คุณหนูสี่ สตรีเปื้อนเลือด - ตอนที่ 546 พี่ชายและน้องสาวได้พบกันอีกครั้ง
เมื่อมาถึงและหยุดลงหน้าประตูห้อง ทั้งสองก็พบกับบุรุษผู้ที่กำลังยืนรออยู่หน้าประตู บุรุษผู้นี้สวมอาภรณ์สีเทาและดูมีอายุอยู่ในช่วงวัยสี่สิบปี ภายนอกเขาดูปกติธรรมดา อย่างไรก็ตาม ความแข็งแกร่งของเขาก็ล้ำลึกและเกินหยั่งถึงจนแม้แต่ฉินอวี้โม่ก็ไม่สามารถสัมผัสถึงระดับพลังของเขาได้ เมื่อบุรุษผู้นั้นเห็นฉินอวี้โม่และหานโม่ฉือ ใบหน้าของเขาก็แสดงความเคารพนอบน้อมทันที
“ท่านทั้งสอง นายท่านของพวกเรารอพบอยู่แล้ว เชิญเข้าไปข้างในได้เลยขอรับ”
เขากล่าวขึ้นเบา ๆ พร้อมเปิดประตูและผายมือส่งสัญญาณให้ฉินอวี้โม่และหานโม่ฉือเดินเข้าไป
ทั้งสองยิ้มให้กับคนผู้นั้นเล็กน้อยและนึกสงสัยเกี่ยวกับผู้ที่อยู่ในห้องเป็นอย่างยิ่ง
ทันทีที่ก้าวเข้าไปข้างใน ประตูก็ปิดลงอีกครั้งโดยบุรุษคนเดิม
ก่อนที่จะสำรวจสถานการณ์ตรงหน้าอย่างชัดเจน ฉินอวี้โม่ก็เห็นว่ามีใครบางคนปรี่ตรงเข้ามาหาตนอย่างรวดเร็วและโผเข้ากอดอย่างแรง
“คุณหนู ข้ารู้อยู่แล้วว่าท่านจะต้องมา”
เมื่อได้ยินน้ำเสียงตื่นเต้นอย่างออกนอกหน้าของเสี่ยวโร่ว ฉินอวี้โม่ก็ยิ้มออกมาเช่นกัน
“เสี่ยวโร่ว เจ้ามาถึงที่นี่ตั้งแต่เมื่อไหร่ ?”
หลังจากผละออกจากอ้อมกอดของเสี่ยวโร่ว ฉินอวี้โม่ก็เอ่ยถามพร้อมรอยยิ้ม ในเวลานี้เองที่นางตระหนักได้ว่ายังมีใครอีกคนอยู่ในห้องนี้เช่นกัน
“คุณหนู อย่าเพิ่งถามข้าในตอนนี้เลย คนที่อยากพบท่านมิใช่ข้าหรอก”
เสี่ยวโร่วยิ้มพร้อมก้าวถอยออกไปโดยเผยให้เห็นบุรุษคนหนึ่งที่ปรากฏตรงหน้าฉินอวี้โม่
บุรุษผู้นี้สวมอาภรณ์สีน้ำเงิน ใบหน้ารูปงามหล่อเหลาและสง่างามอย่างที่สุดของเขาประดับด้วยรอยยิ้มอ่อนโยน เขาดูมีอายุเพียงช่วงวัยยี่สิบปีและมองฉินอวี้โม่ด้วยสีหน้าที่ตื่นเต้นอย่างปิดไม่มิด
“พี่ใหญ่ !”
เมื่อเห็นว่าบุรุษตรงหน้าคือผู้ใด ฉินอวี้โม่ก็ชะงักไปชั่วขณะก่อนตะโกนออกไปด้วยความดีใจ
บุรุษชุดน้ำเงินผู้นี้มิใช่ใครอื่น หากแต่เป็นฉินอี้เฟย—พี่ชายคนโตของนางนั่นเองและตอนนี้เขาเป็นถึงหัวหน้าผู้อาวุโสของเรือนกระจกน้ำแข็ง
“เสี่ยวโม่เอ๋อร์”
ฉินอี้เฟยไม่รอช้าและเข้ามาสวมกอดน้องสาวที่ไม่ได้พบกันนาน
ในตอนนั้น เขาจากมาโดยที่ไม่ทันร่ำลาและเดินทางมาที่ดินแดนเทพมายาแห่งนี้เพียงลำพัง ทว่าในช่วงเวลาที่ผ่านมานี้ เขาก็แอบรู้สึกมาโดยตลอดว่าตนเองติดค้างน้องสาวผู้นี้มากกว่าใครและเป็นห่วงนางอย่างมาก
การที่บิดามารดาของทั้งสองมิได้อยู่ด้วย ในฐานะพี่ชาย เขาก็ควรที่จะดูแลน้องสาวคนนี้ให้ดีที่สุด อย่างไรก็ตาม ในตอนนั้นเขากลับเป็นกังวลเกี่ยวกับเสี่ยวโร่วจนอยู่ไม่ติด กอปรกับเห็นว่าน้องสาวดูแลตัวเองได้แล้วและมีหานโม่ฉืออยู่ข้างกาย เขาจึงตัดสินใจเดินทางมาที่ดินแดนเทพมายาแห่งนี้โดยเร็ว
ตลอดหลายปีที่ผ่านมา เขาจึงฝึกวิชาสั่งสมประสบการณ์อย่างเงียบ ๆ เพื่อก่อตั้งขุมกำลังที่ทรงพลัง ด้วยวิธีนั้น เมื่อน้องสาวของเขามาถึงดินแดนเทพมายา นางจะได้มีที่พึ่งพิงให้วางใจ
ก่อนหน้านี้เมื่อเสี่ยวโร่วบอกกล่าวเล่าให้ฟังถึงสถานการณ์ของฉินอวี้โม่ เขาก็มีความสุขและยินดีกับน้องสาวอย่างที่สุด ทว่าความกังวลในใจกลับมีมากกว่า
แม้จะปราศจากการปกป้องคุ้มครองจากบิดามารดาและพี่ชาย ฉินอวี้โม่ก็ยังสามารถพัฒนาฝีมือจนแข็งแกร่งขึ้นมาได้ ทว่าตลอดเวลาที่ผ่านมานี้ก็ไม่มีใครทราบอย่างแน่ชัดว่านางต้องเผชิญอุปสรรคหรือความยากลำบากมามากเพียงใด
“ขอโทษจริง ๆ ที่พี่ชายคนนี้ไม่ได้อยู่ปกป้องเจ้าตลอดหลายปีที่ผ่านมา…”
ฉินอี้เฟยเอ่ยขึ้นเบา ๆ ด้วยความรู้สึกผิดต่อน้องสาวของตน
เขาไม่ได้อยู่ดูแลและปกป้องนางในดินแดนหวนหลิงซึ่งไม่ได้เติมเต็มหน้าที่ของการเป็นพี่ชายตลอดหลายปีที่ผ่านมา ทว่าก็โชคดีที่ว่าน้องสาวของเขาแข็งแกร่งและเข้มแข็งอย่างยิ่ง มิฉะนั้น…
“พี่ใหญ่ ไม่ต้องขอโทษหรอก เห็นรึไม่ว่าข้าสบายดี อีกอย่าง…หลายปีที่ผ่านมา ท่านก็คงจะเผชิญอุปสรรคมาไม่น้อยเช่นกัน”
ฉินอวี้โม่กล่าวพร้อมรอยยิ้มและแววตาอ่อนไหว พี่ชายของนางมักเป็นผู้คุ้มครองนางจากสิ่งเลวร้ายอยู่เสมอและนางสนับสนุนทุกการตัดสินใจของเขา ถึงอย่างไรแล้วในตอนนั้นนางก็สามารถปกป้องตัวเองได้แล้ว ในขณะที่ไม่มีผู้ใดทราบว่าได้ว่าเสี่ยวโร่วอยู่ที่ใด การที่ฉินอี้เฟยจะเป็นกังวลจนอยู่ไม่ติดก็เป็นเรื่องที่สามารถเข้าใจได้
“คุณชายโม่ฉือ…”
เวลานี้เสี่ยวโร่วจำหานโม่ฉือที่ยืนอยู่ข้างกายฉินอวี้โม่ได้ดีและกล่าวด้วยน้ำเสียงเจือความประหลาดใจเล็กน้อย
นางทราบดีว่าหานโม่ฉือเป็นเพียงคนเดียวที่สามารถแนบชิดกับฉินอวี้โม่ได้เช่นนี้ เพียงคิดว่าคุณหนูของตนได้พบกับหานโม่ฉือและมีเขาคอยดูแลไม่ห่าง นางก็มีความสุขและยินดีเป็นอย่างยิ่ง
“ไม่ได้พบกันนานหลายปี ดูเหมือนว่าเจ้าจะแข็งแกร่งขึ้นมากทีเดียว”
หานโม่ฉือก็เพียงพยักศีรษะและกล่าวกับเสี่ยวโร่วเบา ๆ จากนั้นเขาก็ค่อย ๆ ดึงฉินอวี้โม่ออกจากอ้อมแขนของฉินอี้เฟยและมาอยู่ในอ้อมแขนของตน
“พี่ใหญ่ ไม่ได้พบกันเสียนาน”
ฉินอี้เฟยยิ้มบาง ๆ เมื่อได้ยินเช่นนี้ วาจาของหานโม่ฉือฟังดูไม่กระอักกระอ่วนแม้แต่น้อย
“ตลอดหลายปีที่ผ่านมา ขอบคุณมากที่ช่วยปกป้องเสี่ยวโม่เอ๋อร์เป็นอย่างดี”
ฉินอี้เฟยยังคงรู้สึกชื่นชมหานโม่ฉืออย่างยิ่ง เขาพยักศีรษะเบา ๆ พร้อมรอยยิ้มและกล่าวขอบคุณอีกฝ่ายอย่างจริงใจ
“ไม่เลย นี่เป็นหน้าที่ของข้าอยู่แล้ว”
หานโม่ฉือส่ายศีรษะเบา ๆ การปกป้องโม่เอ๋อร์คือสิ่งที่เขาควรทำและยินดีเป็นอย่างยิ่ง ต่อให้ผู้ใดจะไม่ต้องการให้เขาทำเช่นนั้น เขาก็ไม่มีทางยินยอมแน่
“ใช่สิ… แล้วหลานของข้าทั้งสองคนล่ะ ?”
ฉินอี้เฟยทราบสถานการณ์ของฉินอวี้โม่จากเสี่ยวโร่วและทราบว่าตอนนี้ตนเองกลายเป็นลุงแล้ว แน่นอนว่าเขาย่อมต้องการพบหลานทั้งสองโดยเร็ว
ฉินอวี้โม่สั่งให้เสี่ยวเฮยอุ้มบุตรน้อยทั้งสองออกมาจากคฤหาสน์เฟิงหัวในทันที
แม้พบกันเป็นครั้งแรก แต่เด็กน้อยทั้งสองก็ไม่มีท่าทีประหลาดหรือห่างเหินเลยสักนิด
เมื่อเห็นเสี่ยวโร่วยืนอยู่ด้านข้าง ทั้งสองก็ตะโกนเสียงหวานทันที “อี๊~ อี๊~”
เสียงเล็ก ๆ เจื้อยแจ้วด้วยความร่าเริงของเจ้าหนูทั้งสองทำให้เสี่ยวโร่วปรี่เข้าไปกอดทั้งสองและหอมแก้มฟอดใหญ่ทันที
“อ้ายฉือ อ้ายโม่ นี่คือลุงใหญ่ของเจ้าทั้งสอง”
ฉินอวี้โม่ชี้นิ้วไปที่ฉินอี้เฟยและกล่าวแนะนำให้บุตรน้อยทั้งสองได้รู้จัก
“ต้าจิ้วจิ่ว~”
ทั้งสองไม่มีท่าทีหวาดกลัวแม้แต่น้อยขณะกล่าวเรียกพร้อมยิ้มกว้างและยื่นแขนเล็ก ๆ ออกไปรอรับอ้อมกอดจากลุงใหญ่ที่เพิ่งพบกันเป็นครั้งแรก
ฉินอี้เฟยไม่รอช้าและรับหลานตัวน้อยมาอุ้มทันที ใบหน้าของเขาในตอนนี้ประดับรอยยิ้มกว้างอย่างมีความสุข
หมับ !
ทั้งสองหอมแก้มฉินอี้เฟยหลายครั้งและใบหน้าของพวกเขาแสดงถึงความสุขเช่นกัน
“หากท่านพ่อและท่านแม่ได้พบเจ้าหนูน้อยทั้งสอง พวกท่านจะต้องมีความสุขมากแน่ ๆ”
เมื่อนึกถึงบิดาที่ไม่ได้พบหน้าและมารดาที่ไม่ได้ยินแม้แต่ข่าวคราว ฉินอี้เฟยก็อดทอดถอนหายใจไม่ได้
“ใช่แล้ว หากนายท่านและนายหญิงได้พบกับเด็กทั้งสอง พวกท่านก็คงจะมีความสุขมาก”
เสี่ยวโร่วพยักศีรษะและกล่าวพร้อมถอนหายใจเบา ๆ เช่นกัน
นับตั้งแต่เดินทางมาที่ดินแดนเทพมายา นางก็ใช้อำนาจและอิทธิพลของตนในการสืบหาข่าวคราวของอวี๋เสี่ยวอวิ๋นมาโดยตลอด ทว่ากลับไม่พบเบาะแสที่เป็นประโยชน์เลย และหลังจากหลายปีที่ผ่านมานี้ นางก็ยังไม่พบเบาะแสใด ๆ เกี่ยวกับอวี๋เสี่ยวอวิ๋น
สถานการณ์ของฉินอี้เฟยก็เช่นเดียวกัน เขาเข้าร่วมกับเรือนกระจกน้ำแข็งเพียงเพราะต้องการใช้สถานะนี้ในการตบตานิกายหงส์มังกรและขุมกำลังอื่น ๆ รวมถึงสืบหาข้อมูลเกี่ยวกับมารดา น่าเสียดายที่แม้เวลาจะล่วงเลยมาหลายปีก็ยังไม่ได้ข้อมูลใดที่เป็นประโยชน์
แม้แต่ขุมกำลังใหญ่อย่างนิกายหงส์มังกรก็มีผู้คนเพียงน้อยนิดเท่านั้นที่ทราบข้อมูลเกี่ยวกับอวี๋เสี่ยวอวิ๋นซึ่งคนเหล่านั้นต่างก็เป็นบุคคลที่เข้าถึงยาก ในขณะที่ผู้นำคนปัจจุบันของเรือนกระจกน้ำแข็งก็ไม่ทราบข้อมูลใด ๆ เลย หากต้องการสืบหาเบาะแสของอวี๋เสี่ยวอวิ๋น คาดว่าจะต้องใช้เวลาอีกยาวนาน
“พี่ใหญ่ ตอนนี้ท่านพ่ออยู่ที่ดินแดนทางใต้ เขาก็เป็นช่างหลอมมากฝีมือเช่นกันและอาจจะมาที่เมืองซิ่งหัวในครานี้ สำหรับท่านแม่…เรื่องนี้ไม่เร่งด่วนเท่าไหร่นัก ตอนนี้พวกเราก็รู้เพียงแค่ว่าไม่มีอันตรายใด ๆ เกิดขึ้นกับนาง”
ฉินอี้เฟยไม่ได้ทราบเรื่องราวมากมายเท่ากับฉินอวี้โม่ เวลานี้ฉินอวี้โม่มีข้อสันนิษฐานว่าอวี๋เสี่ยวอวิ๋นอยู่ที่ใด อย่างไรก็ตาม นางยังต้องหาทางพิสูจน์ว่าข้อคาดเดานั้นเป็นจริงหรือไม่
“โอ้ ? ท่านพ่อจะมาที่นี่ด้วยงั้นรึ ?”
เมื่อได้ยินว่าฉินเทียนอาจมาที่เมืองซิ่งหัวในครานี้ ฉินอี้เฟยก็ชะงักไปเล็กน้อยก่อนที่จะเปลี่ยนเป็นความคาดหวังตั้งตารอ เนื่องจากเวลาที่ล่วงเลยมานานเหลือเกิน เขาจึงแทบลืมใบหน้าของผู้เป็นบิดาเสียแล้ว
“ข้าคิดว่าเขาจะต้องมา ยิ่งไปกว่านั้น ท่านพ่อก็ควรจะทราบว่าข้าต้องมาที่นี่แน่และเขาก็จะต้องมาเช่นกัน”
ฉินอวี้โม่พยักศีรษะเบา ๆ แม้กล่าวว่าเป็นเพียงข้อคาดเดา นางก็มั่นใจพอสมควร เพราะหากพิจารณาถึงสถานะช่างหลอมของนาง ฉินเทียนจะไม่พลาดงานครานี้อย่างแน่นอน
และก็เป็นจริงดังที่ฉินอวี้โม่คิดไว้ ในเวลานี้คนกลุ่มหนึ่งกำลังมุ่งหน้าเข้าสู่ประตูเมืองของเมืองซิ่งหัวและผู้นำของคนกลุ่มนั้นก็มิใช่ใครอื่น หากแต่เป็นฉินเทียนนั่นเอง
“ท่านพ่อบุญธรรม ท่านคิดว่าเสี่ยวโม่เอ๋อร์จะมาที่นี่รึไม่ ?”
ฉินจ้านเอ่ยถามจากด้านข้าง ครานี้เขาเดินทางมาที่เมืองซิ่งหัวพร้อมกับบิดาบุญธรรมด้วยเช่นกัน นอกเหนือจากทั้งสองก็ยังมีเสี่ยวเหยียนและคนอื่น ๆ เดินทางมาด้วย
“ไม่รู้เลยว่าพี่อวี้โม่จะมาที่นี่รึไม่… แล้วพี่ฉู่เจี๋ยจะฟื้นขึ้นรึยังนะ…”
เสี่ยวเหยียนกล่าวขึ้นมาเช่นกัน ในเวลานี้ฉู่เจี๋ยออกเดินทางไปที่ดินแดนทางใต้แล้วและแน่นอนว่าต้องการคลาดกันกับพวกเขา เสี่ยวเหยียนและคนอื่น ๆ จึงไม่อาจทราบได้เลยว่าตอนนี้ฉู่เจี๋ยฟื้นแล้วและกำลังเดินทางมุ่งหน้าไปที่ดินแดนทางใต้
“หากนางอยู่ในดินแดนเทพมายา นางจะต้องมาร่วมงานนี้อย่างแน่นอน ยิ่งไปกว่านั้น อี้เฟยก็อาจจะมาด้วย”
ฉินเทียนกล่าวด้วยน้ำเสียงมั่นใจ เขารู้จักบุตรชายและบุตรสาวของตนดีกว่าผู้ใด
“ไปหาโรงเตี๊ยมกันก่อนเถอะขอรับ จากนั้นเราค่อยสืบหาข่าวคราวต่าง ๆ”
ฉินจ้านกล่าวและเสนอให้ทั้งกลุ่มไปหาโรงเตี๊ยมที่พักก่อน
แน่นอนว่าทุกคนพยักศีรษะตอบตกลง
เดิมทีพวกเขาต้องการพักอยู่ในโรงเตี๊ยมแห่งเดียวกับที่ฉินอวี้โม่พักอยู่ ทว่าห้องพักกลับเต็มและไม่มีห้องว่างใด ๆ เหลืออยู่ เหตุนั้นพวกเขาจึงต้องมุ่งหน้าไปยังโรงเตี๊ยมแห่งต่อไป
ด้วยเหตุนั้น เวลาที่พวกเขาจะได้พบฉินอวี้โม่จึงจะล่าช้าออกไปอีกเล็กน้อย
ในขณะเดียวกันนี้ ฉินอวี้โม่และคนอื่น ๆ ก็ยังคงหารือกันอยู่ในห้องของโรงประมูล
“ตอนนี้เรียกได้ว่าเรือนกระจกน้ำแข็งอยู่ในการควบคุมของข้าแล้ว และผู้นำของเรือนก็เป็นเพียงแค่ผู้นำในนามเท่านั้น นอกจากนี้ผู้อาวุโสที่แข็งแกร่งที่สุดในเรือนกระจกน้ำแข็งก็เป็นผู้คุ้มกันลับของข้า เดิมทีเขาเป็นจอมยุทธ์อิสระที่ไม่เข้าร่วมขุมกำลังใดแต่ข้าบังเอิญช่วยชีวิตเขาไว้ เขาจึงภักดีต่อข้าอย่างสุดใจ บัดนี้เขามีความแข็งแกร่งอยู่ในขอบเขตพสุธาเซียนขั้นสูงสุดแล้ว หากวันใดที่เกิดสงครามขึ้นจริง เรือนกระจกน้ำแข็งของเราจะสามารถสู้กับนิกายหงส์มังกรได้และขุมกำลังอื่น ๆ ก็จะต้องประหลาดใจไปตาม ๆ กัน”
ฉินอี้เฟยเล่าให้ฉินอวี้โม่ฟังอย่างคร่าว ๆ เกี่ยวกับสถานการณ์ของเรือนกระจกน้ำแข็งและกล่าวถึงสิ่งที่เขาค่อย ๆ สั่งสมจนสำเร็จตลอดหลายปีที่ผ่านมา
เมื่อทราบว่าฉินอี้เฟยเป็นหัวหน้าผู้อาวุโสของเรือนกระจกน้ำแข็งและถือครองอำนาจที่ไม่ธรรมดาเช่นนี้ ฉินอวี้โม่ก็ไม่แปลกใจแม้แต่น้อย
นางทราบมาตลอดว่าพี่ใหญ่ของตนเป็นผู้ที่ทรงพลังมาก เพียงแต่ครั้งยังอยู่ในดินแดนหวนหลิง เขามักเก็บตัวเงียบและจดจ่อกับการพัฒนาพลังความแข็งแกร่งของตนเอง บัดนี้มีโอกาสได้ออกมากางปีก แน่นอนว่าความสามารถที่แท้จริงของเขาก็ย่อมปรากฏออกมา
“ตอนนี้ข่าวลือเรื่องที่ข้าและเสี่ยวโร่วมีความสัมพันธ์ที่สนิทสนมต่อกันแพร่หลายไปทั่วแล้ว และนั่นเป็นความตั้งใจของเราเอง สถานการณ์ในดินแดนนี้เปลี่ยนแปลงไปมาก เราจึงคิดที่จะเผยแพร่ข่าวลือเช่นนี้ออกไปเพื่อเป็นการหยั่งเชิงว่านิกายหงส์มังกรและขุมกำลังอื่น ๆ จะตอบสนองอย่างไร ข้าได้แจ้งท่านอธิการมู่อวิ๋นและคนอื่น ๆ เกี่ยวกับเรื่องนี้ไว้แล้ว พวกเขาคงจะไม่เคลื่อนไหวอะไร”
ฉินอี้เฟยยิ้มและมองไปที่เสี่ยวโร่วด้วยแววตาบ่งบอกถึงความรักอย่างชัดเจน
“เสี่ยวโร่ว แล้วเจ้าจะมาเป็นพี่สะใภ้ของข้าเมื่อใด ?”
ฉินอวี้โม่อดกล่าวพร้อมรอยยิ้มไม่ได้และใบหน้าของเสี่ยวโร่วแดงระเรื่อทันที
“คุณหนู ท่านกลั่นแกล้งข้าอีกแล้ว…”
เสี่ยวโร่วหน้าแดงระเรื่อทว่าเปี่ยมไปด้วยความสุขอย่างปิดไม่มิด
“พี่ใหญ่ เสี่ยวโร่ว ช่วยพวกเราสืบข่าวบางอย่างหน่อยเถอะ”
ฉินอวี้โม่ยิ้มบาง ๆ ก่อนเริ่มเกริ่นเข้าเรื่องสำคัญอีกเรื่องหนึ่ง
.