คุณหนูสี่ สตรีเปื้อนเลือด - ตอนที่ 56 ท่านรู้จักข้า ?
ณ ผาทรนง จุดกึ่งกลางแห่งป่าแสงจันทร์
ฉินอวี้โม่ เสี่ยวโร่ว โอวหยางชิงเฟิง พร้อมกับเหล่าคณะขุดค้นแร่หายากจากนครไป๋อวิ๋นยืนดูผู้คนจำนวนมากมายที่รวมตัวกันอยู่ไม่ไกลจากหน้าผากว้าง ความจ้อกแจ้กจอแจของฝูงชนมหาศาลขับไล่ความเงียบสงบของสถานที่แห่งนี้ไปจนหมดสิ้น
หลังจากได้ฟังเรื่องราวของไข่ประหลาด ฉินอวี้โม่ก็เกิดความสนใจเป็นอย่างมาก กู่เยว่หลิงเองก็อยากจะมาดูสถานการณ์ที่ผาทรนงให้เห็นกับตาตัวเองเช่นกัน เมื่อคิดได้ดังนั้น พวกเขาทั้งหมดก็ร่วมเดินทางมาด้วยกัน และถ้าหากมีอันตรายเกิดขึ้นในระหว่างทาง ทั้งหมดก็จะได้ช่วยกันรับมือได้
ผาทรนงตั้งอยู่ในบริเวณใจกลางของป่าแสงจันทร์ ณ จุดนี้เป็นถิ่นที่อยู่อาศัยของอสูรมายาระดับสูงจำนวนมากและหลากหลายชนิดตั้งแต่ระดับศักดิ์สิทธิ์ดาราสูง ๆ เรื่อยไปจนถึงระดับเทวะเก้าดารา นอกจากนี้พวกเขายังได้กลิ่นอายของอสูรเทวะราชันอันเข้มข้นอยู่ในบริเวณนี้ด้วย
บนหน้าผาทรนงนั้นมีอสูรเทวะราชาระดับเจ็ดดาราอาศัยอยู่ มันคือ–ราชาอสรพิษเก้าเศียร
ส่วนไข่ประหลาดที่กู่เยว่หลิงกล่าวก็อยู่ภายในรังของราชาอสรพิษเก้าเศียร
ทว่าราชาอสรพิษเก้าเศียรนั้นเป็นอสูรมายาที่ทรงพลังและดุร้ายมากเสียจนไม่มีผู้ใดกล้าเหยียบย่างเข้าไปใกล้ตัวมันหรือแม้แต่รังใหญ่ของมัน ดังนั้นเรื่องไข่ประหลาดที่เล่าลือกันจึงยังเป็นเพียงคำบอกเล่าเท่านั้น เพราะในเวลานี้ ผู้คนทั้งหมดที่มารวมตัวกันที่นี่ก็ยังไม่มีใครได้เข้าไปเห็นด้วยตาว่าแท้จริงแล้วมันมีลักษณะเช่นไร
“ดูเหมือนว่าจะมีคนจากนครไป๋อวิ๋นมาที่นี่ด้วย”
เมื่อเห็นคนจำนวนมากมารวมตัวกัน และในคนกลุ่มใหญ่เหล่านั้นยังมีบางคนที่คุ้นหน้าคุ้นตา กู่เยว่หลิงก็เอ่ยเรื่องนี้ขึ้น
ในฐานะที่เป็นหลานสาวของประธานสมาคมช่างฝีมือแห่งนครไป๋อวิ๋น แน่นอนว่านางจะต้องรู้จักผู้คนจำนวนไม่น้อย
ผู้คนมากหน้าหลายตาที่มาที่นี่ กู่เยว่หลิงจำได้ว่ามีหลายคนมาจากขุมกำลังใหญ่ในนครไป๋อวิ๋น
และในบรรดาคนมากมายเหล่านั้นผู้ที่นางพอจะบ่งบอกตัวตนได้นั้นได้แก่ ผู้อาวุโสสามแห่งตระกูลโอวหยาง–โอวหยางหมิง ผู้อาวุโสหกแห่งตระกูลเหล่ย–เหล่ยเจิ้นเทียน ผู้อาวุโสสี่แห่งตระกูลหลินและเป็นตัวแทนจากสมาคมทหารรับจ้าง–หลินซวง และ ชวี่เซียว–ผู้อาวุโสแห่งสมาคมผู้ฝึกสัตว์อสูร และอีกคนคือคนที่มีแซ่เดียวกันกับฉินอวี้โม่ ผู้อาวุโสเจ็ดของตระกูลฉินแห่งนครไป๋อวิ๋น–ฉินอีเฟิง
“อะไรกัน ลุงสามก็มาด้วยรึ ?”
เมื่อเห็นโอวหยางหมิง โอวหยางชิงเฟิงก็ถอยหลังออกไปก้าวหนึ่งตามสัญชาตญาณราวกับเขาต้องการจะซ่อนตัวเพราะกลัวว่าจะถูกอีกฝ่ายพบเห็น
แม้ว่าโอวหยางหมิงจะเป็นเพียงผู้อาวุโสสามแห่งตระกูลโอวหยาง ทว่าความแข็งแกร่งของเขาก็ไม่ด้อยกว่าผู้อาวุโสที่หนึ่งและสองมากนัก ยิ่งกว่านั้นแม้ว่าเขาจะเป็นบุคคลที่มีความสุภาพอ่อนโยน ทว่าในขณะเดียวกันก็เป็นคนเด็ดขาด เมื่อตัดสินใจเรื่องใดแล้วก็จะไม่มีวันเปลี่ยนแปลง ในบรรดาผู้อาวุโสในตระกูล โอวหยางชิงเฟิงรู้สึกไม่ชอบใจโอวหยางหมิงมากเป็นอันดับต้น ๆ
ฉินอวี้โม่จับตามองฉินอีเฟิงผู้อาวุโสแห่งตระกูลฉินด้วยความรู้สึกแสนซับซ้อน ในความทรงจำของคุณหนูสี่คนเดิมนั้น นางไม่เคยทราบเลยว่าในนครไป๋อวิ๋นก็มีตระกูลฉินอยู่ด้วย ! ซึ่งนั่นก็ทำให้เกิดข้อสงสัยบางอย่างขึ้นในใจฉินอวี้โม่… เวลานี้นางอย่ากรู้เหลือเกินว่า ตระกูลฉินแห่งนครไป๋อวิ๋นจะมีความเกี่ยวข้องกับคุณหนูสี่ผู้ล่วงลับหรือไม่ ?!
“ชิงเฟิงก้าวออกมา เจ้าไม่สามารถปกปิดกลิ่นอายของตนเองต่อหน้าข้าได้ !”
จู่ ๆ โอวหยางหมิงก็กล่าวขึ้นมาอย่างฉับพลันพร้อมกันนั้นเขาก็หันมามองคณะเดินทางของฉินอวี้โม่ ผู้อาวุโสใหญ่แห่งตระกูลโอวหยางจ้องมองโอวหยางชิงเฟิงนิ่งนาน
หลังจากลังเลอยู่ครู่หนึ่ง โอวหยางชิงเฟิงก็โบกมือแล้วก้าวออกมาด้านหน้าเล็กน้อย เขารู้ดีว่าคงไม่สามารถหลบซ่อนตัวต่อหน้าคนผู้นี้ได้
“ท่านลุงสาม ท่านก็มาด้วยรึ ?”
โอวหยางชิงเฟิงยิ้มแหยและกล่าวทักทายโอวหยางหมิง ทว่าสายตาของบุรุษหนุ่มหน้าใสผู้มาจากตระกูลยิ่งใหญ่กลับดูหดหู่หม่นหมองอย่างเห็นได้ชัด
“เจ้าตัวดี ข้าไม่สงสัยเลยว่าเหตุใดถึงส่งคนออกตามหาเจ้าเท่าไหร่ก็ไม่เคยพบ ที่แท้ เจ้าก็มาอาศัยหลบซ่อนตัวอยู่ในป่าแสงจันทร์นี่เอง”
โอวหยางหมิงที่ทำหน้าเคร่งขรึมในคราแรกเปลี่ยนเป็นอ่อนโยนลงเมื่อได้สัมผัสและเข้าใกล้ตัวหลานชาย เขาลูบไหล่ของโอวหยางชิงเฟิง ดูเหมือนบุรุษอาวุโสจะมีความสุขที่ได้เห็นหลานชายของเขาอีกครั้ง
“ชิงเฟิง หากข้าเสร็จธุระที่นี่แล้ว เจ้าจะกลับไปพร้อมกับข้าดีรึไม่ ?”
โอวหยางหมิงยิ้มให้โอวหยางชิงเฟิงอย่างอ่อนโยนพลางเอ่ยขึ้น
“ข้าไม่อยากกลับ”
โอวหยางชิงเฟิงส่ายศีรษะเพราะเขาไม่อยากจะกลับไปจริง ๆ
“ไม่ต้องห่วง ท่านปู่ของเจ้าไม่โกรธแล้วล่ะ เวลานี้เขาเสียใจมากที่บีบบังคับเจ้าในตอนนั้น ตอนนี้เขาเปลี่ยนใจแล้ว ขอเพียงเจ้ายอมกลับไป เขาจะไม่บีบบังคับอะไรเจ้าอีก”
โอวหยางหมิงยิ้ม เขารู้ดีว่าโอวหยางชิงเฟิงกำลังกังวลเรื่องนี้อยู่
“ท่านปู่พูดแบบนั้นหรือ ? ท่านลุงสาม นั่นเป็นเรื่องจริงรึเปล่า ?!”
เมื่อได้ยินคำพูดของโอวหยางหมิง โอวหยางชิงเฟิงก็ดูสดใสขึ้นในทันที เขากล่าวถามผู้อาวุโสหมิงด้วยรอยยิ้ม
“เด็กโง่ ลุงสามคนนี้จะโกหกเจ้าทำไมกัน ปู่ของเจ้าบอกว่าเขารีบร้อนเองโดยไม่คำนึงถึงความรู้สึกของเจ้า อย่างไรเจ้าก็เป็นหลานชายเขา เขาควรจะคำนึงถึงความรู้สึกของเจ้าให้มาก”
โอวหยางหมิงมองดูโอวหยางชิงเฟิงและยิ้มอย่างมีความสุข การจากมาถึงห้าปีของโอวหยางชิงเฟิงไม่เสียเปล่าเลยจริง ๆ ความแข็งแกร่งของเขาในตอนนี้โอวหยางหมิงมองออกและรับรู้เป็นอย่างดี หากหลานชายผู้นี้กลับไปยังตระกูลในตอนนี้ ท่านผู้นำตระกูลจะต้องดีใจมากแน่
โอวหยางชิงเฟิงยิ้มตอบ เขารู้ดีว่าท่านลุงสามผู้นี้ไม่ใช่ผู้ชอบกล่าวคำพร่ำเพรื่อ ตระกูลโอวหยางมีเกียรติและศักดิ์ศรี พวกเขาไม่ชอบโกหกผู้ใด
“ตอนนี้เห็นทีว่าข้าคงยังกลับไม่ได้ ข้าสัญญากับสหายทั้งสองของข้าว่าจะพาพวกเขาเที่ยวชมป่าแสงจันทร์ ถ้าพวกเขาไม่ออกไป ข้าก็ยังกลับไปไม่ได้”
เมื่อคิดถึงฉินอวี้โม่และเสี่ยวโร่ว โอวหยางชิงเฟิงก็ส่ายศีรษะ
“สหายของเจ้า ?”
โอวหยางหมิงประหลาดใจเล็กน้อย หากหลานชายของเขายอมรับผู้ใดเป็นสหาย นั่นแสดงว่าคนผู้นั้นจะต้องมีพรสวรรค์ที่ไม่ธรรมดาแน่
“อวี้โม่ เสี่ยวโร่ว มาทางนี้หน่อย ข้าอยากจะแนะนำพวกเจ้ากับท่านลุงของข้า”
โอวหยางชิงเฟิงยิ้มกว้างก่อนจะร้องเรียกฉินอวี้โม่และเสี่ยวโร่ว ‘การทำความรู้จักกันไว้ถือเป็นเรื่องดี หากลุงสามของเขาให้การยอมรับฉินอวี้โม่และเสี่ยวโร่วก็คงจะดีไม่น้อย’….คุณชายตระกูลใหญ่ผู้หนีออกจากบ้านคิดอย่างมีความสุข
ด้วยเสียงเรียกนั้น ฉินอวี้โม่และเสี่ยวโร่วจึงเดินเข้าไปอย่างไม่ลังเล
“ลุงสามนี่คือฉินอวี้โม่ นางเป็นเพื่อนที่ดีของข้า และนี่คือสาวใช้ของนางนามว่าเสี่ยวโร่ว เสี่ยวโร่วก็เป็นเพื่อนที่ดีของข้าเช่นกัน”
“อวี้โม่ เสี่ยวโร่ว นี่คือท่านลุงสามของข้า ผู้อาวุโสสามแห่งตระกูลโอวหยาง”
ฉินอวี้โม่และเสี่ยวโร่วคารวะโอวหยางหมิงพลางกล่าวทักทายอย่างนอบน้อม “ยินดีที่ได้พบท่านผู้อาวุโสสามเจ้าค่ะ”
“ไม่ต้องสุภาพขนาดนั้น เรียกข้าลุงสามก็พอแล้ว”
โอวหยางหมิงไม่เคร่งครัดพิธีรีตอง เขาเป็นบุรุษอาวุโสผู้เข้าถึงได้ง่าย
อย่างไรก็ตาม เมื่อได้มองดูสตรีน้อยทั้งสองตรงหน้าอย่างชัดเจน โอวหยางหมิงก็ตกใจไม่น้อย ไม่ต้องสงสัยเลยว่าเหตุใดหลานชายของเขาจึงกล่าวว่าทั้งสองคนเป็นสหายที่ดี… พวกนางนั้นไม่ธรรมดาอย่างแท้จริง
เขาเพิ่งจะลอบตรวจสอบพลังของฉินอวี้โม่และเสี่ยวโร่ว พวกนางอยู่ในขอบเขตมายารัตนะทั้งคู่ และมีคนหนึ่งอยู่ในระดับเก้าดารา เรื่องนี้เป็นเรื่องน่าตกใจมากหากพิจารณาจากอายุของพวกนาง
ยิ่งกว่านั้น โอวหยางหมิงพึงพอใจกับท่าทางแสนนอบน้อมของทั้งสองสาว พวกนางแสดงท่าทีที่อ่อนโน้มถ่อมตนดังเช่นที่ผู้อ่อนวัยกว่าพึงปฏิบัติต่อผู้อาวุโส หาใช่อ่อนน้อมเพราะความหวาดหวั่นหรือยำเกรง พวกนางทั้งคู่ไม่ได้แสดงออกถึงความกดดันเมื่อเผชิญหน้ากับเขา ช่างเป็นสตรีที่ยอดเยี่ยมจริง ๆ
“ลุงสาม สหายทั้งสองของข้าเป็นอย่างไรบ้าง ?!”
โอวหยางชิงเฟิงจ้องมองโอวหยางหมิงด้วยความรู้สึกภาคภูมิใจ เขารู้ดีว่าสหายของเขาไม่ธรรมดา
โอวหยางหมิงเพียงแค่พยักหน้าพร้อมกับเผยยิ้มกว้างอย่างพอใจเท่านั้น
“ฉินอวี้โม่ ?”
ในระหว่างที่สองสตรีผู้แข็งแกร่งกำลังกล่าวทักทายผู้อาวุโสตระกูลโอวหยางอยู่นั้น จู่ ๆ ฉินอีเฟิงที่ยืนอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลก็โพล่งชื่อฉินอวี้โม่ออกมาอย่างประหลาดใจ ผู้อาวุโสแห่งตระกูลฉินยืนนิ่งมองดูสตรีผู้งดงาม
“มีอะไรหรือ ? น้องฉิน นางเป็นคนรู้จักของเจ้าอย่างนั้นหรือ ?”
แม้ว่าเสียงโพล่งชื่อนั้นจะไม่ได้ดังมากนัก ทว่าโอวหยางหมิงก็ได้ยินอย่างชัดเจน เขาหันไปเอ่ยถามสหายรุ่นน้องพลางแย้มรอยยิ้ม
ความสัมพันธ์ของตระกูลโอวหยางและตระกูลฉินนั้นถือว่าแน่นแฟ้น ดังนั้นแล้วจึงไม่แปลกที่ผู้อาวุโสของทั้งสองตระกูลจะสนิทสนมกันเป็นอย่างดี
ฉินอีเฟิงที่ถูกคำถามของโอวหยางหมิงเรียกสติหันไปกล่าวตอบสหายทันที “พี่โอวหยางยังจำสาขาของตระกูลฉินที่เมืองหลิงซีได้หรือไม่ ?”
โอวหยางหมิงพยักหน้า แน่นอนว่าเขาต้องจำได้ เรื่องนี้เป็นข่าวใหญ่ของเมือง ในตอนนั้นทายาทแห่งตระกูลฉินผู้ซึ่งเป็นว่าที่ผู้สืบทอดตระกูลทำความผิดร้ายจนก่อให้เกิดเรื่องบาดหมางกับผู้นำตระกูล เขาจึงต้องย้ายถิ่นฐานไปอยู่ยังเมืองเล็ก ๆ อย่างหลิงซีและกลายเป็นเพียงตระกูลสาขาที่นั่นไป เรื่องนี้เป็นข่าวใหญ่ที่โจษจันกันไปทั่วเมืองหลวง เวลานั้นผู้คนภายในนครไป๋อวิ๋นต่างก็รู้เรื่องนี้กันเป็นอย่างดี
“หากว่าข้าจำไม่ผิด เหมือนว่าผู้นำตระกูลสาขาที่หลิงซีจะมีบุตรีนามว่าฉินอวี้โม่”
ฉินอีเฟิงมองดูฉินอวี้โม่ด้วยความสงสัย เขาลอบพิจารณานางอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะส่ายศีรษะ
“แต่ก็ไม่น่าใช่แม่นางผู้นี้ เท่าที่ข้าทราบมา บุตรีตระกูลฉินแห่งเมืองหลิงซีแม้รูปโฉมงดงาม ทว่านางไร้พรสวรรค์มิอาจฝึกพลังมายาได้และเป็นเพียงคนธรรมดาเท่านั้น”
สิ่งที่ฉินอีเฟิงกล่าวทำให้ฉินอวี้โม่ตกตะลึงไม่น้อย ทายาทตระกูลฉินหนีออกมาตั้งตระกูลสาขาที่หลิงซีเพราะมีเรื่องบาดหมางกับผู้นำตระกูล… มีเรื่องเช่นนี้ด้วยหรือ ?
นี่นับว่าค่อนข้างแปลก เพราะเท่าที่เธอ ค้นดูแล้ว ในความทรงจำของคุณหนูสี่ผู้ล่วงลับกลับไม่มีเรื่องนี้อยู่เลย พ่อและแม่ของนางไม่เคยพูดถึงตระกูลฉินที่นครไป๋อวิ๋น ยิ่งไปกว่านั้น ผู้ชายนิสัยแย่ฉินเทียนคนนั้นก็ไม่เคยเอ่ยถึงเรื่องของพี่น้องของเขาเลยสักครั้ง ถ้าพวกเขาย้ายจากนครไป๋อวิ๋นมาเมืองหลิงซีจริงก็น่าจะพูดถึงเรื่องนี้บ้าง
“ขออภัยด้วย พอข้าได้ยินนามของแม่นางเมื่อครู่ ข้าจึงคิดว่าอาจจะได้พบเจอหลานสาว ข้าดูไม่ดีเอง ต้องขออภัยแม่นางด้วย”
ฉินอีเฟิงยิ้มให้ฉินอวี้โม่และกล่าวขอโทษ
ครั้งเมื่อได้ยินนามของฉินอวี้โม่เขาก็ประหลาดใจมาก ถึงอย่างไร แม้ว่าคนนอกจะไม่ทราบ แต่ผู้อาวุโสแห่งตระกูลฉินล้วนทราบกันดี เรื่องที่ฉินเทียนออกไปตั้งตระกูลสาขาที่เมืองหลิงซีนั้นท่านผู้นำตระกูลฉินรู้สึกเป็นห่วงและเป็นกังวลมาก จนถึงกับแอบส่งคนไปสอดส่องพวกเขาอยู่บ่อยครั้ง ทว่าฉินอีเฟิงเองก็ไม่ทราบว่าเหตุใดในตอนแรกท่านผู้นำตระกูลถึงได้ตัดสินใจให้ฉินเทียนไปเช่นนั้น
เวลานี้ ในใจของอดีตสาวนักฆ่ากำลังเกิดความสับสน นางกำลังสงสัยเกี่ยวกับเรื่องที่ฉินเทียนออกไปจากตระกูลที่นครไป๋อวิ๋นและย้ายไปตั้งตระกูลสาขาที่เมืองหลิงซี เหตุใดถึงไม่เคยมีผู้ใดในจวนเอ่ยถึงเรื่องนี้มาก่อน ? เรื่องสำคัญเช่นนี้ แม่แต่อวี๋เสี่ยวอวิ๋นก็ยังไม่ยอมบอกนางที่เป็นบุตรสาวอย่างนั้นหรือ ? ฉินอวี้โม่รู้สึกว่ามันน่าแปลก และเรื่องนี้ต้องมีเบื้องหลังบางอย่างที่นางยังไม่รู้อยู่อีกเป็นแน่
ในความทรงจำของคุณหนูสี่ผู้ล่วงลับเมื่อครั้งยังเป็นเด็ก ฉินเทียนเป็นบิดาและสามีที่ดี เขาดีต่ออวี๋เสี่ยวอวิ๋นและนางมาก เขารักพวกนางจากหัวใจ แต่แล้วเหตุใดมาภายหลังบุรุษผู้นั้นถึงได้เปลี่ยนไปมากมายนัก ?
ในตอนนั้นเอง ฉินอวี้โม่ก็คิดถึงพี่ชายของนางขึ้นมา พี่ชายของนางออกจากจวนตระกูลฉินที่หลิงซีไปนานห้าถึงหกปีแล้ว หากพบกับเขาอีกครั้ง นางคงจะได้รู้เรื่องราวต่าง ๆ มากขึ้น
“ผู้อาวุโสฉิน ขอบอกท่านตามตรง แท้จริงแล้วข้ามาจากเมืองหลิงซี”
เมื่อลองครุ่นคิดอย่างรอบคอบ ฉินอวี้โม่ก็ตัดสินใจเปิดเผยตัวตนออกไป เนื่องจากในเวลานี้มีเรื่องราวที่นางยังไม่รู้อีกมากมาย การเปิดเผยตัวตนของฉินอวี้โม่ออกไปตรง ๆ เป็นทางเลือกที่ดีที่สุดเพื่อที่จะได้ทดสอบปฏิกิริยาของตระกูลฉินสาขาหลักเป็นอันดับแรก
“หมายความว่าเจ้าคือฉินอวี้โม่จากตระกูลฉินแห่งเมืองหลิงซีอย่างนั้นหรือ ?”
ฉินอีเฟิงตกตะลึง ทว่าเขาก็ไม่สงสัยอะไร เพราะเมื่อมองดูให้ดี ๆ แล้ว เขาก็พบว่าสตรีน้อยนามว่าฉินอวี้โม่ผู้นี้ก็มีส่วนคล้ายคลึงกับฉินเทียนมาก มีความเป็นไปได้สูงว่านางจะเป็นลูกสาวของฉินเทียน
“เรียนผู้อาวุโส ก่อนหน้านี้ข้าเคยถูกเรียกขานว่าขยะไร้ค่า ภายหลังมีเหตุผลบางอย่างทำให้ข้าสามารถฝึกฝนวรยุทธ์ใช้พลังมายาได้ ในตอนนี้ข้าออกมาจากเมืองหลิงซีแล้ว และกำลังจะเดินทางไปยังนครไป๋อวิ๋นเพื่อตามหาพี่ชายของข้า หากเป็นไปได้ ข้าเองก็อยากจะเข้าไปคารวะท่านปู่สักครั้ง ไม่คิดเลยว่าจะได้เจอกับผู้อาวุโสเจ็ดภายในป่าแสงจันทร์แห่งนี้เสียก่อน ช่างบังเอิญยิ่งนัก”
ฉินอวี้โม่บอกเล่าความ นางไม่ทราบว่าอีกฝ่ายปกปิดสิ่งใดอยู่บ้าง ดังนั้นสาวนักฆ่าในร่างอดีตคุณหนูจึงเลือกเปิดเผยความจริงเพียงครึ่งหนึ่งและแต่งเติมความเท็จเข้าไปอีกครึ่งหนึ่ง เรื่องที่นางจะตามหาพี่ชายคือเรื่องจริง แต่นางไม่เคยคิดจะเข้าไปเยี่ยมเยียนผู้นำตระกูลฉินในนครไป๋อวิ๋น
ถึงอย่างไรนางก็ไม่เคยทราบเรื่องของตระกูลฉิน หรือแม้แต่เรื่องที่ตระกูลฉินแห่งเมืองหลิงซีเป็นเพียงตระกูลสาขา
ฉินอีเฟิงพยักหน้าเมื่อได้ยินคำพูดของฉินอวี้โม่ เขาไม่ติดใจสงสัยสิ่งใด
พี่ชายของฉินอวี้โม่อยู่ในนครไป๋อวิ๋นนั่นเป็นเรื่องจริง หลานชายผู้นั้นเป็นผู้หลอมโอสถฝีมือสูงส่ง ผู้นำตระกูลฉินหรือปู่ของฉินอวี้โม่นั้นพึงพอใจในบุตรชายคนโตของฉินเทียนมากจึงรับตัวเขาไปอย่างลับ ๆ เมื่อหลายปีก่อน เรื่องนี้มีน้อยคนนักที่จะรู้
“เช่นนั้นก็วิเศษ อวี้โม่ หากจบงานตรงนี้แล้วเจ้าจะไปนครไป๋อวิ๋นพร้อมกับข้าเลยดีหรือไม่ ? ท่านปู่ของเจ้า ผู้นำตระกูลฉินกล่าวถึงเจ้าอยู่บ่อย ๆ”
ฉินอีเฟิงแย้มยิ้มใจดี เขาเป็นคนที่ดูเป็นสุภาพบุรุษ ภายในตระกูลฉินเขาก็เป็นผู้อาวุโสที่น่าเคารพนับถือ
“หากเป็นเช่นนั้นข้าคงต้องรบกวนท่านผู้อาวุโสเจ็ดแล้ว”
ฉินอวี้โม่พยักหน้าและตอบตกลง ‘เห็นทีว่านางคงต้องไปเยี่ยมเยียนตระกูลฉินสาขาหลักในนครไป๋อวิ๋นสักครั้งเสียแล้ว’
“ฮ่า ๆ ๆ ไม่รบกวนเลย เจ้าเรียกข้าว่าลุงเจ็ดก็ได้”
ฉินอีเฟิงยิ้มกว้าง วันนี้เขาดีใจมากที่ได้พบหลานสาวที่พลัดพรากของตนเอง