คุณหนูสี่ สตรีเปื้อนเลือด - ตอนที่ 551 ใครคือนกขมิ้น?
หลังจากอยู่ในห้องต่ออีกพักใหญ่ ฉินอี้เฟยและบ่าวฮุยก็ก้าวออกมาจากห้องอย่างไม่รีบร้อนโดยที่ฉินอวี้โม่ หานโม่ฉือและเสี่ยวโร่วเข้าไปในคฤหาสน์เฟิงหัวและขับเคลื่อนตามทั้งสองไปตามทาง
หากยังอยู่ในห้องนั้นต่อไป พวกนางก็คงไม่ได้พบกับสิ่งที่น่าสนใจ และเนื่องจากทราบถึงลักษณะนิสัยของหานซื่อพอสมควรแล้ว พวกนางก็รู้ว่าเขาจะต้องติดตามพวกนางมาและคิดสร้างปัญหากวนใจให้อย่างแน่นอน
ประจวบเหมาะกับที่ฉินอวี้โม่และทุกคนต้องการทวงน้ำมันฤทธานุภาพขวดนั้นคืนจากหานซื่อพอดิบพอดี แน่นอนว่าทุกคนก็ไม่รังเกียจที่จะร่วมสนุกกับอีกฝ่าย
“จิ๊จิ๊จิ๊ ดูเหมือนว่าน้ำมันฤทธานุภาพจะเป็นที่สนใจของคนไม่น้อยเลย แม้ทราบกันแล้วว่าตัวตนและพลังของหานซื่อไม่ธรรมดา ทว่าก็ยังมีบุคคลมุ่งร้ายหลายคนที่ติดตามเขาอยู่ไม่ห่าง”
เสี่ยวโร่วอดยิ้มออกมาไม่ได้เมื่อเห็นหานซื่อที่ตามหลังฉินอี้เฟยมาไม่ห่าง รวมถึงผู้ที่มีเจตนาร้ายอีกมากกว่าสิบคนที่ตามหลังอีกฝ่ายมา
พวกนางคาดการณ์สถานการณ์นี้ไว้ก่อนแล้ว ถึงอย่างไรน้ำมันฤทธานุภาพก็ถือว่าล้ำค่าอย่างยิ่ง โดยเฉพาะในงานรวมพลช่างหลอมครานี้ซึ่งจะพิสูจน์คุณค่าของมันอย่างชัดเจน ไม่มีทางเลยที่มันจะไม่ดึงดูดใจผู้คนมากมาย
ฉินอวี้โม่และหานโม่ฉือยิ้มกริ่มและตั้งตารอเรื่องน่าตื่นเต้นที่กำลังจะมาถึง
บัดนี้สถานการณ์เข้าข่ายตั๊กแตนจับจักจั่น นกขมิ้นอยู่ด้านหลังแล้ว แต่ก็ไม่อาจรู้ได้ว่าสุดท้ายแล้วใครจะเป็นนกขมิ้นและใครจะเป็นจักจั่นผู้เคราะห์ร้าย
* 螳螂捕蝉 / 螳螂捕蝉(黄雀在后) “ตั๊กแตนจับจักจั่น นกขมิ้นอยู่ด้านหลัง” ใช้เพื่อเปรียบเปรยถึงผู้ที่ไร้วิสัยทัศน์ มักเล็งผลระยะสั้นโดยไม่ระวังว่าจะมีผลร้ายในระยะยาวรออยู่ นอกจากนี้ยังใช้กระทบกระเทียบกับผู้ที่เอาแต่จ้องจะคิดบัญชีกับผู้อื่น โดยลืมไปว่าตนเองก็อาจจะกำลังถูกผู้อื่นจ้องจะคิดบัญชีเช่นกัน
หานซื่อยังคงตามรอยฉินอี้เฟยและบ่าวฮุยอย่างไม่รีบร้อน เขาไม่สนใจด้วยซ้ำว่าเป้าหมายจะรู้ตัวหรือไม่
“บุรุษสวมหน้ากากสองคนนั้นเข้าไปในห้องพิเศษของฉินเฟยมิใช่รึ ? และยังมีคุณหนูใหญ่จากตระกูลเหมยอยู่กับพวกเขาด้วย แล้วตอนนี้คนเหล่านั้นหายไปไหนกัน ?”
หานซื่อสับสนงุนงงไม่น้อย ตามข้อมูลที่ได้รับมาก่อนหน้านี้ ฉินอวี้โม่และหานโม่ฉือเข้าไปในห้องแยกของฉินอี้เฟย รวมถึงเสี่ยวโร่ว—คุณหนูใหญ่ตระกูลเหมยก็อยู่ในห้องนั้นเช่นกัน อย่างไรก็ตาม เหตุใดตอนนี้จึงมีเพียงฉินอี้เฟยและผู้ติดตามของเขาเท่านั้นที่ออกมาโดยที่อีกสามคนหายไป
แน่นอนว่าเขาสั่งคนออกไปสำรวจที่โรงประมูลอีกครั้งทว่าก็ยังไม่พบร่องรอยฉินอวี้โม่และหานโม่ฉือ
“หรือว่าพวกเขาจะกลับออกไปก่อนแล้ว ?”
ผู้ที่อยู่ถัดจากหานซื่อกล่าวข้อสันนิษฐานเบา ๆ ทว่าน้ำเสียงเปี่ยมไปด้วยความไม่เชื่อ ถึงอย่างไรแล้วพวกเขาก็จับตาดูห้องนั้นอยู่ไม่ห่างและไม่เห็นผู้ใดออกมา
“นั่นก็เป็นไปได้ พวกเขาอาจจะกลับออกไปก่อนโดยที่เราไม่ทันสังเกตเห็น”
หานซื่อพยักศีรษะเบา ๆ และรู้สึกว่าข้อสันนิษฐานดังกล่าวสมเหตุสมผลพอสมควร เขาไม่เชื่อว่าฉินอวี้โม่ หานโม่ฉือและเสี่ยวโร่วจะหายวับไปเฉย ๆ ได้
ฉินอี้เฟยออกจากโรงประมูลและเดินเท้าตรงไปยังป่านอกเมือง แน่นอนว่านั่นเป็นเพราะเขาไม่ต้องการดึงดูดหรือตกเป็นเป้าสายตาของผู้คนมากมายซึ่งจะทำให้ ‘แผนการ’ ของเขาดำเนินไปอย่างไม่สะดวกนัก
เมื่อมาถึงบริเวณป่า ฉินอี้เฟยและบ่าวฮุยก็หันขวับกลับหลังและมองตรงไปที่หานซื่อพร้อมคณะเดินทางของเขา
“ท่านจอมยุทธ์ ไม่ทราบว่าท่านตามพวกข้ามาทำไมรึ ?”
ฉินอี้เฟยกล่าวเสียงเรียบและใบหน้าไม่แสดงถึงความรู้สึกใด ๆ
แม้คุณชายรองตระกูลหานจะเชี่ยวชาญในด้านการอ่านสีหน้าท่าทางของผู้อื่น เขาก็ไม่สามารถคาดเดาความคิดของฉินอี้เฟยในตอนนี้ได้เลย
หลังจากเดินมานานพอสมควร จู่ ๆ ฉินอี้เฟยและบ่าวฮุยก็หยุดฝีเท้าอย่างกะทันหันจนเขาชะงักเล็กน้อย อย่างไรก็ตาม นี่เป็นสิ่งที่เขาเฝ้ารออยู่แล้ว ป่าผืนนี้มีผู้คนสัญจรผ่านไปมาเพียงประปรายและเป็นที่ที่เหมาะสำหรับการสะสางปัญหาทีเดียว
“ฮ่า ๆ ๆ ท่านคงจะเป็นฉินเฟย—หัวหน้าผู้อาวุโสของเรือนกระจกน้ำแข็งสินะ”
หานซื่อยิ้มอย่างเย็นชาขณะเดินตรงเข้ามาหยุดตรงหน้าฉินอี้เฟยเพียงสิบก้าวและกล่าวขึ้นเบา ๆ
“หึ ถึงขั้นทราบว่าข้าเป็นใคร… ท่านจอมยุทธ์ถือว่ารอบรู้ทีเดียว”
ฉินอี้เฟยกล่าวตอบโต้ด้วยสีหน้าท่าทางที่ยังคงไม่เปลี่ยนแปลง
“ข้ามั่นใจว่าข้าไม่เคยมีเรื่องบาดหมางกับสมาชิกของเรือนกระจกน้ำแข็งมาก่อน ทว่าในโรงประมูลเมื่อครู่ เห็นใดท่านจึงตั้งใจหมายหัวข้าเช่นนั้น ?”
หานซื่อยิ้มและกล่าวอย่างไม่อ้อมค้อมทว่าความริษยาฉายชัดในแววตาของเขาครู่หนึ่ง
ฉินอี้เฟยมีรูปลักษณ์หล่อเหลาและกลิ่นอายความอ่อนโยนสุภาพที่แผ่ออกมานั้นน่าพึงพอใจยิ่งนัก ยิ่งไปกว่านั้น เขาก็เป็นถึงปรมาจารย์ผู้หลอมโอสถด้วยอายุที่ยังน้อยและพรสวรรค์ของเขาก็เหนือกว่าหานซื่อมาก หากยังสามารถพัฒนาเติบโตต่อไปได้เช่นนี้ ฉินอี้เฟยจะกลายเป็นบุคคลสำคัญอันดับต้น ๆ ของดินแดนในไม่ช้าก็เร็ว
โดยปกติแล้วหานซื่อมักถือว่าตนเองพิเศษเหนือผู้อื่นและมักคิดแค้นชิงชังทุกคนที่เก่งกาจมากกว่า คุณชายรองของตระกูลหานผู้นี้มีจิตใจชั่วร้ายโหดเหี้ยมและเป็นคนประเภทที่สามารถสังหารทุกคนที่เหนือกว่าตนได้อย่างไม่ทุกข์ร้อน ด้วยเหตุนั้น เมื่อเผชิญหน้ากับฉินอี้เฟย จิตสังหารแรงกล้าก็เริ่มหมักหมมอยู่ในใจของเขาแล้ว
“ฮ่า ๆ ๆ ท่านจอมยุทธ์หลงตัวเองเกินไปแล้ว ข้าเพียงนำของ ๆ ข้าออกไปประมูลและอยากสร้างกำไรให้กับตัวเองก็เท่านั้น การที่ท่านกล่าวว่าข้าจงใจหมายหัวท่านโดยเฉพาะ ไม่รู้เลยว่าท่านไปเอาความมั่นใจเช่นนี้มาจากที่ใด”
น้ำเสียงของฉินอี้เฟยยังคงเรียบเฉยทว่าสิ่งที่กล่าวออกไปกลับทำให้คุณชายรองของตระกูลหานโกรธเคืองจนอยู่ไม่ติด
เขาทราบถึงความหมายแอบแฝงจากวาจาของฉินอี้เฟยได้ทันทีซึ่งจะสื่อว่าเขามีใบหน้าที่ด้านหนาและไม่คู่ควรมากพอที่จะเป็นเป้าหมายของอีกฝ่ายด้วยซ้ำ ต้องกล่าวเลยว่าหานซื่อภาคภูมิใจในตัวเองมาตลอด แม้แต่ผู้อาวุโสของตระกูลหานก็ยังสรรเสริญเอาใจเขาไม่หยุดหย่อน บัดนี้เมื่อออกมาท่องโลกกว้างในดินแดนเทพมายา เขากลับถูกดูหมิ่นเหยียดหยามอย่างไม่ไว้หน้าเช่นนี้ มันทำให้เขาโกรธแค้นอย่างที่สุดและแทบจะระเบิดอารมณ์ออกไป
“หากมิใช่เพราะจงใจหาเรื่องข้า เหตุใดท่านจอมยุทธ์จึงเสนอราคาขึ้นมาในตอนที่น้ำมันฤทธานุภาพกำลังจะตกเป็นของข้าเล่า ? ยิ่งไปกว่านั้น ท่านยังเสนอราคาเพียงสองครั้งและหยุดไปทันทีส่งผลให้ข้าต้องจ่ายเงินเพิ่มโดยไร้เหตุผล หากมิใช่เป็นเพราะจงใจเล่นงานข้า แล้วมันเพราะเหตุใดกัน ?”
ในเมื่อเผชิญหน้ากับฉินอี้เฟยอย่างซึ่ง ๆ หน้าแล้ว หานซื่อจะต้องสรรหาเหตุผลที่เหมาะสมมากล่าวอ้าง เขาเป็นคนที่จะต้องเอาชนะผู้อื่นในทุก ๆ ด้านและเป็นเพราะเขาคือคุณชายรองของตระกูลหาน เขาจึงยโสโอหังเป็นที่สุด แม้ฉินอี้เฟยจะเป็นที่รู้จักกันอย่างกว้างขวาง หานซื่อก็ไม่ไว้หน้าแต่อย่างใด
“ฮ่า ๆ ๆ ตลกชะมัด ในเมื่อท่านยังทำได้ แล้วเหตุใดข้าจะใช้วิธีเดียวกันไม่ได้ ? งานประมูลไม่ได้มีกฎเกณฑ์ตายตัวซึ่งห้ามมิให้เจ้าของสินค้าเข้าร่วมการประมูล และข้าบอกไปแล้วว่าข้าเพียงต้องการทำกำไรเพิ่มขึ้นเท่านั้น เมื่อฝ่ายหนึ่งได้ก็ย่อมมีอีกฝ่ายที่ต้องสูญเสีย หากมันเป็นเพราะท่านเสียเงินไปมากและอยากให้ข้าขอบคุณละก็… ข้าก็ต้องขอขอบคุณสำหรับความใจกว้างของท่าน”
ฉินอี้เฟยยิ้มและกล่าวด้วยน้ำเสียงบ่งบอกถึงความเยาะเย้ยและความหนักแน่น ส่งผลให้หานซื่อตะโกนกร้าวเสียงดังทันที
“หยุดพล่ามไร้สาระเสียที ! ส่งแหวนมิติมาซะ แล้วข้าจะปล่อยเจ้าไป !”
หานซื่อแค่นเสียงในลำคอเบา ๆ และยอมรับว่าตัวเองมิใช่คู่ต่อสู้ของฉินอี้เฟยในเรื่องของฝีปาก เขาจึงไม่รักษาท่าทีอีกต่อไปและกล่าวจุดประสงค์อย่างตรงไปตรงมา เขาต้องการทวงคืนหินผลึกที่จ่ายไปก่อนหน้านี้และจัดการคู่ต่อสู้ทั้งสองคนตรงหน้าให้สิ้นซาก
“โอ้ ? สิ่งที่ท่านพูดมาเป็นความจริงรึ ?”
ฉินอี้เฟยแสร้งแสดงสีหน้าจริงจัง
“แน่นอน !”
หานซื่อกัดฟันแน่นและพยักศีรษะอย่างแรง ทว่าแท้จริงแล้วประโยคหลังของเขามิใช่ความจริงเลยสักนิด
ทว่าฉินอี้เฟยก็ไม่ได้สนใจความหมายแอบแฝงของอีกฝ่ายขณะยิ้มบาง ๆ และหยิบแหวนมิติโยนให้กับหานซื่อทันที
“รับแหวนมิตินี้ไป เอาล่ะ ในเมื่อไม่มีอะไรแล้ว ข้าขอตัวก่อน”
หลังจากกล่าวจบ เขาก็ยิ้มกริ่มและหันหลังเตรียมเดินจากไป
“เจ้ากล้าหลอกข้างั้นรึ !”
เมื่อเห็นแหวนมิติที่ฉินอี้เฟยโยนมาให้ หานซื่อก็ตะโกนอย่างเดือดดาลทันที
สิ่งที่อีกฝ่ายมอบให้เขาคือแหวนชำรุดที่บรรจุสิ่งของได้เพียงน้อยนิดเท่านั้น ต่อให้ตกอยู่ตามท้องถนนก็ไม่มีใครที่ต้องการเก็บมันขึ้นมาและแน่นอนว่านี่มิใช่สิ่งที่เขาต้องการ
“ท่านบอกให้ข้าส่งแหวนมิติให้ท่านมิใช่รึ ? ข้าก็มอบให้แล้ว ข้าหลอกท่านอย่างไรกัน ?”
ฉินอี้เฟยแสดงสีหน้าจริงจังขึงขัง ทว่าเมื่อฉินอวี้โม่และอีกสองคนซึ่งจับตาดูสถานการณ์จากในคฤหาสน์เฟิงหัวเห็นการแสดงของฉินอี้เฟย พวกนางก็อดหัวเราะไม่ได้
“โม่ฉือ จริง ๆ แล้วพี่ใหญ่ก็ท้องดำไม่แพ้เจ้าเลย”
นางกล่าวพร้อมรอยยิ้มขณะหันไปมองบุรุษข้างกาย ฉินอวี้โม่อดคิดไม่ได้เลยว่ารอบตัวนางมีแต่คนเจ้าเล่ห์จอมแผนการ
“เหอะ คนอย่างหานซื่อสมควรได้รับบทเรียนเช่นนี้แล้ว หากมิใช่เพราะต้องกลับไปที่ตระกูล ข้าก็คงจะติดตามร่วมสนุกกับพวกท่านไปตลอดแล้ว”
เสี่ยวโร่วกล่าวด้วยน้ำเสียงเหยียดหยามต่อหานซื่ออย่างชัดเจน นางชิงชังคนประเภทนี้เป็นที่สุด สำหรับวิธีการของฉินอี้เฟยนั้น นางก็อดที่จะปรบมือแสดงความชื่นชมไม่ได้
“ฮ่า ๆ ๆ กลุ่มคนที่หลบซ่อนตัวเหล่านั้นก็เหมือนจะอดทนรอไม่ได้แล้ว เรารอชมเรื่องที่น่าสนุกกันต่อเถอะ”
ฉินอวี้โม่ยิ้มขณะหันไปมองหลายคนที่แอบตามรอยหานซื่อมาถึงที่นี่
หานโม่ฉือและเสี่ยวโร่วก็ชมเหตุการณ์ด้วยความตื่นเต้นและยังไม่ถึงเวลาที่พวกเขาจะลงมือเอง
“เจ้าอยากตายงั้นรึ ?!”
ภายนอกคฤหาสน์เฟิงหัว หานซื่อแค่นเสียงเย็นชาและแรงกดดันจากร่างของเขาก็แผ่ออกมากดข่มฉินอี้เฟยโดยตรง
ฉินอี้เฟยยังไม่เคลื่อนไหวใด ๆ ขณะบ่าวฮุยแค่นเสียงในลำคอเช่นกันและแผ่แรงกดดันออกไปสู้กับอีกฝ่าย
“เหอะ เจ้าเก็บแรงไว้รับมือกับคนพวกนั้นที่ตามเจ้ามาจะดีกว่า ข้าเห็นพวกเขาตามเจ้ามานานแล้วและคงไม่ยอมถอยไปง่าย ๆ”
ฉินอี้เฟยแค่นเสียงในลำคอขณะเดินออกไปด้านข้างและทิ้งตัวลงนั่งด้วยสีหน้ารื่นเริงใจ
เมื่อได้ยินเช่นนั้น หานซื่อก็หันกลับไปมองทันทีและพบว่ามีคนนับสิบที่กำลังแอบซุ่มจ้องมองมาที่นี่ด้วยเจตนาที่ชั่วร้าย
“เหอะ แค่กลุ่มคนจรจัด ริอาจจะสู้กับนายน้อยผู้นี้รึ !”
เขากล่าววาจาเย้ยหยันเสียงดังเพื่อให้คนเหล่านั้นได้ยินอย่างชัดเจน
“เหอะ ยโสโอหังนัก ! พ่อหนุ่มหน้าขาว ส่งน้ำมันฤทธานุภาพมาซะดี ๆ พวกเรามีคนมากกว่า เจ้าไม่ใช่คู่มือของพวกเราหรอก”
บุรุษคนหนึ่งก้าวออกมาก่อนตามมาด้วยสหายนับสิบคน
พวกเขาต่างก็คาดเดาได้ว่าตัวตนของหานซื่อไม่ธรรมดาอย่างแน่นอน อย่างไรก็ตาม ที่นี่คือเมืองซิ่งหัวที่ไม่ว่าจะมีสถานะสูงส่งเพียงใดก็ไม่มีประโยชน์ ยิ่งไปกว่านั้น บุรุษผู้นี้ก็ทำตัวสูงส่งเหนือผู้อื่นจนเกินไปซึ่งทำให้พวกเขารู้สึกไม่สบอารมณ์นัก ยิ่งไปกว่านั้น พวกเขาก็หมายปองน้ำมันฤทธานุภาพอยู่และไม่มีทางปล่อยหานซื่อไปง่าย ๆ
คนเหล่านี้เกิดและเติบโตในเมืองซิ่งหัว และมาจากขุมกำลังที่มีชื่อว่า ‘ประตูหมื่นดารา’ ซึ่งถือว่าเป็นขุมกำลังทรงอิทธิพลในเขตพื้นที่ของเมืองซิ่งหัว
“เหอะ คิดว่าข้าจะกลัวพวกเจ้ารึ ? ก็แค่นักเลงข้างถนนไม่กี่คน ไม่คู่ควรที่จะกล่าวถึงด้วยซ้ำ เดิมทีข้าก็นึกว่าดินแดนเทพมายาจะเต็มไปด้วยผู้แกร่งกล้ามากฝีมือ ไม่คิดเลยว่าจะมีตัวตลกอย่างพวกเจ้าอยู่ด้วย !”
หานซื่อแค่นเสียงเย็นชาและไม่มีความหวาดหวั่นแม้แต่น้อย แม้ฝ่ายของเขาจะมีคนน้อยกว่า แต่พวกเขาก็ไม่มีทางพ่ายแพ้ต่อคนเหล่านี้ ก่อนหน้านี้เขาคาดเดาไว้แล้วว่าน่าจะมีช่างหลอมที่ไม่พอใจบางคนตามรอยเขามา เพียงแต่ไม่คิดเลยว่าจะเป็นคนกลุ่มนี้
“งั้นก็ลองดูก่อนเถอะ !”
ฝ่ายประตูหมื่นดารานับสิบคนไม่รอช้าและเริ่มโจมตีฝ่ายหานซื่อทันที
หานโม่ฉือ ฉินอวี้โม่และเสี่ยวโร่วชมเหตุการณ์ความวุ่นวายจากภายในคฤหาสน์เฟิงหัวในขณะที่ฉินอี้เฟยและบ่าวฮุยนั่งดูอยู่ไม่ไกล
ไม่ไกลจากจุดนี้มีอีกหลายคนที่ผ่านไปผ่านมาและแวะชมสถานการณ์ของที่นี่เช่นกัน
ตลอดช่วงระยะเวลาหนึ่ง พื้นที่ในบริเวณนี้ก็คึกคักและเต็มไปด้วยผู้คน
.