คุณหนูสี่ สตรีเปื้อนเลือด - ตอนที่ 523 เปี่ยมไปด้วยพลัง
วังหลงกวาดสายตามองกลุ่มคนที่ตรงเข้ามาล้อมรอบฝ่ายของตนและใบหน้าของเขาก็เปลี่ยนไปเป็นบูดบึ้งเล็กน้อย
เมิ่งหมิ่นจ้องหน้าคนเหล่านั้นพลางกัดฟันแน่นและตะโกนกร้าวออกไป “เหอะ เป็นเจ้าพวกสารเลวนี่เอง !”
เมิ่งเฟยผู้ซึ่งสงบเสงี่ยมและพูดน้อยก็กวาดสายตามองฝ่ายตรงข้ามด้วยแววตาขุ่นเคืองเช่นกัน ในขณะที่เจียงเสี่ยวอวี๋และเจียงต้าอวี๋กำหมัดแน่นและดวงตาแดงก่ำด้วยความโกรธแค้นอย่างไม่ปิดบัง
“ฮ่า ๆ ๆ ไม่คิดเลยว่าพวกเจ้าจะโชคดีและรอดชีวิตออกมาจากป่ากายสิทธิ์ได้ หนำซ้ำยังเดินทางต่อมาได้จนถึงเทือกเขากายสิทธิ์แห่งนี้”
ผู้ที่กล่าววาจาด้วยน้ำเสียงเย้ยหยันดังกล่าวมีชื่อว่า ‘จางจัว’ เขาเป็นผู้นำคนปัจจุบันของขุมกำลังทรงพลังแห่งหนึ่งที่อยู่ในทางเหนือและอยู่ใกล้กับเทือกเขากายสิทธิ์แห่งนี้ สำหรับงานชุมนุมดินแดนเหนือคราที่ผ่านมา ขุมกำลังของเขามิได้เข้าร่วมงานหรือแสดงตนยอมจำนนต่อฉินอวี้โม่ แน่นอนว่าเขาไม่สังเกตหรือสนใจนางเท่าใดนัก
ก่อนหน้านี้พวกเขาและกลุ่มของวังหลงบังเอิญพบกันในป่ากายสิทธิ์ เดิมทีพวกเขาทั้งหมดตกลงเดินทางต่อไปด้วยกัน ทว่าระหว่างอยู่ในป่ากายสิทธิ์จางจัวกลับทิ้งพวกเขาทั้งห้าคนไว้เบื้องหลังและนำคนของตนมุ่งหน้าไปสู่เทือกเขากายสิทธิ์อย่างไม่แยแสหรือไยดีใด ๆ
“จางจัว ไม่คิดเลยว่าเจ้าจะเป็นคนชั่วร้ายเจ้าเล่ห์เช่นนี้ !”
วังหลงตวัดสายตามองจางจัวอย่างเย็นชาขณะกล่าวด้วยน้ำเสียงจริงจังและจิตสังหารแรงกล้าแผ่ออกไปเล็กน้อย
“ฮ่าๆๆ ตลกชะมัด เราไม่มีสิ่งใดเกี่ยวข้องกันและการที่ข้าให้สัญญาว่าจะพาพวกเจ้าเดินทางข้ามป่ากายสิทธิ์ไปด้วยกัน นั่นถือว่าเป็นการให้เกียรติพวกเจ้ามากแล้ว พวกเจ้าไม่แข็งแกร่งพอที่จะตามเราได้ทัน ทว่าตอนนี้พวกเจ้ากลับกล่าวหาว่าข้าเจ้าเล่ห์หลอกลวงและยังกล่าวว่าข้าเป็นคนชั่วร้าย เจ้าคิดว่าข้าจางจัวผู้นี้ชอบรังแกคนอื่นงั้นรึ ?!”
เสียงของจางจัวดังชัดเจนและดึงดูดความสนใจของหลายคนโดยรอบทันที สายตาของพวกเขาเหล่านั้นจับจ้องตรงมาด้วยความสงสัยใคร่รู้อย่างยิ่ง
ใครบางคนอดกล่าวขึ้นเบา ๆ ไม่ได้ “ไม่คิดเลยว่าคนพวกนี้จะทำเช่นนี้ แทนที่จะขอบคุณความช่วยเหลือจากผู้นำจางจัว พวกเขากลับกล่าวให้ร้ายเขาอย่างไม่ไว้หน้า ด้วยทัศนคติเช่นนี้ ไม่ว่าจะแข็งแกร่งเพียงใด พวกเขาก็เป็นจอมยุทธ์ที่มีจิตใจชั่วร้ายอย่างแท้จริง”
เป็นธรรมดาที่จะมีผู้คนที่ไม่ทราบความจริงทว่ากลับกล่าวข้อสันนิษฐานของตนเองออกมาอย่างไม่มีหลักฐาน เพราะเหตุนั้น ทันทีที่คนผู้นั้นกล่าวออกไป คนอื่น ๆ ก็เริ่มกระซิบกระซาบกันขณะชำเลืองมองไปที่กลุ่มของวังหลงด้วยสายตาราวกับว่าพวกเขาเป็นคนชั่วช้าน่ารังเกียจ
เฟิ่งซี เซิ่งเซียวและคนอื่น ๆ ก็สังเกตเห็นสถานการณ์ที่เกิดขึ้นที่นี่เช่นกัน เมื่อเห็นว่าคนที่มากับเยว่ชิงเฉิงถูกหาเรื่องและกลายเป็นจุดสนใจเช่นนี้ เขาก็ยกยิ้มมุมปาก “เหอะ อยากเห็นนักว่านางจะจัดการกับเรื่องนี้ยังไง หากจัดการเรื่องนี้ไม่ได้อย่างเด็ดขาด มันจะทำให้ชื่อเสียงของนครล่าฝันเสื่อมเสียและข้าเชื่อว่านั่นจะทำให้จอมยุทธ์หลายคนล้มเลิกความคิดที่จะเข้าร่วมนครล่าฝันของนางเป็นแน่”
แน่นอนว่าเขากล่าวด้วยความสาแก่ใจ เขาและฝ่ายของเยว่ชิงเฉิงเป็นศัตรูกันอยู่แล้ว เป็นธรรมดาที่เขาจะพึงพอใจเมื่อเห็นเยว่ชิงเฉิงเผชิญกับความยากลำบาก หากมิใช่เพราะที่นี่มีคนมองดูอยู่มาก เฟิ่งซีก็คงปรบมือไปแล้ว !
เซิ่งเซียวเพียงยิ้มบาง ๆ และไม่กล่าวสิ่งใด เขาไม่คิดเลยว่าเรื่องนี้ยุ่งยากจนเกินไป และเห็นได้ชัดว่าจางจัวต้องการใช้พลังของตนเพื่อข่มเหงผู้อื่นและสิ่งที่เขากล่าวมาอาจมิใช่ความจริง หากพิจารณาจากการเผชิญหน้าของทั้งสองฝ่ายครานี้ ฝ่ายของฉินอวี้โม่จะจัดการจางจัวได้อย่างแน่นอน !
โอวหยางชิงเฟิงเป็นคนตรงไปตรงมาไม่อ้อมค้อม สำหรับเขานั้นความชอบหรือไม่ชอบล้วนแสดงออกไปอย่างชัดเจน
เมื่อได้พบกับวังหลงและคนอื่น ๆ ก่อนหน้านี้ โอวหยางชิงเฟิงก็รู้สึกประทับใจในตัวพวกเขาอย่างยิ่ง บัดนี้เมื่อได้ยินวาจาของจางจัว เขาจึงอดไม่ได้ที่จะกล่าวบางอย่างโต้ตอบออกไป
“ชิงเฟิง รอดูก่อนเถอะว่าวังหลงและคนอื่น ๆ จะรับมืออย่างไร”
ฉินอวี้โม่โบกมือปรามโอวหยางชิงเฟิงไว้ทันท่วงทีเพื่อที่เขาจะไม่บุ่มบ่ามกล่าววาจาหรือทำสิ่งใดลงไป บัดนี้นางรับวังหลงและเหล่าสหายมาเป็นผู้ติดตามของตนแล้ว ฉินอวี้โม่ย่อมเชื่อมั่นและไว้วางใจในตัวพวกเขา แม้นางไม่ทราบแน่ชัดว่าสิ่งที่เกิดขึ้นเป็นอย่างไร นางก็เชื่อว่าวังหลงและคนทั้งสี่ไม่ยอมถูกรังแกอย่างง่าย ๆ เป็นแน่
เมื่อได้ยินวาจาของฉินอวี้โม่ โอวหยางชิงเฟิงก็ถอยหลังกลับและหยุดนิ่งเพื่อรอดูความเปลี่ยนแปลงของสถานการณ์ตรงหน้า ถึงอย่างไรเขาก็ฟังวาจาของฉินอวี้โม่มาโดยตลอดและไม่เคยมีเรื่องเลวร้ายเกิดขึ้นจากการฟังคำของนาง ตราบใดที่เขาเชื่อมั่นในความคิดของนางและรอชมสถานการณ์ต่อไป เขาเชื่อว่าจะไม่มีปัญหาใดเกิดขึ้น
“จางจัว อย่าพูดพล่ามไร้สาระไปหน่อยเลย พวกข้ารู้ดีว่าเกิดอะไรขึ้นก่อนหน้านี้ เจ้าคิดที่จะลวนลามน้องสาวของข้า ทว่าถูกพี่ใหญ่วังหลงหยุดไว้ได้ทัน หลังจากนั้นเจ้าจึงไม่พอใจและจงใจทิ้งเราไว้ที่ป่ากายสิทธิ์ รวมถึงดึงดูดอสูรมายาให้มาโจมตีพวกเรา เรื่องนี้เรายังไม่ได้คิดบัญชีกับเจ้าด้วยซ้ำ ทว่าเจ้ายังกล้ากล่าววาจาอย่างไร้ยางอายเช่นนี้ออกมาอีก !”
เมิ่งหมิ่นจ้องหน้าจางจัวตาเขม็งและแส้สีแดงเพลิงปรากฏในมือของนาง นางโกรธเคืองกับการกระทำของจางจัวก่อนหน้านี้อย่างที่สุด หากมิใช่เพราะเขาพาคนของตนจากไปอย่างรวดเร็ว นางก็คงจะจัดการเขาอย่างสาสมไปแล้ว
บัดนี้ในเมื่อคู่กรณีริอาจกล่าวให้ร้ายพวกนางอย่างหน้าไม่อายเช่นนี้ นางก็มิอาจทนได้อีกต่อไป !
เมื่อเห็นสีหน้าแววตาโกรธแค้นของเมิ่งหมิ่น ทุกคนที่ชมเหตุการณ์โดยรอบก็เปลี่ยนความคิดอย่างรวดเร็ว
“ดูเหมือนว่าแม่นางผู้นี้จะชิงชังจางจัวอย่างที่สุด มันดูไม่น่าจะเป็นการเสแสร้งแกล้งทำ เห็นทีจางจัวคงจะทำอย่างที่นางกล่าวไว้จริง ๆ ต้องการที่จะลวนลามสตรีในกลุ่มของนาง ทว่าถูกขัดขวางไว้เสียก่อน คนอย่างเขาไม่ยอมเสียหน้าอย่างแน่นอน เมื่อเห็นว่าคนทั้งห้าอ่อนแอเช่นนี้ เขาจึงคิดที่จะรังแก”
ใครคนหนึ่งมองไปที่เมิ่งหมิ่นและเมิ่งเฟย—สตรีพี่น้องผู้งดงามและวิเคราะห์สถานการณ์ก่อนกล่าวข้อสันนิษฐานของตนออกไป
“ถูกต้อง จางจัวผู้นี้เจ้าเล่ห์และชั่วร้ายยิ่งนัก เพียงมองแวบแรกก็ทราบได้ว่าเขามิใช่คนดี เป็นไปได้ว่าเขาเห็นแม่นางโฉมงามทั้งสองนี้และความใคร่เข้าครอบงำ อีกทั้งเขายังพยายามใช้กำลังรังแกคนทั้งห้า มันช่างเป็นการกระทำที่ไร้ยางอายจริง ๆ !”
คนอื่น ๆ ก็กล่าวอย่างเห็นด้วยและแววตาที่พวกเขามองกลุ่มคนทั้งห้าของวังหลงก็ด้วยเริ่มกลายเป็นความเห็นใจ
เมื่อได้ยินวาจาของผู้คนรอบตัว สีหน้าของจางจัวก็เหยเกทันที
“เหอะ เจ้าจะไปรู้อะไร ?”
จางจัวแค่นเสียงเย็นชาขณะมองเมิ่งหมิ่นตาเขม็งและกล่าวออกไป “เห็น ๆ กันอยู่ว่าน้องสาวของเจ้ามองว่าข้าทั้งรูปหล่อและแข็งแกร่ง นางพยายามโปรยเสน่ห์ให้ข้าสนใจทว่าถูกข้าปฏิเสธ พวกเจ้าไม่พอใจจึงกล่าวให้ร้ายข้าต่อหน้าคนอื่นเช่นนี้ ไม่คิดเลยว่าพวกเจ้าทั้งห้าจะบิดเบือนข้อเท็จจริงได้อย่างช่ำชองถึงเพียงนี้ วันนี้ข้าจะสั่งสอนพวกเจ้าต่อหน้าทุกคนและทำให้ทุกคนได้เห็นว่าชะตากรรมของผู้ที่ริอาจดูหมิ่นจางจัวผู้นี้ต้องเป็นอย่างไร !”
เมื่อได้ยินวาจาหลงตัวเองของจางจัว ทุกคนก็อดหัวเราะพรืดไม่ได้และมองเขาด้วยแววตาเหยียดหยาม
“พรืดดด ! ฮ่า ๆ ๆ ๆ …”
เยว่ชิงเฉิงก็อดหัวเราะไม่ได้เช่นกัน จางจัวผู้นี้สมองฟั่นเฟือนไปแล้วจริง ๆ
“พวกเจ้าหัวเราะอะไรกัน ?!”
เสียงหัวเราะของเยว่ชิงเฉิงทำให้จางจัวสังเกตเห็นนางและคนอื่น ๆ ที่อยู่ด้านข้าง เขากำลังจะเอ่ยวาจาหยาบคายออกไป ทว่าเมื่อเห็นใบหน้าเจ้าของเสียงหัวเราะเมื่อครู่อย่างชัดเจน น้ำเสียงของเขาก็อ่อนโยนลงและดวงตาเป็นประกายทันที
“ขืนยังมองต่อไป ระวังข้าจะควักลูกตาเจ้าออกมาเสีย !”
สายตาของจางจัวทำให้เยว่ชิงเฉิงไม่พอใจและนางจ้องหน้าเขาตาเขม็งพร้อมกล่าววาจาข่มขู่เสียงแข็ง
“แม่นางคนงาม เผ็ดร้อนแบบนี้สิ…ข้าชอบ”
เมื่อได้ยินวาจาของเยว่ชิงเฉิง จางจัวก็ไม่มีท่าทีหวาดหวั่นใด ๆ เขาพยายามกล่าวแทะโลมนางอย่างสบายใจ
“ถุย ! เจ้ากลับไปตักน้ำใส่กะโหลก ชะโงกดูเงาตัวเองเสียก่อนเถอะ แม้แต่อสูรมายายังแทบอาเจียนเมื่อเห็นหน้าเจ้า ที่สำคัญคือเจ้ายังไม่รู้ตัวด้วยซ้ำและยังกล้าออกมาเสนอหน้าโดยที่สร้างความหวาดกลัวให้กับผู้คนในทุก ๆ วัน หากข้าเป็นเจ้า ข้าคงเอามีดเฉือนหน้าตัวเองและฆ่าตัวตายไปนานแล้ว แม้แต่ท่านพญายมที่เห็นใบหน้าน่าเกลียดของเจ้าก็คงจะต้องการขับไล่เจ้าออกไปให้พ้นจากขุมนรกเสีย !”
เยว่ชิงเฉิงถือเป็นปรมาจารย์ในการด่าทออย่างเจ็บแสบ วาจาของจางจัวเมื่อครู่ทำให้นางโกรธเคืองอย่างมาก นางจึงไม่ลังเลที่จะกล่าวเหยียดหยามจนกว่าจางจัวจะหน้าดำคร่ำเครียดและพูดไม่ออก
ผู้คนโดยรอบฟังคำเสียดสียาวเหยียดของนางก็อดหัวเราะออกมาไม่ได้ พวกเขาเหล่านั้นก็ไม่ชอบหน้าจางจัวไม่ต่างกัน
ฉินอวี้โม่ยกยิ้มมุมปากเล็กน้อยโดยไม่กล่าวสิ่งใด แม่นางชิงเฉิงผู้นี้ยังคงกล่าววาจาเผ็ดร้อนเจ็บแสบไม่เปลี่ยนแปลง
แม้ว่าจางจัวจะไม่หล่อเหลา แท้จริงแล้วเขาก็ไม่ได้ขี้ริ้วขี้เหร่เช่นกัน ทว่าจากวาจาของเยว่ชิงเฉิงนั้นฟังดูเหมือนว่าเขาหน้าตาน่าเกลียดยิ่งกว่าปีศาจร้ายเสียอีก หากมิใช่เพราะเขามั่นอกมั่นใจในตัวเองอย่างเต็มเปี่ยม เกรงว่าวาจาของเยว่ชิงเฉิงคงทำให้เขาแทบอยากฆ่าตัวตายไปแล้ว !
“บัดซบ ! นังแพศยานี่ เจ้ากล้าดียังไงถึงได้กล่าววาจาหยาบช้าต่อข้าผู้นี้ !”
ใบหน้าของจางจัวในตอนนี้บิดเบี้ยวเหยเกจนแทบดูไม่ได้ เขาจ้องหน้าเยว่ชิงเฉิงตาเขม็งและสาดวาจาหยาบคายออกไป
บัดนี้ทุกคนตระหนักแล้วว่าระหว่างกลุ่มจางจัวและวังหลงนั้นฝ่ายใดกล่าวความจริงกันแน่ พวกเขาเหล่านั้นมองจางจัวและกลุ่มผู้ติดตามด้วยแววตารังเกียจอย่างที่สุด
“เจ้าว่าอะไรนะ ?! ข้าจะอัดเจ้าให้น่วมซะเดี๋ยวนี้ !”
หลังจากได้ยินวาจาหยาบคายของจางจัว สีหน้าของเยว่ชิงเฉิงก็บูดบึ้งด้วยความไม่พอใจ
โอวหยางชิงเฟิงและฉีอวี้พุ่งตรงออกไปทันทีที่ได้ยินวาจาของเยว่ชิงเฉิง ก่อนที่จางจัวจะลงมือทำสิ่งใด พวกเขาฟาดฝ่ามือเข้าใส่จางจัวอย่างเต็มแรงเสียแล้ว
ผลัวะ ! ผลัวะ !
หลังจากเสียงฝ่ามือฟาดสองครั้ง รอยฝ่ามือประทับปรากฏบนใบหน้าของจางจัวอย่างชัดเจนและเลือดสดกระเซ็นจากมุมปากของเขา สิ่งที่เกิดขึ้นรวดเร็วจนดูราวกับว่าโอวหยางชิงเฟิงและฉีอวี้ยังไม่ขยับมือด้วยซ้ำ
หลังจากนิ่งงันด้วยความตกตะลึงกับการกระทำของฉีอวี้และโอวหยางชิงเฟิง จางจัวก็ตอบสนองในที่สุด
“เจ้ากล้าดีอย่างไรที่มาทำร้ายข้าผู้นี้ ! พวกเจ้าไม่อยากมีชีวิตอยู่แล้วสินะ !”
เขาสบถอย่างโกรธแค้นและหันไปกล่าวกับผู้ติดตามข้างหลังตน “พวกเจ้ามัวแต่ทำบ้าอะไรกันอยู่ ? ไปจัดการพวกบัดซบนี่เสีย หากข้าไม่สั่งสอนให้เจ้าพวกบัดซบนี่ได้รู้ว่าชะตากรรมของคนที่กล้าท้าทายข้าว่าเป็นยังไง ข้าก็คงมิใช่คนของตระกูลจาง !”
เมื่อบรรดาผู้ติดตามข้างหลังจางจัวได้ยินคำสั่งของเขา พวกเขาก็เกิดความลังเลขึ้นมาเล็กน้อย ทว่าแม้ไม่เห็นด้วยกับวิธีการของจางจัว พวกเขาก็จำต้องก้มหัวยอมจำนนแต่โดยดี
“ชิงเฟิง ข้าจะปล่อยให้เจ้าจัดการ !”
เยว่ชิงเฉิงเหนื่อยหน่ายเกินกว่าจะลงมือเองและหันไปกล่าวกับโอวหยางชิงเฟิงก่อนที่นางจะเดินไปหยุดข้างฉินอวี้โม่ ปิงเสวียนและคนอื่น ๆ เพื่อรอชมเรื่องสนุก ๆ
โอวหยางชิงเฟิงและคนอื่น ๆ มองหน้ากันขณะรอยยิ้มปรากฏบนใบหน้า พวกเขามองตรงไปที่จางจัวและผู้ติดตามด้วยแววตาราวกับมองกระสอบทรายที่รองรับแรงเตะต่อย
วังหลงและคนอื่น ๆ ก็ต้องการลงมือเช่นกัน ก่อนหน้านี้เมื่อเผชิญหน้ากับอีกฝ่าย พวกเขามีจำนวนน้อยกว่าจึงตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบ ทว่าด้วยความช่วยเหลือจากโอวหยางชิงเฟิงในตอนนี้ พวกเขาจะจัดการจางจัวได้อย่างแน่นอน
ตู้ม ! ตู้ม !
พร้อมด้วยเสียงโจมตีรุนแรง คนของจางจัวก็ถูกซัดจนน่วมลงไปกองกับพื้นทีละคนโดยฝีมือของโอวหยางชิงเฟิงและคนอื่น ๆ
พวกเขาล้วนมีความแข็งแกร่งอยู่ในขอบเขตเซียนขั้นหกถึงขั้นแปด ส่วนบางคนที่อยู่ในขอบเขตเซียนขั้นเก้าก็เพิ่งบรรลุถึงระดับนี้และพลังยังไม่คงที่มากนัก เมื่อเผชิญหน้ากับคู่ต่อสู้เช่นนี้ แน่นอนว่าฝ่ายโอวหยางชิงเฟิงไม่รู้สึกถึงแรงกดดันใด ๆ
สีหน้าของจางจัวเปลี่ยนแปลงไปอย่างสิ้นเชิงเมื่อเห็นลูกน้องของตนถูกซัดจนหมอบอย่างมิอาจสู้ขณะมองโอวหยางชิงเฟิงและคนอื่น ๆ ด้วยแววตาหวาดหวั่น
ต่อให้เขามีพลังถึงขอบเขตพสุธาเซียนขั้นต้น หากต้องเผชิญหน้ากับจอมยุทธ์ขอบเขตเซียนขั้นเก้าหลายคนตรงหน้านี้ เขาก็มิอาจผ่อนคลายได้อย่างผู้คนตรงหน้าในตอนนี้
“พวกเจ้ารู้รึไม่ว่าข้าเป็นใคร ? พวกเจ้ากล้าแตะต้องข้าในอาณาเขตของข้ารึ ?!”
หัวใจของจางจัวในตอนนี้เริ่มรู้สึกยอมแพ้และร่างของเขาก้าวถอยหลังออกไปเรื่อย ๆ
“ไม่ว่าเจ้าจะเป็นใคร พวกเราก็ไม่สนใจ !”
โอวหยางชิงเฟิงและคนอื่น ๆ มองหน้ากันก่อนหันไปโจมตีจางจัวอย่างไม่ลังเล
.
.