คุณหนูสี่ สตรีเปื้อนเลือด - ตอนที่ 516 หมาป่าขนทอง
เมื่อได้ยินตัวตนของฉินอวี้โม่ คนทั้งห้าก็ตกตะลึงไปทันที
“เรือนเฟิงเสวี่ย…นั่นมันขุมกำลังที่คว้าชัยชนะในงานชุมนุมดินแดนเหนือและกลายเป็นผู้ปกครองของดินแดนทางเหนือทั้งหมดมิใช่รึ ?!”
เจียงต้าอวี๋มองฉินอวี้โม่และกล่าวด้วยความตกใจ
ฉินอวี้โม่เพียงพยักศีรษะเบา ๆ เป็นการยอมรับ นับตั้งแต่งานชุมนุมทางเหนือครานั้นเวลาก็ผ่านมาเกือบหนึ่งเดือนแล้ว เป็นธรรมดาที่สถานการณ์ทั้งหมดที่เกิดขึ้นจะแพร่กระจายไปทั่วทั้งดินแดนเช่นนี้ การที่จอมยุทธ์อิสระทั้งห้าทราบเรื่องนี้ก็มิใช่เรื่องแปลกแต่อย่างใด
“ท่านคือผู้นำเรือนเฟิงเสวี่ยผู้ซึ่งถูกกล่าวขานว่าเป็นช่างหลอมอันดับหนึ่งในดินแดนทางเหนือ—จอมยุทธ์ฉินอวี้โม่ผู้นั้นรึ ?!”
เมิ่งหมิ่นมองฉินอวี้โม่และอ้าปากค้างเล็กน้อยด้วยความตกตะลึง
ทั้งห้าคนไม่คาดคิดเลยว่าผู้ที่ช่วยชีวิตตนครานี้คือผู้นำเรือนเฟิงเสวี่ย—ฉินอวี้โม่ ผู้ที่ได้รับการยอมรับว่าเป็นผู้ปกครองของดินแดนเหนือทั้งหมดและเป็นช่างหลอมอันดับหนึ่งในดินแดนเหนือ
“ฮ่า ๆ ๆ ใช่ ข้าเอง”
ฉินอวี้โม่หัวเราะเบา ๆ และพยักศีรษะยอมรับตัวตนดังกล่าว
“สวรรค์ ! นี่ข้ากำลังฝันอยู่รึนี่ ?!”
เมื่อเห็นอีกฝ่ายพยักศีรษะ เมิ่งเฟยก็อดอุทานออกไปไม่ได้และดวงตาเริ่มเป็นประกาย ทุกคนเคยได้ยินชื่อเสียงของฉินอวี้โม่มาบ้างแล้วและต่างก็สงสัยใคร่รู้ยิ่งนักว่าแท้จริงแล้วนางเป็นคนอย่างไร
ฉินอวี้โม่ผู้ซึ่งกลายเป็นยอดฝีมือผู้แกร่งกล้าของดินแดนทางเหนือภายในเวลาเพียงไม่นานและเลื่องชื่อไปทั่วได้ปรากฏตัวตรงหน้าพวกเขาอย่างคาดไม่ถึง แล้วคนทั้งห้าจะไม่ตกตะลึงได้อย่างไร ?
“ไม่คิดเลยว่าจอมยุทธ์ฉินอวี้โม่ที่เลื่องชื่อจะเยาว์วัยถึงเพียงนี้ ช่างไม่น่าเชื่อจริง ๆ”
วังหลงมองฉินอวี้โม่ด้วยความประหลาดใจเช่นกัน ทว่าก็รู้สึกชื่นชมมากยิ่งกว่า
การที่ประสบความสำเร็จเช่นนี้ได้ตั้งแต่อายุยังน้อยนั้น ฉินอวี้โม่ผู้นี้ไม่ธรรมดาอย่างแน่นอน เขาเชื่อว่าวันหนึ่งชื่อ ‘ฉินอวี้โม่’ จะต้องดังก้องไปทั่วทั้งดินแดนเทพมายาและสร้างความหวาดหวั่นให้กับขุมกำลังใหญ่ทั้งหลายอย่างแน่นอน
“ฮ่า ๆ ๆ พวกท่านยังไม่ตอบคำถามของข้าเลย”
ฉินอวี้โม่ยิ้มบาง ๆ นางไม่รู้มาก่อนเลยว่าตนเองจะกลายเป็นแบบอย่างที่คนมากมายชื่นชมเช่นนี้
“แน่นอนว่าพวกเราไม่มีทางปฏิเสธ ก่อนหน้านี้พวกเราก็มีความคิดอยากจะเข้าร่วมกับเรือนเฟิงเสวี่ยอยู่บ้างแล้ว เพียงแต่พลังความสามารถของพวกเราไม่ได้โดดเด่นนักและพวกเราก็ไม่ได้รู้จักกับใคร เพราะเหตุนั้นพวกเราจึงคิดไปเองว่าต่อให้ไปที่เรือนเฟิงเสวี่ยก็อาจไม่เป็นที่ยอมรับ”
ก่อนวังหลงจะกล่าวตอบ เมิ่งหมิ่นก็พยักหน้าหงึกหงักและตกปากรับคำทันที
ต้องกล่าวเลยว่าฉินอวี้โม่ผู้นี้เป็นบุคคลที่นางเห็นเป็นแบบอย่างจริง ๆ ไม่คาดคิดเลยว่าสตรีที่เยาว์วัยเช่นนี้จะสามารถขึ้นดำรงตำแหน่งผู้ปกครองของทั้งดินแดนทางเหนือได้ และยิ่งไปกว่านั้นนางยังงดงามจนน่าอิจฉาเป็นอย่างยิ่ง
“พวกเราก็ยินดี”
เจียงต้าอวี๋และเจียงเสี่ยวอวี๋พยักศีรษะตอบตกลงเช่นกัน ความรู้สึกตื่นเต้นปรากฏชัดเจนในแววตาของพวกเขา
การที่พวกเขาได้รับคำเชิญจากผู้นำเรือนเฟิงเสวี่ยด้วยตัวเองเช่นนี้ หากเรื่องนี้แพร่ออกไป คนมากมายนับไม่ถ้วนจะต้องริษยาพวกเขาเป็นแน่
“ไม่ใช่ว่าพวกเจ้ากลัวว่าจะสูญเสียอิสรภาพในการทำสิ่งที่อยากทำ พวกเจ้าจึงไม่ต้องการเข้าร่วมกับขุมกำลังใด ๆ รึ ?”
เมื่อทั้งสี่ตอบตกลงโดยไม่ลังเล วังหลงก็เอ่ยถามด้วยความสงสัยทันที
กล่าวตามตรง การที่ฉินอวี้โม่เป็นคนเชื้อเชิญพวกเขาด้วยตนเองเช่นนี้ มันยากมากที่ผู้ฟังจะไม่รู้สึกซาบซึ้งใจ หากได้รับคำเชิญจากผู้นำขุมกำลังด้วยตัวเองเช่นนี้และหากว่าตัดสินใจเข้าร่วม พวกเขาก็จะได้เป็นสมาชิกคนสำคัญของเรือนเฟิงเสวี่ยอย่างแน่นอน
“หัวหน้า อย่าทำรู้ดีไปหน่อยเลย ก่อนหน้านี้ที่เราไม่เคยเข้าร่วมขุมกำลังใดเพราะกังวลว่าจะต้องห้ำหั่นกันเองกับคนในดินแดนทางเหนือ บัดนี้ในเมื่อทั้งดินแดนเป็นปึกแผ่นเดียวกันแล้ว เราก็ไม่จำเป็นต้องกังวลเรื่องนั้นอีก สำหรับชื่อเสียงของเรือนเฟิงเสวี่ย เราต่างก็ได้ยินมาหนาหู พวกเราเชื่อมั่นในเรือนเฟิงเสวี่ย ในเมื่อผู้นำเรือนเฟิงเสวี่ยเชิญเราด้วยตัวเองเช่นนี้ หากปฏิเสธก็คงจะโง่เขลาเต็มที”
เมิ่งหมิ่นยิ้มอย่างมีความสุข แน่นอนว่านางและคนอื่น ๆ มีหลักปรัชญาที่ยึดมั่นปฏิบัติ ทว่าเมื่อโอกาสดี ๆ เช่นนี้มาอยู่ตรงหน้า หากปฏิเสธ มันก็คงจะถือเป็นการกระทำที่โง่เขลาสิ้นดี
“ฮ่า ๆ ๆ นั่นสิ”
เมื่อวังหลงได้ยินวาจาตรงไปตรงมาของเมิ่งหมิ่น เขาก็ยิ้มและพยักศีรษะเช่นกัน
“หากเป็นเช่นนั้น… พวกเราก็ขอคารวะผู้นำคนใหม่”
หลังจากกล่าวจบ เขาก็โค้งคำนับแสดงความเคารพต่อฉินอวี้โม่ทันที
เมิ่งหมิ่นและคนอื่นก็โค้งคำนับเช่นกันและยกให้ฉินอวี้โม่เป็นผู้นำด้วยความยินดี
เมื่อฟังวาจาตรงไปตรงมาไม่อ้อมค้อมของกลุ่มคนตรงหน้า ฉินอวี้โม่เพียงยิ้มบาง ๆ และรู้สึกได้ว่าเลือกคนไม่ผิด
“จะว่าไปแล้ว… พวกท่านรู้รึไม่ว่าเหตุใดป่ากายสิทธิ์นี่จึงดูเงียบเหงานัก ?”
ฉินอวี้โม่นึกถึงปัญหาที่ติดค้างในใจและเอ่ยถามออกไป นางมองวังหลังด้วยความฉงนและอยากรู้
“ท่านผู้นำ ป่ากายสิทธิ์แห่งนี้เต็มไปด้วยภยันตรายมากมาย มีเพียงน้อยคนที่จะเดินทางจากที่นี่ไปถึงเทือกเขากายสิทธิ์ได้ และท่านคงไม่ทราบว่ามีเส้นทางไปสู่เทือกเขาอยู่ทั้งหมดสี่ทิศทางด้วยกัน นั่นก็คือทิศเหนือ ทิศใต้ ทิศตะวันออกและทิศตะวันตก ป่ากายสิทธิ์นี้เป็นเส้นทางที่ผู้คนเลือกผ่านน้อยที่สุด เมื่อเราเข้ามาในตอนแรก เราก็ได้พบขุมกำลังทั้งน้อยใหญ่มากมาย พวกเขาอยู่รวมกันเป็นจำนวนมากและคงจะไม่เผชิญปัญหาร้ายแรงใด ๆ เดิมทีพวกเราก็ต้องการที่จะร่วมเดินทางไปกับพวกเขา ทว่ากลับถูกพวกเขาปฏิเสธ แม้ว่าพลังของเราทั้งห้าจะไม่ถือว่าอ่อนแอ เราก็ไม่ชอบที่จะถูกมองข้าม ดังนั้นพวกเราจึงเลือกทิ้งท้ายอยู่ข้างหลัง”
วังหลงอธิบายให้ฉินอวี้โม่ได้ทราบอย่างรวดเร็วทว่าน้ำเสียงของเขาเจือด้วยความโกรธเคือง
แท้ที่จริงแล้วป่ากายสิทธิ์นี้มีคนมากมาย เพียงแต่เป็นเพราะคนเหล่านั้นมุ่งหน้าผ่านไปก่อนแล้วและกลุ่มของฉินอวี้โม่มาถึงที่นี่ช้ากว่าพวกเขาเหล่านั้น
ยิ่งไปกว่านั้น ป่ากายสิทธิ์ก็เต็มไปด้วยภยันตราย มันจึงมิใช่ทางเลือกของคนส่วนใหญ่
หากกล่าวตามตรง ทิศทางอื่น ๆ ของเทือกเขากายสิทธิ์เป็นทางที่ปลอดภัยกว่ามากและเป็นทางที่คนส่วนใหญ่เลือกใช้
“เราเลือกป่ากายสิทธิ์เพราะอยากสั่งสมประสบการณ์ระหว่างทาง ถึงอย่างไรแล้วยิ่งอยู่ในที่ที่อันตราย เราก็จะยิ่งพัฒนาตนเองได้เร็วเพียงนั้น ทว่าข้าไม่คิดเลยว่าป่ากายสิทธิ์จะน่าสะพรึงกลัวถึงเพียงนี้ ฝูงหมาป่าเมื่อครู่เกือบฆ่าพวกเราไปเสียแล้ว”
วังหลงกล่าวอย่างจนปัญญา หากพวกเขาทราบเรื่องนี้มาก่อน พวกเขาก็คงไม่เลือกเข้ามาเผชิญอันตรายที่เกินรับมือเช่นนี้
เมื่อกล่าวถึงอสูรหมาป่า ฉินอวี้โม่ก็มองไปข้างนอกโดยอัตโนมัติและขมวดคิ้วเล็กน้อย
ก่อนหน้านี้นางคิดว่าหากวังหลงและคนอื่น ๆ ได้รับความช่วยเหลือและหลบเข้ามาในคฤหาสน์ของตน หมาป่าเหล่านั้นจะถอยกลับไปแต่โดยดี ไม่คิดเลยว่าพวกมันจะยังเฝ้าอยู่ข้างนอกไม่ขยับเขยื้อนและจับตาดูอยู่ไม่ห่าง
ยิ่งไปกว่านั้น จุดที่สายตาของพวกมันจับจ้องมาก็คือตำแหน่งเดียวกับคฤหาสน์เฟิงหัวที่ล่องหนอยู่ในตอนนี้ ราวกับว่าพวกมันมองเห็นคฤหาสน์ของนางได้อย่างชัดเจน
นับตั้งแต่คฤหาสน์เฟิงหัวได้รับการพัฒนาปรับโฉมใหม่ แม้แต่ยอดฝีมือที่ทรงพลังอย่างอู่ซิงก็ยังไม่สามารถมองเห็นได้ว่าคฤหาสน์เฟิงหัวอยู่ที่ใด ทว่าตอนนี้อสูรหมาป่าที่อ่อนแอเหล่านี้กลับพบตำแหน่งของคฤหาสน์เฟิงหัวได้ นี่ถือเป็นเรื่องที่น่าเหลือเชื่อยิ่งนัก
“เหตุใดหมาป่าพวกนั้นถึงยังไม่กระจายตัวกันออกไปอีก ?”
วังหลงและคนอื่น ๆ มองเห็นสถานการณ์ข้างนอกเช่นกัน เมื่อเห็นว่าฝูงหมาป่าไม่มีท่าทีว่าจะถอนกำลัง พวกเขาก็อดขมวดคิ้วด้วยความสงสัยไม่ได้
“ข้าก็ไม่ทราบเหมือนกัน หมาป่าพวกนี้แปลกประหลาดยิ่งนัก พวกมันไม่เพียงแต่ไม่รักตัวกลัวตายเท่านั้น ทว่ายังดูเหมือนว่าไม่มีความคิดเป็นของตัวเองและถูกควบคุมโดยอะไรบางอย่าง หากยังจัดการกับพวกมันไม่ได้ เกรงว่าผู้คนที่เข้ามาหลังจากนี้จะต้องเผชิญกับอันตรายอย่างแน่นอน”
ฉู่เจี๋ยส่ายศีรษะและใช้ความคิดอย่างหนัก เขาอดคิดไม่ได้ว่าการปล่อยให้ฝูงหมาป่ารวมตัวกันอยู่ที่นี่ไม่ใช่เรื่องที่ดีนัก
“โฮกกก !”
ทันใดนั้น เสียงคำรามก็ดังขึ้นอีกครั้งและฉินอวี้โม่มองเห็นหมาป่าหลายตัวกระโจนตรงเข้ามาในทิศทางของคฤหาสน์เฟิงหัว
โครมมม !
คฤหาสน์เฟิงหัวสั่นสะเทือนอย่างรุนแรงทันทีส่งผลให้ฉินอวี้โม่และคนอื่น ๆ แทบทรงตัวไม่ได้ อสูรหมาป่าข้างนอกนั่นมีจำนวนมากเกินไปและพลังที่รวมกันของพวกมันทำให้คฤหาสน์เฟิงหัวตั้งรับไม่ไหวไปชั่วขณะ
“หม่าม๊า~”
เมื่อคฤหาสน์เฟิงหัวสั่นสะเทือน เจ้าหนูทั้งสองก็วิ่งออกมาจากห้องพร้อมตะโกนเรียกมารดาของพวกเขาโดยที่ใบหน้าไม่บ่งบอกถึงความหวาดกลัวแม้แต่น้อย
เมื่อเห็นบุตรน้อยวิ่งตรงเข้ามา ฉินอวี้โม่ก็ยิ้มกว้างทันทีและสวมกอดเด็กทั้งสองไว้
“หม่าม๊า… หมา… หมาตัวใหญ่ !”
เสี่ยวอ้ายโม่ชี้นิ้วเล็ก ๆ ออกไปที่หมาป่าข้างนอกและกล่าวด้วยแววตาเปี่ยมไปด้วยความสงสัยใคร่รู้ ทว่าใบหน้ามีรอยยิ้มซุกซนในแบบของเด็กปรากฏอยู่
ฉินอวี้โม่และคนอื่น ๆ แทบเหงื่อตกเมื่อได้ยินเสี่ยวอ้ายโม่เรียกหมาป่าฝูงใหญ่เหล่านั้นว่า ‘หมาตัวใหญ่’
เห็นได้ชัดว่าพวกมันเป็นหมาป่าดุร้ายที่ดูน่ากลัว ทว่าเจ้าหนูน้อยกลับทำท่าทางเหมือนกับว่าพวกมันเป็นเพียงสุนัขเฝ้าบ้านตัวใหญ่
“หม่าม๊า มีหมาตัวใหญ่…”
เสี่ยวอ้ายฉือก็กล่าวขึ้นมาเช่นกันและชี้นิ้วเล็ก ๆ ออกไปในอีกทิศทางหนึ่งทันที
แน่นอนว่าวังหลงและคนอื่น ๆ มิอาจเข้าใจความหมายของเสี่ยวอ้ายฉือและเสี่ยวอ้ายโม่ พวกเขาจึงไม่ได้คิดอะไรมากนัก
อย่างไรก็ตาม ในฐานะมารดาผู้ฟูมฟักเลี้ยงดูบุตรน้อยทั้งสอง ฉินอวี้โม่เข้าใจบางอย่างได้ในทันที
“อ้ายฉือ เจ้าหมายความว่านอกจากลูกหมาพวกนี้ยังมีหมาตัวที่ใหญ่กว่างั้นรึ ?”
ฉินอวี้โม่มองเสี่ยวอ้ายฉือและถามด้วยความใคร่รู้
เจ้าหนูน้อยพยักหน้าหงึกหงักพร้อมยกนิ้วชี้ไปในทิศทางหนึ่งและกล่าว “หมาตัวใหญ่ !”
เมื่อมองตามไปในทิศทางนั้น ฉินอวี้โม่ก็มองไม่เห็นสิ่งใดผิดปกติแม้แต่น้อย อย่างไรก็ตาม นางเชื่อว่าเสี่ยวอ้ายฉือไม่ได้พูดจาเหลวไหลอย่างแน่นอน แม้ว่าฝูงหมาป่ายังคงพยายามโจมตีคฤหาสน์เฟิงหัว ฉินอวี้โม่ก็ขับเคลื่อนคฤหาสน์ล่องหนตรงไปในทิศทางที่เสี่ยวอ้ายฉือชี้ไปทันที
หลังจากมุ่งหน้าตรงไปได้ระยะหนึ่ง ทุกคนก็พบว่าในป่าทึบตรงหน้ามีหมาป่าสวยงามตัวหนึ่งที่ดูเหมือนฝูงหมาป่าเมื่อครู่นี้ ทว่ากลับมีขนสีทองสวยงามและมีขนาดใหญ่กว่าพวกมันอย่างน้อยสามเท่าตัวนอนแผ่อยู่ข้างหน้า
“มันเจ็บ…”
เสี่ยวอ้ายโม่ชี้ไปที่หมาป่าตรงหน้าและขมวดคิ้ว ใบหน้าเล็ก ๆ ของนางย่นเล็กน้อย
เมื่อได้ยินเช่นนั้น ฉินอวี้โม่ก็แผ่พลังวิญญาณออกไปสำรวจดูทันทีและพบว่าหมาป่าสีทองตรงหน้ากำลังบาดเจ็บสาหัส ลมหายใจของมันอ่อนแอรวยรินเต็มที อีกทั้งยังมีเลือดไหลออกจากช่องท้องและบาดแผลหลายจุดตามขาทั้งสี่
“ดูเหมือนว่าเจ้าหมาป่านี่จะเป็นผู้ที่ควบคุมฝูงหมาป่าเหล่านั้น และสาเหตุที่พวกมันทำเช่นนั้นก็เพื่อขัดขวางมิให้ผู้ใดเข้ามาใกล้ที่นี่และพยายามปกป้องมัน”
ฉินอวี้โม่เข้าใจเรื่องราวได้ในทันที
หมาป่าขนสีทองตัวนี้น่าจะเป็นจ่าฝูงของหมาป่าฝูงใหญ่ สาเหตุที่มันควบคุมหมาป่านับร้อยตัวเหล่านั้นและทำให้พวกมันโจมตีศัตรูที่เข้ามาใกล้ก็เพื่อปกป้องตัวมันเอง
“นายหญิง นี่คือหมาป่าขนทอง มันเป็นหมาป่าที่มีสายเลือดบริสุทธิ์อย่างยิ่งในเผ่าหมาป่าและอยู่ในระดับสูงมากทีเดียว”
หมาป่าราตรี—อสูรมายาเผ่าหมาป่าของฉินอวี้โม่ปรากฏตัวขึ้นมาทันทีและกล่าวอธิบายกับผู้เป็นนาย
“หมาป่าขนทอง…”
ฉินอวี้โม่แทบจะกลั้นหัวเราะไม่ได้เมื่อได้ยินชื่อของหมาป่าขนทอง นางเคยได้ยินชื่อของสุนัขขนทองมาก่อน ทว่านี่เป็นครั้งแรกที่ได้เห็นหมาป่าขนทองตัวเป็น ๆ
“หมาป่าขนทองเป็นราชาของเผ่าหมาป่า กล่าวกันว่าหมาป่าที่มีขนสีทองถือกำเนิดขึ้นมาเพื่อปกครองเผ่าหมาป่าและมันก็มีสายเลือดอยู่ในระดับสูงสุดของเผ่า”
หมาป่าราตรีกล่าวต่ออีกประโยคขณะมองหมาป่าขนทองตัวใหญ่ยักษ์ตรงหน้าด้วยความหวาดหวั่นในใจ
ที่แท้ก็มีหมาป่าขนทองตัวนี้อยู่นี่เอง ไม่แปลกใจเลยที่ฝูงหมาป่าเหล่านั้นจะคลุ้มคลั่งยิ่งนัก !
.
.