อนหน้านี้แล้ว
เมื่อได้ยินคำถามของฉินอวี้โม่ เสี่ยวโร่วก็งุนงงไม่น้อย นางจะทราบความเป็นอยู่ปัจจุบันของฉินอี้เฟยได้อย่างไร?
“ตั้งแต่แรกๆที่เจ้าจากไป ท่านพี่ก็ออกเดินทางมาที่ดินแดนเทพมายานี้ทันที ชิงเฉิงและคนอื่นไม่ได้บอกเรื่องนี้กับเจ้าหรอกรึ?”
ฉินอวี้โม่มองเสี่ยวโร่วและกล่าวสิ่งที่เกิดขึ้นในตอนนั้นให้นางได้ทราบทันที
เมื่อได้ยินว่าฉินอี้เฟยกังวลมากเพราะนางจากมาในครานั้นและมุ่งหน้ามาที่ดินแดนเทพมายาก่อนใครเพื่อตามหานางอย่างอาจหาญ แน่นอนว่าเสี่ยวโร่วต้องประทับใจอย่างที่สุด
อย่างไรก็ตาม หลังจากประทับใจและดีใจอย่างที่สุด ความรู้สึกเหล่านั้นก็ถูกบดบังด้วยความกังวล นางไม่เคยได้ยินข่าวคราวของเขาเลยและไม่ทราบว่าเขาอยู่ที่ใด บัดนี้เวลาก็ผ่านมาหลายปีแล้ว อยากรู้นักว่าคุณชายใหญ่เป็นยังไงบ้าง?
“ไม่ต้องห่วงหรอก พวกเราควรจะรู้ถึงความสามารถของพี่ใหญ่ดีกว่าใคร ข้าเชื่อว่าพี่ใหญ่ไม่เป็นอะไรแน่นอน”
เมื่อเห็นสีหน้าที่เปลี่ยนไปเป็นความกังวลของเสี่ยวโร่ว ฉินอวี้โม่ก็เขย่ามือของนางเบาๆพร้อมกล่าวเพื่อมิให้เป็นกังวลมากจนเกินไป
ก่อนที่อู่ซิงจะเดินทางมาที่ดินแดนเหนือ เขาก็ยังไม่ได้ไปพบกับโอวหยางชิงเฟิงและคนอื่นๆ ดังนั้นเขาจึงยังไม่ทราบถึงเรื่องของฉินอี้เฟยและมันก็ไม่ใช่เรื่องแปลกที่เขาจะไม่ได้รายงานเรื่องนี้กับฉินอวี้โม่
“ใช่แล้ว คุณชายใหญ่ทั้งเก่งกาจและมากความสามารถ เขาจะต้องไม่เป็นอะไรเจ้าค่ะ”
เสี่ยวโร่วพยักหน้าหงึกหงักและกล่าวด้วยความเชื่อมั่นว่าฉินอี้เฟยจะต้องสบายดี อย่างไรก็ตาม นางตัดสินใจกับตัวเองอย่างแน่วแน่แล้วว่าหากผู้ใดริอาจทำร้ายฉินอี้เฟย ไม่ว่าต้องทุ่มเทอย่างสุดกำลังเพียงใด นางก็จะจัดการกับคนผู้นั้นให้สาสม
“ข้าจะส่งคนไปสืบข่าวเรื่องผู้หลอมโอสถฝีมือดีที่ปรากฏตัวในดินแดนเทพมายาในช่วงหลายปีที่ผ่านมานี้ ข้าเชื่อว่าการตามหาพี่ใหญ่มิใช่เรื่องยากนักหรอก”
ฉินอวี้โม่ยิ้มและกล่าวแผนการของตนออกไป ฉินอี้เฟยเป็นถึงผู้หลอมโอสถฝีมือดี นางเชื่อว่าตลอดหลายปีที่ผ่านมานี้ เขาจะต้องสร้างชื่อกลายเป็นผู้ที่โด่งดังในดินแดนเทพมายาแล้ว หากส่งคนออกไปสืบข่าว นางก็น่าจะพบเบาะแสได้ไม่ยาก
“ปล่อยให้ข้าจัดการเถอะเจ้าค่ะ เมื่อข้ารู้ว่าคุณชายใหญ่อยู่ที่ใด ข้าจะรีบแจ้งข่าวให้คุณหนูทราบเป็นคนแรก”
อย่างไรก็ตาม เสี่ยวโร่วก็ขอรับผิดชอบจัดการเรื่องนี้ นางต้องการที่จะสืบหาข่าวคราวของฉินอี้เฟยด้วยตนเอง
ฉินอวี้โม่พยักศีรษะและไม่คัดค้านแต่อย่างใด
“อีกอย่าง.. นายท่านมาที่ดินแดนเทพมายาด้วยรึไม่เจ้าคะ?”
เมื่อนึกถึงฉินเทียน เสี่ยวโร่วก็อดเอ่ยถามไม่ได้ นางทราบอุปสรรคความลำบากของฉินเทียนดีและทราบว่าก่อนหน้านี้ฉินอวี้โม่ใช้เวลาอยู่ในดินแดนอ้างว้างนานพอสมควร เมื่อคำนวณเวลาที่ผ่านมา นางเชื่อว่าฉินเทียนน่าจะมาถึงดินแดนเทพมายาแล้ว
“ท่านพ่อของข้ามาที่นี่ก่อนแล้ว เพียงแต่ข้าไม่รู้ว่าเขาอยู่ที่ใด”
ฉินอวี้โม่พยักศีรษะและกล่าวตอบตามจริง เมื่อนึกถึงบิดาและสหายคนอื่นๆ นางก็อดกังวลขึ้นมาไม่ได้
อย่างไรก็ตาม เห็นได้ชัดว่าความกังวลของนางนั้นไม่จำเป็นเลยสักนิด ไม่ว่าอย่างไร ฉินเทียนและสหายทั้งหลายก็ไม่มีทางตกอยู่ในอันตรายอย่างแน่นอน
.
.