คุณหนูสี่ สตรีเปื้อนเลือด - ตอนที่ 527 ข้อสงสัยของมังกรเหมันต์
จิ้งจอกเก้าหางและตัวนิ่มพันปีกวาดสายตามองมนุษย์ที่รวมตัวกันโดยรอบและตรวจสอบความแข็งแกร่งของพวกเขาก่อนสบตากันและส่ายศีรษะเบา ๆ อย่างรู้กัน
“มังกรเหมันต์ มันก็แค่กลุ่มของมนุษย์อ่อนแอ เจ้ากลัวมนุษย์เหล่านี้งั้นรึ ?”
แน่นอนว่าพวกมันสัมผัสได้ถึงขอบเขตพลังของฉินอวี้โม่และคนอื่น ๆ ในที่นี้ได้อย่างชัดเจน
ในบรรดามนุษย์ทั้งหมดเหล่านี้ ผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดเป็นเพียงจอมยุทธ์ในขอบเขตเซียนขั้นต้นเท่านั้นและมีจำนวนเพียงไม่มาก ส่วนความแข็งแกร่งของคนอื่น ๆ ก็ไม่ถึงขอบเขตพสุธาเซียนด้วยซ้ำ แน่นอนว่านั่นไม่เพียงพอที่จะทำให้อสูรพสุธาเซียนขั้นสูงต้องหวาดหวั่น
“ฮ่า ๆ ๆ กลุ่มของมนุษย์อ่อนแองั้นรึ พวกเจ้าคงจะมั่นใจกันเกินไป”
มังกรเหมันต์หัวเราะเยาะและกล่าววาจาเสียดสี “มนุษย์เป็นสิ่งมีชีวิตที่เจ้าเล่ห์และจอมแผนการเป็นที่สุด แม้ความแข็งแกร่งของมนุษย์เหล่านี้จะดูเหมือนว่าไม่ได้เป็นพิษเป็นภัยอะไรต่อเรา ทว่าหากประมาทเกินไปละก็… พวกเจ้าจบไม่สวยแน่ หากไม่เชื่อ หลังจากนี้เชิญพวกเจ้าลองพิสูจน์ด้วยตัวเองได้เลย”
ตัวนิ่มพันปีและจิ้งจอกเก้าหางไม่เคยต่อสู้กับมนุษย์มาก่อน ทว่ามังกรเหมันต์เคยประจันหน้ากับมนุษย์มาแล้วหลายครั้งหลายครา
สำหรับความเจ้าเล่ห์และน่ารังเกียจของสิ่งมีชีวิตที่เรียกว่ามนุษย์นั้น เกรงว่ามังกรเหมันต์จะเข้าใจเป็นอย่างดี ยิ่งไปกว่านั้น ที่นี่ยังดูเหมือนว่ามีหลายคนที่มันคุ้นหน้าคุ้นตาอีกด้วย
“ไม่คิดเลยว่าพวกเจ้าจะมาที่ดินแดนเทพมายาเช่นกัน ทว่าแม้เวลาจะผ่านไปพอสมควร ความแข็งแกร่งของพวกเจ้าก็ดูจะไม่ได้พัฒนามากนัก”
เมื่อหันไปมองกลุ่มของปิงเสวียน มังกรเหมันต์ก็เอ่ยปากกล่าวด้วยวาจาเหยียดหยาม
มันเคยพบกับปิงเสวียนและคนอื่น ๆ เมื่อครั้งยังอยู่ในดินแดนหวนหลิงก่อนหน้านี้แล้วและคุ้นเคยกับพวกเขาพอสมควร เนื่องจากทราบดีว่าพวกเขาเหล่านี้เป็นสหายของฉินอวี้โม่และเคยมีเรื่องบาดหมางต่อกัน แน่นอนว่ามันไม่ไว้หน้าพวกเขาแม้แต่น้อย
“โอ้ แปลกจริงที่เจ้ายังจำพวกเราได้ ก่อนหน้านี้ในนครเมฆาพวกเราอาจจะปล่อยให้เจ้าหลบหนีไปได้ ทว่าในเมื่อตอนนี้เราได้พบกันอีกครั้งแล้ว หากมีโอกาส เราก็ต้องจัดการเจ้าให้สิ้นซากไปเสียที ฮ่า ๆ ๆ”
เยว่ชิงเฉิงหัวเราะคิกคักเบา ๆ แม้ว่าความแข็งแกร่งของมังกรเหมันต์จะทำให้นางหวั่นใจอยู่เล็กน้อย อย่างไรก็ตาม นางและสหายมิใช่คนที่จะแสดงความอ่อนแอให้ผู้ใดได้เห็นเพียงเพราะอีกฝ่ายแกร่งกล้าเกินไป
พวกนางและมังกรเหมันต์ตัวนี้เป็นศัตรูตัวฉกาจต่อกัน ต่อให้แสดงความอ่อนแอใด ๆ ให้มังกรเหมันต์ได้เห็น มันก็ไม่มีทางปล่อยพวกนางไปง่าย ๆ แน่
“รอก่อนเถอะ เราจะได้เห็นดีกัน !”
เมื่อนึกย้อนไปถึงความอัปยศอดสูที่เคยเผชิญในดินแดนหวนหลิง แน่นอนว่ามังกรเหมันต์ย่อมต้องการสั่งสอนเยว่ชิงเฉิงและคนอื่น ๆ อย่างสาสม อย่างไรก็ตาม ตอนนี้มีผู้คนอยู่รอบตัวมากเกินไป รวมถึงมีตัวนิ่มพันปีและจิ้งจอกเก้าหางที่คอยจับตาดูอยู่ไม่ห่าง ทั้งสองฝ่ายจึงยังไม่ได้ลงมือโจมตีใด ๆ
จิ้งจอกเก้าหางและตัวนิ่มพันปีพยักหน้าอย่างใช้ความคิดเมื่อได้ยินบทสนทนาระหว่างมังกรเหมันต์และกลุ่มของเยว่ชิงเฉิง
“เจ้ามังกรเหมันต์ คิดอยู่แล้วเชียวว่าเหตุใดเจ้าถึงได้ใจกว้างขึ้นมาและอยากร่วมมือกับพวกข้าเพื่อจัดการกับมนุษย์เหล่านี้ ที่แท้ก็เป็นเพราะเจ้ามีเรื่องบาดหมางกับมนุษย์พวกนี้มาก่อนและอยากจะลากเราเข้าไปเกี่ยวพันด้วย”
ตัวนิ่มพันปียิ้มกริ่มและจ้องหน้ามังกรเหมันต์อย่างเหยียดหยามพลางกล่าว “เราไม่ยอมถูกเจ้าหลอกง่าย ๆ หรอก สำหรับสิ่งที่อยู่ใต้สระกายสิทธิ์ หากไม่แข็งแกร่งพอก็ไม่มีทางที่จะได้มันมาครอง เพราะฉะนั้นแม้ว่าที่นี่จะมีมนุษย์อยู่มาก พวกข้าก็ไม่ได้เป็นกังวล ไม่ว่าใครที่ได้สิ่งที่อยู่ใต้สระมาครอบครอง มันก็ขึ้นอยู่กับความสามารถที่แท้จริงของคนนั้น ๆ ต่อให้มนุษย์ได้มันไป เราก็ได้ทำเพียงแค่ยอมรับว่าเรามีความสามารถไม่พอ”
หลังจากฝึกยุทธ์มาจนถึงระดับนี้ มันก็เข้าใจในหลายสิ่งหลายอย่าง การทะลวงพลังจากระดับพสุธาเซียนไปสู่นภาเซียนต้องใช้โอกาสที่มากพอสมควร หากพวกมันคว้าสิ่งที่อยู่ใต้สระกายสิทธิ์มาได้ นั่นก็หมายความว่าโอกาสของพวกมันมาถึงแล้วและย่อมมีความสุขกับสิ่งนั้น อย่างไรก็ตาม หากพวกมันทำไม่สำเร็จก็หมายความว่าโอกาสนั้นยังไม่มาถึงและนั่นเป็นสิ่งที่มิอาจควบคุมหรือบังคับได้ บางคราการฝืนโชคชะตาก็อาจนำไปสู่หายนะที่ไม่คาดฝันได้
เมื่อได้ยินวาจาและน้ำเสียงใจเย็นของตัวนิ่ม ทุกคนก็รู้สึกถูกใจไม่น้อย ตัวนิ่มพันปีเป็นอสูรมายานิสัยดีอย่างยิ่ง หากเป็นไปได้ พวกเขาก็ต้องการผูกมิตรกับมัน
“พี่ตัวนิ่มพูดถูก เราไม่ร่วมมือกับเจ้าหรอก”
จิ้งจอกเก้าหางกล่าวด้วยน้ำเสียงเย้ายวนไม่เปลี่ยนแปลงก่อนกล่าวต่อ “อีกอย่าง เราไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นในนั้น หากใต้สระกายสิทธิ์มีโอกาสเพียงหนึ่งเดียว ข้าและพี่ตัวนิ่มก็คงต้องขอปฏิเสธมัน ถึงอย่างไรแล้วเราทั้งสองก็ไม่อยากแยกจากกัน เพราะเมื่อใดที่เราบรรลุไปสู่ระดับนภาเซียน หากไม่ได้ทำพันธสัญญากับผู้ใด เราก็จะต้องไปที่เผ่าอสูร เพราะฉะนั้นเราจะไม่ยอมถูกเจ้าหรือมนุษย์จูงจมูกเป็นแน่”
ทั้งจิ้งจอกและตัวนิ่มมีอายุนับพันปีและเคยเผชิญหลายสิ่งหลายอย่างมาแล้ว ยิ่งไปกว่านั้น ความสัมพันธ์ของอสูรทั้งสองก็ดีอย่างยิ่งและพวกมันตกลงร่วมกันที่จะบรรลุระดับพลังไปพร้อม ๆ กัน
หากโอกาสใต้สระกายสิทธิ์ช่วยให้พวกมันทั้งสองทะลวงพลังขึ้นไปได้ พวกมันก็จะไม่ปฏิเสธอย่างแน่นอน ทว่าหากมีเพียงหนึ่งเดียว อสูรทั้งสองก็ไม่ต้องการ
เมื่อได้ยินวาจาของตัวนิ่มพันปีและจิ้งจอกเก้าหาง สีหน้าของมังกรเหมันต์ก็เปลี่ยนไปเล็กน้อยทันทีทว่ากลับคืนสู่ปกติอย่างรวดเร็ว มันชำเลืองมองอสูรทั้งสองด้วยแววตาไม่พอใจเล็กน้อยและแอบสบถในใจ ทว่าไม่ได้กล่าวสิ่งใดออกไป
ทุกคนรออย่างใจเย็นเพื่อให้ผนึกของสระกายสิทธิ์สลายตัว
ตัวนิ่มพันปีและจิ้งจอกเก้าหางก็พบที่เหมาะสมเพื่อนั่งลงพลางโอบกอดกันและกันด้วยท่าทีสงบนิ่งใจเย็น ในขณะที่มังกรเหมันต์ยืนนิ่งอยู่กับที่และตั้งตารออย่างใจเย็นเช่นกัน
ฉินอวี้โม่และคนอื่น ๆ ชำเลืองมองตัวนิ่มพันปีและจิ้งจอกเก้าหางก่อนหาที่นั่งลงเพื่อรอผนึกคลายตัวเช่นกัน
“ฮ่า ๆ ๆ การที่พวกเจ้ามากันพร้อมหน้าเช่นกัน ไม่รู้ว่าเทพมายามากับพวกเจ้าด้วยรึไม่ ?”
มังกรเหมันต์ชำเลืองมองไปยังกลุ่มของเยว่ชิงเฉิงและกล่าวขึ้นเบา ๆ ด้วยน้ำเสียงยั่วยุอย่างชัดเจน
เมื่อเห็นฉินอวี้โม่ซึ่งยังไม่กล่าวสิ่งใดและมีผ้าคลุมบดบังใบหน้ายืนอยู่ด้านข้าง มังกรเหมันต์ก็อดขมวดคิ้วไม่ได้
ไม่ทราบเช่นกันว่าเพราะเหตุใด มังกรเหมันต์จึงรู้สึกคุ้นเคยกับกลิ่นอายที่แผ่มาจากร่างของมนุษย์ที่ลึกลับผู้นี้ราวกับเคยได้พบกันมาก่อน
“นั่นมิใช่เรื่องที่เจ้าจะต้องกังวล เจ้าควรจะขอบคุณมากกว่าที่ท่านเทพมายาไม่มาที่นี่ มิฉะนั้นเจ้าจะต้องถูกฝังอยู่ที่นี่เป็นแน่”
โอวหยางชิงเฟิงกล่าวด้วยน้ำเสียงราบเรียบไม่มีพิรุธใด ๆ พวกเขาเคยประจันหน้ากับมังกรเหมันต์ตัวนี้มาก่อนและคุ้นเคยกับนิสัยของมันดี หากมันสัมผัสหรือคาดเดาได้ถึงบางอย่างและกล่าวตัวตนของฉินอวี้โม่ออกไป มันจะไม่ใช่เรื่องที่น่ายินดีแน่
ตอนนี้ฉินอวี้โม่มีพลังเพียงขอบเขตเซียนขั้นเก้าเท่านั้น หากเรื่องที่ตัวตนของนางคือเทพมายาแพร่งพรายออกไป มันจะดึงดูดปัญหามากมายเข้ามาอย่างมิอาจหลีกเลี่ยง ในเวลานี้ปัญหาของนางก็ถือว่าล้นมือแล้ว เพราะเหตุนั้นนางจึงไม่ต้องการเปิดเผยตัวตนที่แท้จริงในตอนนี้
“เหอะ ปากดีไปเถอะ ต่อให้เทพมายาคนใหม่อยู่ที่นี่ ข้าก็ไม่กลัวเลยสักนิด ในทางกลับกัน ตัวตนของเทพมายาเป็นสิ่งที่อ่อนไหวอย่างมากในดินแดนแห่งนี้ หากข้ากำราบนางได้ มันก็น่าจะมีผลประโยชน์ดี ๆ ที่คาดไม่ถึงมากมาย”
มังกรเหมันต์แค่นเสียงเย็นชาและกล่าวอย่างไม่แยแส
เทพมายาคนใหม่ถือเป็นบุคคลสำคัญในดินแดนเทพมายา หากตกมาอยู่ในการควบคุมของมัน มังกรเหมันต์ก็จะสามารถใช้ข่มขู่ขุมกำลังใหญ่ทั้งหลายเพื่อให้ได้สิ่งที่ต้องการมาได้ หากเป็นเช่นนั้น ในไม่ช้ามันก็จะกลายเป็นผู้แกร่งกล้าอันดับหนึ่งของดินแดน
เมื่อคิดเช่นนี้ มังกรเหมันต์ก็แทบอดหัวเราะอย่างสาแก่ใจไม่ได้
สีหน้าท่าทางของฉินอวี้โม่ยังคงไม่เปลี่ยนแปลงขณะนั่งนิ่งด้วยใบหน้าเรียบเฉยเช่นเดิมราวกับไม่ได้ยินวาจาของมังกรเหมันต์แม้แต่น้อย
“เฮ้ เจ้ามนุษย์ที่สวมผ้าคลุมใบหน้า เจ้าขี้ริ้วขี้เหร่จนไม่กล้าสู้หน้าผู้คนรึ ? หรือเพราะมีเหตุผลอื่นจึงต้องสวมผ้าปิดบังใบหน้าเช่นนั้นไว้ ?”
มังกรเหมันต์จงใจกล่าวยั่วยุฉินอวี้โม่พร้อมชี้นิ้วตรงไปที่นาง
เพียงกล่าวคำว่า ‘เทพมายา’ มันก็ดึงดูดความสนใจของผู้คนทั่วบริเวณได้แล้ว บัดนี้เมื่อมังกรเหมันต์ชี้นิ้วตรงไปที่ฉินอวี้โม่ ทุกคนจึงอดมองตามด้วยความสงสัยใคร่รู้ไม่ได้
มังกรเหมันต์ตัวนี้สนใจในฉินอวี้โม่อย่างชัดเจน หรือเป็นเพราะมันสัมผัสได้ว่านางคือเทพมายาในตำนานผู้นั้น ?
หลายคนเริ่มคาดเดากันไปต่าง ๆ นา ๆ ทว่าไม่มีผู้ใดที่มั่นใจเลยสักนิด
“ฮ่า ๆ ๆ ฉลาดจริงเชียว เป็นจริงอย่างที่ว่า ข้าไม่กล้าสู้หน้าผู้คนจึงได้สวมผ้าคลุมบดบังใบหน้าไว้ เพียงแต่อสูรบางตัวก็ไม่รู้ตัวว่าตนน่าเกลียดน่ากลัวแค่ไหนและออกมาสร้างความหวาดกลัวให้กับผู้คนไปทั่ว”
ฉินอวี้โม่ยิ้มและกล่าวตอบด้วยวาจาเจือความเย้ยหยัน
นางทราบดีว่ามังกรเหมันต์ตัวนี้สงสัยเกี่ยวกับตัวตนของนาง อย่างไรก็ตาม ความสงสัยก็เป็นเพียงแค่ความสงสัย ในเมื่อไม่มีหลักฐานชัดเจน มังกรเหมันต์ก็ไม่สามารถยืนยันข้อสงสัยได้ ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ฉินอวี้โม่ก็ต้องการทำให้มันเสียอารมณ์ไปสักพักและไม่คิดถึงเรื่องตัวตนของนางอีก
“เจ้ากล้าพูดจาดูหมิ่นข้าเช่นนี้รึ ?!”
เมื่อได้ยินวาจาเยาะเย้ย มังกรเหมันต์ก็หันขวับไปทันทีและจ้องหน้านางตาเขม็งพร้อมแผ่จิตสังหารรุนแรงออกไป
“ข้าไม่กล้าหรอก ข้าเพียงกล่าวข้อเท็จจริงออกไปก็เท่านั้น”
ฉินอวี้โม่โบกมือเบา ๆ และสีหน้ายังคงไม่เปลี่ยนแปลง ทว่านางไม่ได้หันมองมังกรเหมันต์เลยสักนิด
เมื่อตัวนิ่มพันปีและจิ้งจอกเก้าหางได้ยินวาจาเสียดสีของฉินอวี้โม่ พวกมันก็อดหัวเราะเบา ๆ ไม่ได้
“ข้าก็สงสัยอยู่ว่าเหตุใดอสูรมายาในเทือกเขากายสิทธิ์ถึงได้ลดน้อยลงเรื่อย ๆ ในช่วงที่ผ่านมา ที่แท้พวกมันก็หวาดกลัวบางสิ่งบางอย่างจนหนีไปนี่เอง !”
จิ้งจอกเก้าหางแสร้งทำเป็นประหลาดใจขณะเอนตัวพิงแขนแข็งแกร่งของตัวนิ่มพันปีและกล่าววาจาพร้อมรอยยิ้มเล็ก ๆ
“น้องจิ้งจอกเก้าหาง อย่ามองสิ่งที่น่าเกลียดน่ากลัวเลย ข้าไม่ต้องการให้ดวงตาเร่าร้อนของเจ้าต้องรู้สึกระคายเคืองขึ้นมา หากเกิดอะไรกับดวงตาของเจ้าขึ้นมา ข้าก็คงจะเศร้าใจไม่น้อย”
ตัวนิ่มพันปีตอบกลับทันที พวกมันทั้งสองไม่ชอบหน้ามังกรเหมันต์เป็นทุนเดิมอยู่แล้ว หากมิใช่เพราะยังไม่ถึงเวลาที่เหมาะสม พวกมันคงจัดการมังกรเหมันต์ชั่วร้ายตัวนี้ให้รู้สำนึกไปแล้ว
“พวกเจ้า…”
เมื่อได้ยินวาจาเหยียดหยามของอสูรคู่รัก มังกรเหมันต์ก็จ้องหน้าพวกมันตาเขม็งทว่าไม่สามารถสรรหาคำใดมาพูดได้
บุคคลภายใต้ผ้าคลุมบดบังใบหน้าผู้นี้มีเล่ห์เหลี่ยมมากนักและมีปากคอเราะร้ายจนมันพูดไม่ออก
“เจ้ามิใช่เทพมายาจริง ๆ รึ ? เหตุใดเจ้าจึงดูร้อนรนเช่นนี้ ?”
เมื่อสัมผัสได้ถึงความคุ้นเคยจากกลิ่นอายจากร่างของฉินอวี้โม่มากขึ้นเรื่อย ๆ มังกรเหมันต์ก็กล่าวอย่างมีเลศนัยโดยตั้งใจเบี่ยงเบนความสนใจของทุกคน
“ฮ่า ๆ ๆ ไม่คิดเลยว่านอกจากจะมีหน้าตาน่าเกลียดน่ากลัวแล้ว เจ้ายังมีหูตาไม่ดีอีก เจ้าใช้ดวงตาดวงไหนมองกันว่าข้าดูร้อนรน ?”
ฉินอวี้โม่ยิ้มบาง ๆ และกล่าวออกไป แน่นอนว่าสีหน้าของนางยังไม่เปลี่ยนแปลงเพราะวาจาของมังกรคู่อริ
แต่ทว่า… หัวใจของนางเกิดลางสังหรณ์ที่ไม่ดีนัก เกรงว่าวันนี้ตัวตนที่แท้จริงของนางอาจจะถูกเปิดเผยออกไป…
“ดูนั่นเร็ว ผนึกกำลังจะคลายตัวแล้ว !”
ทันใดนั้น ใครคนหนึ่งก็อุทานออกมาซึ่งดึงดูดความสนใจของทุกคนให้หันไปจับจ้องที่สระกายสิทธิ์ตรงหน้าในทันที
.
.