คุณหนูสี่ สตรีเปื้อนเลือด - ตอนที่ 54 ค่ายวายุคลั่ง
ค่ายพักแรมที่ปรากฏอยู่เบื้องหน้าฉินอวี้โม่และพวกพ้องนั้น นับว่ามีขนาดไม่ใหญ่ไม่เล็ก มันมีขนาดพอ ๆ กับหมูบ้านขนาดเล็กแห่งหนึ่ง ตรงกลางเป็นถนนตัดผ่าน ทั้งสองข้างทางมีกระโจมหน้าตาคล้ายกันตั้งเอาไว้เกือบทั้งตลอดแนวซึ่งน่าจะใช้สำหรับเป็นที่พักอาศัย
นอกเหนือจากนั้น สองข้างถนนก็ยังมีกระโจมที่เปิดเป็นแผงลอยขายสิ่งค้าต่าง ๆ ตั้งสลับไปกับกระโจมที่พักอาศัย และสิ่งค้าที่วางขายอยู่ก็มีให้เลือกสรรมากมายทั้งของใช้จำเป็นและผลผลิตจากอสูรมายาที่ทั้งหาได้ง่ายและยาก รวมไปถึงของป่าหน้าตาแปลกประหลาดก็มีให้เห็น ไม่ว่าจะเป็น โอสถ อาวุธ แก่นมายา และแกนชีวิตและอื่น ๆ ดูแล้วค่ายนี้น่าจะเป็นสถานที่ที่มีไว้สำหรับติดต่อซื้อขายและแลกเปลี่ยนสินค้า
“อวี้โม่ ที่แห่งนี้มีชื่อว่า ‘ค่ายวายุคลั่ง’ เป็นค่ายสำหรับติดต่อแลกเปลี่ยนและเติมเสบียงอาหารภายในป่าแสงจันทร์แห่งนี้ เจ้าอยากจะพักผ่อนหรือซื้อหาสิ่งของจากที่นี่หรือไม่ ?”
โอวหยางชิงเฟิงก้าวเดินไปพลางแนะนำสถานที่ให้ฉินอวี้โม่ฟังด้วยรอยยิ้ม
ตั้งแต่เริ่มก้าวเข้ามาในที่แห่งนี้ ฉินอวี้โม่ก็เห็นว่ามีผู้คนมากหน้าหลายตาตรงเข้ามาทักทายโอวหยางชิงเฟิงอยู่ตลอดทาง ดูเหมือนว่าโอวหยางชิงเฟิงจะเป็นบุคคลที่มีชื่อเสียงอย่างที่เขาเคยว่าไว้จริง ๆ และดูจากกิริยาและการวางตัวต่อคนอื่นของเขาแล้ว หนุ่มน้อยหน้าตาจิ้มลิ้มผู้นี้ก็เป็นผู้มีอัธยาศัยดีมากทีเดียว
“เสี่ยวโร่ว เจ้าเหนื่อยรึเปล่า ?”
สำหรับตัวฉินอวี้โม่นั้นไม่รู้สึกเหนื่อยเท่าใดนัก อีกทั้งโดยปกติเสี่ยวโร่วไม่เคยได้เดินทางด้วยเท้าในระยะทางไกลเช่นนี้ ดังนั้นนางจึงกลัวว่าสาวใช้น้อยจะเหนื่อยเกินไปจนทนไม่ไหว
เสี่ยวโร่วส่ายหน้าและกล่าว “ ข้าไม่เหนื่อยเจ้าค่ะคุณหนู ตอนนี้ร่างกายของข้าเปี่ยมไปด้วยพละกำลัง”
เวลานี้เสี่ยวโร่วอยู่ในขอบเขตมายารัตนะแล้ว ทั้งนางยังมีเหล่าอสูรมายาตัวนิดตัวน้อยทั้งหลายคอยคุยเป็นเพื่อนแก้เหงาทำให้นางได้หัวเราะเกือบตลอดเวลา และเพลิดเพลินจนลืมความเหนื่อยล้า และยิ่งเมื่อได้อยู่ใกล้คุณหนูของตัวเองเช่นนี้ นางยิ่งรู้สึกเต็มเปี่ยมไปด้วยพลังงาน
“ถ้างั้นเราเข้าไปหาซื้อสิ่งของพวกภายในค่ายแล้วออกสำรวจป่ากันต่อดีกว่า”
ฉินอวี้โม่พยักหน้า เนื่องจากเสี่ยวโร่วไม่เหนื่อย ฉะนั้นนางจึงคิดว่าจะไม่หยุดพักค้างคืนที่นี่ อีกทั้งเวลานี้ก็เป็นโอกาสดีที่จะสำรวจป่าแสงจันทร์พร้อมกับโอวหยางชิงเฟิง สาวนักฆ่าในร่างอดีตคุณหนูจะไม่ปล่อยให้โอกาสทองเช่นนี้ล่าช้าหรือหลุดลอยไปอย่างแน่นอน
คณะเดินทางของฉินอวี้โม่เดินเข้าไปที่แผงลอยขายอาหารแห่งหนึ่งและซื้อหาอาหารแห้งหลายอย่าง
เจ้าของแผงลอยนั้นเป็นสตรีงามวัยสาวสะพรั่งรูปร่างอวบอึ๋มนามว่าเหล่ยหน่า
เมื่อเห็นโอวหยางชิงเฟิง เหล่ยหน่าก็ยิ้มและกล่าว “เสี่ยวชิงเฟิง ข้ามีข่าวที่น่าสนใจบางอย่าง เจ้าอยากจะฟังไหมล่ะ ?”
เมื่อได้ยินคำพูดของเหล่ยหน่า โอวหยางชิงเฟิงก็ยิ้มออกมา
“พี่เหล่ยหน่าบอกข้าหน่อยสิ”
เหล่ยหน่านั้นเป็นบุคคลกว้างขวางมาก นอกจากตัวนางจะมีชื่อเสียงโด่งดังเป็นที่รู้จักในเรื่องของความงามและมีอัชฌาสัยวาจาเป็นเลิศแล้ว แม่ค้าสาวงามผู้นี้ยังรู้จักพ่อค้าแม่ค้าแทบทุกคนในแถบนี้ด้วย ฉะนั้นแล้วจึงไม่มีเรื่องอะไรที่จะหลุดรอดหูตาของเหล่ยหน่าไปได้
“บอกได้ แต่จะถือว่าเจ้าติดค้างข้าเรื่องหนึ่งนะ” เหล่ยหน่ายิ้มและพูดทีเล่นทีจริงกับโอวหยางชิงเฟิง
“พี่เหล่ยหน่าก็ทราบดีว่าข้าไม่ยอมติดค้างใครแน่” โอวหยางชิงเฟิงยิ้มแล้วตอบ เขาไม่ได้โกรธเคืองคำพูดของเหล่ยหน่า
“ข้าได้ยินมาว่ามีบางอย่างแปลกประหลาดเกิดขึ้นที่ผาทรนง ตอนนี้มีหลายขุมกำลังเตรียมจะมุ่งหน้าตรงไปที่นั่น แถมยังมีบางกลุ่มมาจากนครไป๋อวิ๋นด้วยนะ”
เหล่ยหน่ายิ้มและบอกเล่าข่าวที่ได้ยินมาให้โอวหยางชิงเฟิงรับรู้ แท้จริงแล้วเรื่องนี้มิใช่ความลับแต่อย่างใด ทว่าเหล่ยหน่าเพียงแต่ได้รับรู้มาก่อนผู้อื่นเท่านั้น อีกไม่นานมันคงจะแพร่กระจายไปทั่วทั้งค่าย
“โอ้ ! ขอบคุณพี่เหล่ยหน่า”
โอวหยางชิงเฟิงยิ้มพลางพยักหน้า ทว่าใบหน้าของเขาดูแปลกไปเล็กน้อย
หลังจากการซื้อหาสิ่งจำเป็นเสร็จสิ้น โอวหยางชิงเฟิงก็พาฉินอวี้โม่และเสี่ยวโร่วมุ่งหน้าเดินทางเข้าไปในป่าอีกครั้ง
“อวี้โม่ เจ้าจะไปที่ผาทรนงหรือไม่ ?”
โอวหยางชิงเฟิงถามความคิดเห็นของฉินอวี้โม่ ดูเหมือนว่าเขาจะไม่อยากไปที่ผาทรนงเท่าไหร่นัก
ฉินอวี้โม่พยักหน้า นางเองก็อยากจะรู้เช่นกันว่ามีสิ่งใดรออยู่ที่ผาทรนงนั่นกันแน่ถึงได้ดึงดูดให้เหล่าขุมกำลังใหญ่น้อยพากันมุ่งหน้าไปที่นั่น และอย่างไรเสียก็ได้มาอยู่ที่นี่ในช่วงเวลาที่เกิดเรื่องเช่นนั้นขึ้นแล้ว อดีตนักฆ่าก็ไม่อยากจะพลาดมันไป และบางทีที่ผาทรนงแห่งนั้นอาจจะมีเงื่อนไขพิเศษที่จะช่วยให้นางทะลวงสู่ขอบเขตนภมายาได้ก็เป็นได้
“เอ่อ เช่นนั้นในฐานะสุภาพบุรุษข้าก็จะพาเจ้าไป”
โอวหยางชิงเฟิงเอ่ยด้วยน้ำเสียงหดหู่ และรอยยิ้มที่ดูขมขื่น
“ทำไมกัน ที่นั่นมีอันตรายอย่างนั้นหรือ”
ท่าทางแปลก ๆ ของสหายหนุ่มหน้าใสทำให้ฉินอวี้โม่ต้องเอ่ยถามขึ้น
“ไม่ใช่หรอก มันแค่สถานที่ธรรมดา ไม่ได้มีอันตรายอะไร”
โอวหยางชิงเฟิงส่ายศีรษะและกล่าวต่อ “ข้าเพียงแต่กลัวว่าจะได้พบหน้าคนที่ไม่อยากเจอเท่านั้น”
ฉินอวี้โม่พยักหน้า ทันทีที่เหล่ยหน่าบอกว่ามียอดฝีมือผู้มาจากนครไป๋อวิ๋นกำลังจะไปที่ผาทรนง ใบหน้าของบุรุษหน้าละอ่อนก็สลดลงอย่างเห็นได้ชัด ดูเหมือนว่าเขาจะมีเบื้องหลังบางอย่างกับนครใหญ่แห่งจักรวรรดิ
“เช่นนั้นพวกข้าจะไปกันเอง เจ้าไปรอข้าอยู่ที่ค่ายวายุคลั่งเถอะ”
เมื่อเห็นใบหน้าอันแสนยุ่งยากใจของโอวหยางชิงเฟิง ฉินอวี้โม่ก็เอ่ยขึ้นมาอย่างเข้าอกเข้าใจ
“ไม่ได้ ข้าลั่นวาจาไว้แล้วว่าจะเป็นคนพาพวกเจ้าเดินชมป่าแสงจันทร์ ข้าจะไม่ทิ้งให้เจ้ากับสหายไปกันเองหรอก”
โอวหยางชิงเฟิงส่ายศีรษะ ถึงแม้จะกลัวว่าจะได้พบหน้าบุคคลที่เขาไม่อยากเจอ แต่ในเมื่อสัญญาแล้ว บุรุษย่อมไม่คืนคำ ดังนั้นเขาก็จะพานางไป
“ถ้างั้น เจ้าก็อย่าฝืนนักล่ะ”
ฉินอวี้โม่พยักหน้าเพื่อบ่งบอกว่านางเคารพการตัดสินใจของเขาก่อนจะเดินต่อไปโดยไม่กล่าวสิ่งใดอีก
ถึงแม้ในผืนป่ากว้างใหญ่แห่งนี้จะเต็มไปด้วยอันตรายนานัปการ แต่เพราะทั้งฉินอวี้โม่และโอวหยางชิงเฟิงต่างก็มีอสูรมายาที่แข็งแกร่งอยู่ด้วยทั้งคู่ ดังนั้นไม่ว่าพวกเขาจะไปที่ใดในป่าแสงจันทร์ก็คงจะไม่เกิดปัญหาที่ยากเกินรับมือ คณะเดินทางทั้งหมดมุ่งตรงไปยังผาทรนง พร้อมกันนั้นในระหว่างทางก็ฝึกฝนเก็บเกี่ยวประสบการณ์จากการรับมือกับอสูรมายาที่พุ่งเข้ามาโจมตีไปด้วย การเดินทางของพวกเขาจึงเป็นไปอย่างไม่รีบเร่ง
สามวันผ่านไป…
ในที่สุดกลุ่มคนสามคนและสัตว์มายาอีกหนึ่งโขยงย่อม ๆ ก็เข้าใกล้จุดที่เป็นที่ตั้งแห่ง ผาทรนง
“ผาทระนงอยู่ข้างหน้านั่น พวกเราต้องระวัง”
โอวหยางชิงเฟิงบอกฉินอวี้โม่และเสี่ยวโร่ว
ยิ่งเข้าใกล้ผาทรนงก็มากเท่าไหร่ยิ่งมีโอกาสเผชิญหน้ากับอสูรมายาระดับสูง ๆ มากขึ้นเรื่อย ๆ เพราะฉะนั้นหากไม่ระวังให้ดีอาจจะบาดเจ็บหรือถึงขั้นพิการได้
ฉินอวี้โม่และเสี่ยวโร่วพยักหน้ารับทราบ พวกนางสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายอันแข็งแกร่งแทรกซึมอยู่ทั่วไปในอากาศ หากจะกล่าวแล้วก็นับว่าที่ตั้งของผาทรนงนั้นอยู่ ณ จุดกึ่งกลางของป่าแสงจันทร์อย่างพอดิบพอดี ซึ่งบริเวณรอบจุดกึ่งกลางของผืนป่าแห่งนี้มีลักษณะพื้นที่สลับซับซ้อน โดยประกอบไปด้วยที่ราบเล็ก ๆ ยอดเขามากมาย หน้าผาสูงชัน หุบเหวลึกกว้าง และถ้ำใหญ่น้อยอีกนับไม่ถ้วน ยิ่งไปกว่านั้น ป่าไม้ทั้งหมดก็ยังเป็นป่ารกทึบที่เต็มไปด้วยพืชพันธุ์แปลกประหลาดนานาชนิดขึ้นอยู่อย่างหลากหลาย ดังนั้น อสูรมายาที่อาศัยอยู่โดยรอบบริเวณนี้จึงมีความแข็งแกร่งเหนือกว่าจุดอื่น ๆ มาก
— เคร๊ง ! —
— ปัง ! ปัง ! ปัง ! —
เสียงบางอย่างดังขึ้นมาจากจุดที่ห่างออกไปไม่ไกลนัก ดูเหมือนว่าพื้นที่เบื้องหน้าของพวกเขาจะมีการต่อสู้เกิดขึ้น !
ฉินอวี้โม่และโอวหยางชิงเฟิงหันมองหน้ากัน ก่อนจะค่อย ๆ ก้าวเดินไปยังทิศทางที่เกิดเสียงดังอย่างช้า ๆ
เมื่อผ่านพ้นบริเวณที่เป็นป่ารกทึบมาได้ พื้นที่ราบเล็ก ๆ ก็ปรากฏขึ้นตรงหน้าพวกเขา …นี่คือจุดที่มีเสียงของการต่อสู้ดังขึ้น
ฉินอวี้โม่ เสี่ยวโร่ว และโอวหยางชิงเฟิงแอบซ่อนตัวอยู่ในพุ่มไม้ สิ่งที่พวกเขากำลังมองดูอยู่นั้นคือภาพของคนกลุ่มหนึ่งกำลังโอบล้อมและโจมตีมังกรดินตัวหนึ่ง
ความแข็งแกร่งของมังกรดินตัวนี้ไม่ได้แตกต่างจากตัวที่พวกเขาเจอก่อนหน้านี้ เวลานี้การต่อสู้ระหว่างมนุษย์กลุ่มหนึ่งและมังกรดินกำลังดำเนินไปอย่างดุเดือด ดูเหมือนว่าฝ่ายมนุษย์จะตกอยู่ในสถานการณ์ที่เป็นรอง… จากเศษเลือด ชิ้นเนื้อ และกระดูกที่หล่นกระจัดกระจายอยู่บนพื้นบ่งบอกให้ทราบว่ามีใครบางคนถูกมังกรเขี้ยวคมเขมือบกลืนลงท้องไปแล้ว !
เห็นได้ชัดเลยว่ากลุ่มคนที่ล้อมอยู่โดยรอบนั้นอ่อนแอกว่ามังกรดินมาก ภายใต้การโจมตีอันดุเดือดของเจ้ายักษ์ตะกละ พวกเขาไม่มีพลังเพียงพอที่จะโต้กลับได้เลย หากเป็นเช่นนี้ต่อไปอีกไม่นานพวกเขาคงจะกลายเป็นอาหารของมันหมดแน่
“คุณหนู ท่านรีบหนีไปก่อนเถอะ ตรงนี้ให้เป็นหน้าที่พวกเรา !”
ชายร่างใหญ่หนึ่งในกลุ่มคนที่กำลังปะทะกับมังกรดินกล่าวกับสตรีรูปร่างบอบบางที่อยู่ด้านหลังอย่างเร่งร้อน
พวกเขามาจากสมาคมช่างฝีมือแห่งนครไป๋อวิ๋น สตรีผู้นี้มีนานว่า–กู่เยว่หลิง นางเป็นบุตรสาวของประธานสมาคมช่างฝีมือ และผู้ที่กล่าวกับนางเมื่อครู่คือหัวหน้าผู้คุ้มกันของสมาคมและเป็นหนึ่งในผู้อาวุโสแห่งสมาคมช่างฝีมือนี้ มีนามว่า–ฉีอู่
“ลุงฉี อย่าพูดเหลวไหล ข้าจะไม่ทิ้งพวกท่านไปไหนทั้งนั้น”
แม้ว่ากู่เยว่หลิงจะดูอ่อนแอ ทว่าบนใบหน้านวลนั้นกลับไม่มีร่องรอยของความกลัวปรากฏอยู่ หากไม่ใช่เพราะนาง คนพวกนี้ก็จะไม่ตกอยู่ในอันตราย การจะให้นางหนีไปแต่เพียงผู้เดียวและปล่อยให้พวกเขาสละชีวิตเช่นนั้น นางไม่สามารถทำได้ !
กู่เยว่หลิงจ้องมองมังกรดินที่แสนดุร้ายพลางกัดฟันแน่น ทันใดนั้นนางก็ชักกระบี่ออกมา
“ลุงฉี ข้าจะช่วยพวกท่านรับมือกับเจ้ายักษ์ใหญ่นี่เอง”
กล่าวจบกู่เยว่หลิงก็วิ่งตรงเข้าไปหมายจะจู่โจมมังกรดินอย่างแน่วแน่
แม้ว่าคุณหนูผู้นี้จะดูบอบบางและมีท่าทางไม่แข็งแกร่งมากนัก ทว่าตามความเร็วของเร็วของนางกลับสูงส่งอย่างเหลือเชื่อ ทักษะการเคลื่อนที่ของนางนับว่าเฉียบคมและเหนือชั้นกว่าบุรุษรอบข้างมาก ทั้นใดนั้นเองกระบี่ในมือบางก็เสียบแทงเข้าไปที่หางยาว ๆ ของมังกรดินจากทางด้านหลัง
— ฉึก ! —
ดูแล้วกระบี่ที่อยู่ในมือของกู่เยว่หลิงคงจะเป็นอาวุธระดับสูง เพราะมันสามารถทะลุผ่านผิวหนังที่หนาและแข็งแกร่งของมังกรดินเข้าไปได้ ยิ่งไปกว่านั้นปลายกระบี่คมยังสามารถทะลุผ่านหางหนา ๆ ของอสูรมายาตะกละลงไปสู่อีกด้านและปลักยึดหางของมันไว้กับพื้นดิน
“โร่วววว !”
มังกรดินร้องคำรามด้วยความเจ็บปวด สิ่งที่เพิ่งจะแทงทะลุหางของมันไปเมื่อครู่คือกระบี่ระดับวิญญาณ พลังของอาวุธระดับสูงทำให้มังกรดินเจ็บปวดทรมานเป็นอย่างมาก
อสูรเทวะจอมเขมือบรีบหันหัวกลับมาทางกู่เยว่หลิง
— พรึบ ! —
— เคร๊ง ! —
มังกรดินใช้ความพยายามอย่างมาก เจ้ายักษ์ใหญ่สะบัดหางสุดแรงเกิดจนในที่สุดกระบี่ที่ปักคาอยู่ก็หลุดออก อาวุธระดับวิญญาณกระเด็นตกลงบนพื้นจนเกิดเสียงดังลั่นอย่างน่าใจหาย
“คุณหนูระวัง !”
สีหน้าของฉีอู่เปลี่ยนไปอย่างรุนแรงเมื่อเห็นกู่เยว่หลิงตกเป็นเป้าของมังกรดินที่กำลังโกรธ และในทันทีที่เห็นมังกรดินกำลังจะจู่โจมสตรีร่างบาง เขาและคนอื่น ๆ ก็รีบพุ่งตรงเข้าไปอย่างไม่คิดชีวิต
กู่เยว่หลิงที่เห็นมังกรดินกำลังจะโจมตีตนขมวดคิ้วแน่นอย่างครุ่นคิด เวลานี้นางจะต้องหาทางหลบหนีออกไปให้เร็วที่สุด
อย่างไรก็ตาม ในตอนที่คุณหนูแห่งสมาคมมีชื่อในนครใหญ่กำลังจะหนีนั้น จู่ ๆ ร่างกายของนางก็อ่อนยวบไร้เรี่ยวแรง สตรีร่างบางเป็นลมล้มพับไปต่อหน้าต่อตาเหล่าผู้คุ้มกันของนางและเจ้าอสูรจอมตะกละทันที
ฉินอวี้โม่และโอวหยางชิงเฟิงหันมามองหน้ากันอย่างประหลาดใจ พวกเขารู้สึกว่ากู่เยว่หลิงมีพลังเพียงพอที่จะถอยออกไปได้ทัน แล้วเหตุใด จู่ ๆ นางถึงได้หมดสติไปเช่นนั้น ?
มังกรดินสบโอกาสในทันที อสูรเทวะจอมเขมือบโถมร่างยักษ์ใหญ่เข้าใส่กู่เยว่หลิงที่อยู่บนพื้นอย่างรวดเร็วและในขณะเดียวกันมันก็อ้าปากขนาดใหญ่รอไว้แล้ว
โอวหยางชิงเฟิงออกคำสั่งให้อสูรมายาเข้าไปช่วยนางอย่างไม่ลังเล
ฉินอวี้โม่เองก็สั่งให้ม่อเสียเข้าไปเช่นกัน นางต้องการให้มั่นใจว่าจะสามารถจัดการเจ้ามังกรตะกละได้อยู่หมัดโดยไม่มีผู้ใดได้รับอันตราย
เมื่อฉีอู่และเหล่าผู้คุ้มกันมองเห็นปากใหญ่โตที่มีเขี้ยวแหลมคมของมังกรดินกำลังเข้าใกล้ร่างของกู่เยว่หลิง ใบหน้าของพวกเขาเต็มไปด้วยความตื่นตระหนก อีกเพียงแค่อึดใจเดียวคุณหนูของพวกเขาก็จะถูกกลืนเข้าไปอยู่ในท้องของมัน ผู้คุ้มกันทั้งหมดจึงพยายามทุ่มเทกำลังอย่างสุดชีวิตเพื่อจะจู่โจมเจ้ามังกรดินชั่วช้า
— ปัง ! —
ฉีอู่และพวกพ้องระดมกำลังโจมตีมังกรดินจากด้านหลัง และทำให้ร่างของมันสั่นไหวได้เล็กน้อย ทว่ากลับไม่สามารถทำให้เจ้าอสูรมายาหนังหนาละความสนใจจากว่าที่อาหารอันโอชะของมันได้
ในตอนนั้นเองที่ม่อเสียและอสูรมายาของโอวหยางชิงเฟิงปรากฏตัวตรงหน้ามังกรดิน
อสูรทั้งสองมองหน้ากันชั่ววูบหนึ่ง ก่อนจะพุ่งเข้าจู่โจมมังกรดินพร้อม ๆ กัน เจ้ามังกรตะกละชะงักไปเล็กน้อยเมื่อมีผู้เข้ามาขวางหน้ามัน ทว่ายังไม่ทันที่อสูรหนังหนาจะได้แสดงปฏิกิริยาตอบโต้ มันก็ถูกอสูรมายาลึกลับทั้งสองซัดเข้าใส่อย่างรวดเร็ว
เมื่อมังกรดินถูกดึงความสนใจไปจากกู่เยว่หลิง ฉินอวี้โม่และโอวหยางชิงเฟิงก็รีบวิ่งเข้ามาหาสตรีผู้ที่นอนกองอยู่บนพื้น
ฉินอวี้โม่อุ้มร่างของกู่เยว่หลิงขึ้นมาโดยไม่ลังเลก่อนจะรีบพาไปยังจุดที่ปลอดภัย
ในตอนที่เข้าไปพาร่างของคุณหนูจากนครใหญ่ผู้นี้มา ฉินอวี้โม่สังเกตเห็นว่าโอวหยางชิงเฟิงมีอาการลังเลและขัดเขิน นักฆ่าสาวในร่างอดีตคุณหนูเข้าใจเอาเองว่าโอวหยางชิงเฟิงนั้นคงจะเป็นเด็กหนุ่มบริสุทธิ์ และเขาก็คงจะไม่สะดวกใจกับการถูกเนื้อต้องตัวสตรี และทำให้อดีตคุณชายแห่งตระกูลใหญ่แสดงท่าทีกระอักกระอ่วนใจเมื่อจะต้องอุ้มกู่เยว่หลิงขึ้นมา ฉินอวี้โม่จึงรับหน้าที่นั้นแทน
เมื่อฉีอู่และผู้คุ้มกันคนอื่น ๆ มองเห็นอสูรมายาที่มาปรากฏตรงหน้ามังกรดินพวกเขาก็ตกตะลึงเป็นอย่างมาก ทว่าหลังจากที่ได้เห็นว่าอสูรมายาทั้งสองพุ่งเข้าจู่โจมเจ้ามังกรดิน ต่อมาก็มีสตรีและบุรุษปริศนาเข้ามาช่วยเหลือคุณหนูของพวกเขาไว้ก็ทำให้ทั้งหมดรู้สึกโล่งอก
“ขอบคุณพวกท่านมากที่ช่วยเหลือ”
ฉีอู่วิ่งเข้ามาหาฉินอวี้โม่และโอวหยางชิงเฟิงเพื่อกล่าวคำขอบคุณ
หากพวกเขามาไม่ทันเวลา ชีวิตของคุณหนูก็คงจะจบสิ้นกันแล้ว
“นางเป็นอะไรงั้นหรือ? เหตุใดจู่ๆ นางถึงได้หมดสติไป?”
ฉินอวี้โม่มองกู่เยว่หลิงที่ดูเหมือนจะนอนหลับอย่างสงบด้วยความงุนงง กู่เยว่หลิงยังไม่ได้ถูกมังกรดินจู่โจม และไม่มีร่องรอยของอาการบาดเจ็บแม้แต่น้อย อีกทั้งท่าทางของนางเมื่อครั้งเผชิญหน้ากับอสูรเทวะหนังหนาก็ไม่เหมือนกับผู้ที่หวาดกลัวมันจนสิ้นสติด้วย แล้วจู่ ๆ นางจะสลบไปได้อย่างไร ?
ฉีอู่ล้วงเอาขวดกระเบื้องเล็ก ๆ ออกมาจากแหวนมิติก่อนจะเทโอสถที่อยู่ภายในนั้นออกมาหนึ่งเม็ดแล้ววานให้เสี่ยวโร่วช่วยป้อนมันใส่ปากกู่เยว่หลิง
“เป็นเพราะโรคประจำตัวของคุณหนู”
ฉีอู่ถอนหายใจออกมา ฉินอวี้โม่และโอวหยางชิงเฟิงเพิ่งจะช่วยชีวิตคุณหนูของพวกเขา ฉีอู่จึงไม่คิดจะปิดบังผู้มีพระคุณทั้งสอง
กู่เยว่หลิงนั้นมีร่างกายที่อ่อนแอมาตั้งแต่แรกเกิด แม้ว่านางจะมีพรสวรรค์สูงส่งจนตอนนี้นางสามารถบรรลุขอบเขตมายารัตนะเก้าดาราได้แล้ว ทว่าด้วยปัญหาทางร่างกายทำให้นางไม่สามารถใช้พลังมายาได้อย่างเต็มที่
หากว่าต้องเผชิญหน้ากับการต่อสู้อย่างรุนแรงเมื่อใด นางก็จะหมดสติไปทุกครั้ง
ฉินอวี้โม่และโอวหยางชิงเฟิงมองหน้ากัน โรคนี้เป็นโรคที่แปลกประหลาดมากจริง ๆ