คุณหนูสี่ สตรีเปื้อนเลือด - ตอนที่ 567 มารดาที่หายตัวไป
หลังจากที่บรรดาจอมยุทธ์ที่เฝ้าดูสถานการณ์รอบลานจัตุรัสและศิษย์ของนครหมื่นอสูรจากกันไปอย่างรวดเร็ว ในช่วงเวลานี้ก็เหลือเพียงกลุ่มของฉินอวี้โม่และคนจากฝ่ายมาร
สมาชิกฝ่ายมารล้วนคิดไตร่ตรองเกี่ยวกับสิ่งที่ฉินอวี้โม่กล่าวออกมา พวกเขาเหล่านี้รักตัวกลัวตายเป็นที่สุด ตราบใดที่สามารถบอกข้อมูลเกี่ยวกับบุปผาแห่งความมืดและสตรีคนหนึ่งที่มีนามว่า ‘อวี๋เสี่ยวอวิ๋น’ พวกเขาก็มีโอกาสรอดไปจากที่นี่ได้ และนั่นทำให้พวกเขามีความหวังขึ้นมาเล็กน้อย
“บอกข้าเกี่ยวกับข้อมูลของบุปผาแห่งความมืดที่เจ้ารู้มา หากข้าพอใจ…ข้าก็จะปล่อยเจ้าไป”
ฉินอวี้โม่พยักศีรษะเบา ๆ ขณะมองบุรุษผู้นั้นและกล่าวด้วยท่าทางสงบนิ่ง
หานโม่ฉือไม่เอ่ยกล่าวสิ่งใด เขาเพียงแค่โอบเอวบางของสตรีคนรักไว้ด้วยสองมือ เวลานี้แรงกดดันอันทรงพลังจากร่างของเขาถูกถอนกลับแล้ว ส่งผลให้คนจากฝ่ายมารผ่อนคลายลง เขาเป็นจอมยุทธ์ผู้แกร่งกล้าและไม่กลัวว่าคนเหล่านี้จะพยายามหลบหนี เพราะหากเกิดเหตุการณ์นั้นจริง คนผู้นั้นจะต้องตายเป็นผีเฝ้าลานจัตุรัสแห่งนี้อย่างแน่นอน
“ท่านเทพมายา บุปผาแห่งความมืดคือสิ่งที่สมาชิกฝ่ายมารนามว่า ‘ผู้อาวุโสชิง’ ได้มาจากดินแดนระดับต่ำ ในตอนที่เขานำมันกลับมา มันยังเป็นเพียงต้นอ่อนขนาดเล็ก ทว่าด้วยการที่ได้รับพลังธาตุมืดจากท่านผู้นำ มันจึงเติบโตขึ้นอย่างช้า ๆ ข้าได้ยินมาว่าภายในสามปี บุปผาแห่งความมืดจะเติบโตเต็มที่และสามารถจำแลงร่างมนุษย์ได้ จากนั้นพลังธาตุมืดจากบุปผาแห่งความมืดก็จะช่วยให้พวกเราฝึกวิชาได้รวดเร็วยิ่งขึ้น”
คนผู้นั้นไม่พยายามปิดบังข้อมูลใด ๆ และบอกทุกอย่างที่เขาทราบให้กับฉินอวี้โม่ทันที ถึงอย่างไรแล้วข้อมูลเหล่านี้ล้วนเป็นสิ่งที่สืบหาได้ง่าย ทุกคนในที่นี้ก็ทราบเรื่องนี้เป็นอย่างดี เขาจึงไม่ได้พูดโกหกแต่อย่างใด
“เอาล่ะ ถือว่าเป็นข้อมูลที่มีประโยชน์ทีเดียว ส่งแหวนมิติมาให้ข้า ส่วนตัวเจ้าก็รีบไสหัวไปซะ !”
ฉินอวี้โม่ไตร่ตรองครู่หนึ่งและตัดสินได้ว่าข้อมูลนี้เป็นประโยชน์ทีเดียว บุปผาแห่งความมืดจะโตเต็มวัยภายในเวลาไม่ถึงสามปีและเมื่อถึงตอนนั้นมันจะกลายเป็นภัยร้ายที่น่าหวาดหวั่นต่อดินแดนอย่างแน่นอน ภายในช่วงสามปีนี้ นางจะต้องหาทางทำลายหรือหยุดยั้งการเจริญเติบโตของบุปผาแห่งความมืดและจะปล่อยให้แผนการสมคบคิดอันชั่วร้ายของฝ่ายมารสำเร็จผลไม่ได้เด็ดขาด
เมื่อรอดพ้นจากภยันตราย บุรุษจากฝ่ายมารผู้นั้นก็รีบยื่นแหวนมิติของตนให้ฉินอวี้โม่โดยเร็วและรีบจากไปโดยที่ไม่สนใจพวกพ้องแม้แต่น้อย
“ท่านเทพมายา ข้าก็มีข้อมูลบางอย่างที่เกี่ยวข้องกับบุปผาแห่งความมืดเช่นกัน !”
“ท่านเทพมายา ข้าก็รู้บางอย่างเช่นกัน !”
……
เมื่อเห็นว่าฉินอวี้โม่ปล่อยให้ผู้ที่มีข้อมูลหนีไปตามที่ลั่นวาจาไว้ คนอื่น ๆ ก็อดตื่นเต้นและมีความหวังไม่ได้ พวกเขาไม่รอช้าและรีบตะโกนออกไปตาม ๆ กันเพื่อบ่งบอกว่าตนเองก็มีข้อมูลเกี่ยวกับบุปผาแห่งความมืดอยู่เช่นกัน
ฉินอวี้โม่ชี้ไปที่ใครคนหนึ่งอย่างสุ่ม ๆ ทว่าสิ่งที่คนผู้นั้นกล่าวออกมาไม่ได้แตกต่างไปจากข้อมูลของคนแรกมากนัก
“คนแรกกล่าวมาหมดแล้ว หากไม่มีข้อมูลอื่น ๆ ที่เป็นประโยชน์ ข้าก็เสียใจด้วย”
ฉินอวี้โม่กล่าวด้วยสีหน้าเย็นชาและน้ำเสียงแข็งกร้าว นางไม่มีความจำเป็นต้องแสดงความเมตตาต่อคนเหล่านี้ ฝ่ายมารเป็นศัตรูตัวฉกาจของดินแดนเทพมายามาแต่ไหนแต่ไรแล้ว ในเมื่อคนเหล่านี้เลือกเข้าร่วมเป็นฝ่ายเดียวกับคนชั่ว พวกเขาก็ต้องชดใช้อย่างสาสม
“ท่านเทพมายา ข้าไม่มีข้อมูลอื่น ๆ ก็จริง อย่างไรก็ตาม ข้ายินดีทรยศต่อฝ่ายมารและหลั่งเลือดสาบานปฏิญาณความภักดีต่อท่านเทพมายา ขอเพียงท่านเทพมายาผู้ยิ่งใหญ่ไว้ชีวิตข้าก็พอ…”
บุรุษผู้นี้ถือว่าชาญฉลาดมากทีเดียว หลังจากไตร่ตรองสถานการณ์และหาทางเอาตัวรอด เขาจึงเกิดความคิดนี้ขึ้นมา ตราบใดที่เขาเอามีชีวิตรอดต่อไป มันก็ไม่สำคัญว่าเขาจะจำนนต่อฉินอวี้โม่หรือฝ่ายมาร
ข้อมูลเรื่องบุปผาแห่งความมืดนั้นมีอยู่อย่างจำกัดและคนแรกก็ได้กล่าวข้อมูลที่พวกเขาทราบไปหมดแล้ว แน่นอนว่าพวกเขาไม่มีข้อมูลใดเพิ่มเติมอีก
“โอ้ เจ้าฉลาดดีนี่”
ฉินอวี้โม่ยิ้มอย่างเย็นชาและไม่ได้ปฏิเสธข้อเสนอของคนผู้นั้น ตราบใดที่เขาหลั่งเลือดสาบาน นางก็ไม่จำเป็นต้องกังวลว่าเขาจะคิดคดทรยศนาง ความแข็งแกร่งของจอมยุทธ์ฝ่ายมารเหล่านี้ถือว่ามากพอสมควรและการยอมจำนนของพวกเขาจะช่วยเพิ่มความแข็งแกร่งโดยรวมให้กับดินแดนทางเหนือได้มากขึ้น ซึ่งเรื่องนี้ถือว่าเป็นผลดีโดยที่ไม่มีผลเสียใด ๆ แม้แต่น้อย
“ท่านเทพมายา พวกเราก็ยินดีหลั่งเลือดสาบานและยอมจำนนต่อท่านเช่นกัน ขอเพียงท่านไว้ชีวิตพวกเรา !”
คนอื่น ๆ ก็กล่าวขึ้นตามกันเพื่อแสดงทัศนคติความต้องการของตน เพื่อเอาตัวรอดและไม่ต้องทิ้งชีวิตที่รักยิ่งไว้ที่นี่ เวลานี้พวกเขามีเพียงทางเลือกเดียวเท่านั้น
ยิ่งไปกว่านั้น พวกเขาหลายคนก็ถูกบังคับให้เข้าร่วมฝ่ายมารโดยที่ไม่เต็มใจ บัดนี้เมื่อมีทางอื่นที่ดีกว่า พวกเขาย่อมแอบรู้สึกดีใจอยู่ลึก ๆ
“ในเมื่อพวกเจ้าตระหนักรู้ถึงสถานการณ์ที่เกิดขึ้น ข้าก็จะไว้ชีวิตพวกเจ้า จงหลั่งเลือดกล่าวสัตย์สาบานและเดินทางไปที่เมืองฉางอานในดินแดนทางเหนือเพื่อรายงานตัวต่อฉินเฟิง”
นางกล่าวออกไปเบา ๆ และตัดสินใจไว้ชีวิตคนเหล่านี้
เหล่าจอมยุทธ์ผู้แกร่งกล้าจากฝ่ายมารหลั่งโลหิตและกล่าวสัตว์สาบานความจงรักภักดีทีละคนก่อนมุ่งหน้าไปในทิศทางของดินแดนทางเหนืออย่างไม่รอช้า ในขณะเดียวกัน ฉินอวี้โม่ก็ส่งข่าวไปแจ้งฉินเฟิงเพื่อให้เขาเตรียมมอบหมายหน้าที่ให้กับคนเหล่านี้
เมื่อฝูงชนแยกย้ายกันออกไป ตรงหน้าฉินอวี้โม่ในตอนนี้ก็เหลือเพียงผู้อาวุโสลั่ว
สีหน้าของผู้อาวุโสฝ่ายมารเหยเกอย่างยิ่งและเขาไม่กล้าวางท่ายโสหรือกล่าววาจาข่มขู่ฉินอวี้โม่อีกต่อไป เขาเป็นถึงผู้อาวุโสของฝ่ายมารและมีสถานะในขุมกำลังที่สูงพอสมควร เพราะเหตุนั้นมันจึงเป็นไปไม่ได้เลยที่เขาจะทรยศต่อขุมกำลังมารร้ายของตน
ข้อต่อรองเพียงอย่างเดียวที่เขามีในตอนนี้คือข่าวคราวเกี่ยวกับมารดาของฉินอวี้โม่ หากข้อมูลนั้นมีประโยชน์ นางก็คงจะเลือกปล่อยเขาไป
“ในอดีตตอนที่เราจับตัวแม่ของเจ้ามาที่ขุมกำลัง เราเพียงต้องการกักขังนางไว้และไต่สวนสืบหาข้อมูลเกี่ยวกับกายเทพมายา ทว่านางช่างเป็นสตรีที่มีจิตใจเข้มแข็งและเด็ดเดี่ยวมาก นางตั้งใจที่จะระเบิดตัวเองเพื่อปกป้องเจ้า อย่างไรก็ตาม จู่ ๆ รอยแยกห้วงมิติก็ปรากฏขึ้นและดูดกลืนแม่ของเจ้าเข้าไป หลังจากนั้นเราก็ไม่ได้ข่าวเกี่ยวกับนางอีกเลย ตลอดหลายปีที่ผ่านมา ท่านผู้นำก็พยายามสืบหาข่าวคราวอยู่หลายครั้งหลายครา ทว่าก็ไม่พบเบาะแสใด ๆ ซึ่งมีความเป็นไปได้สูงว่าแม่ของเจ้าอาจจะไม่ได้อยู่ในดินแดนนี้อีกแล้ว”
ผู้อาวุโสลั่วไม่รอช้าและบอกฉินอวี้โม่เกี่ยวกับข้อมูลทุกอย่างที่เขาทราบทันที มารดาของฉินอวี้โม่เป็นสตรีที่องอาจเด็ดเดี่ยวอย่างยิ่ง เพื่อป้องกันมิให้คนชั่วเหล่านั้นใช้นางข่มขู่ฉินอวี้โม่ นางจึงต้องการระเบิดพลีชีพตนเอง
อย่างไรก็ตาม จู่ ๆ รอยแยกห้วงมิติลึกลับก็ปรากฏขึ้นและฉุดดึงนางเข้าไปภายใน แม้ผู้นำฝ่ายมารจะทรงพลังอย่างยิ่ง เขาก็ไม่มีหนทางรับมือกับรอยแยกดังกล่าวได้เลยและทำได้เพียงปล่อยให้รอยแยกลึกลับนั้นดูดร่างของมารดาฉินอวี้โม่เข้าไปจนหายไปอย่างไร้ร่องรอย
ฉินอวี้โม่และฉินเทียนไม่แปลกใจเมื่อได้ยินเช่นนี้ ทั้งสองพอจะคาดเดาไว้ก่อนแล้วว่าอวี๋เสี่ยวอวิ๋นอาจไม่อยู่ในดินแดนนี้อีกต่อไป เพียงแต่นางก็ไม่ได้อยู่ในดินแดนอ้างว้างหรือว่าดินแดนหวนหลิง ดังนั้นจึงมีความเป็นไปได้สูงว่าสถานที่ที่นางอยู่ในตอนนี้จะเป็นดินแดนที่ทั้งสองไม่รู้จักมาก่อน
ดินแดนดังกล่าวอาจลึกลับยิ่งกว่าทุกดินแดนที่เคยพานพบ หากต้องการไปที่นั่น พวกนางก็ต้องพัฒนาความแข็งแกร่งของตนเองให้มากขึ้นเพื่อที่จะได้หาหนทางในการสืบหาเบาะแสของสถานที่ลับเช่นนั้น
“ส่งแหวนมิติมาและไสหัวไปซะ !”
ฉินอวี้โม่กล่าวอย่างเยือกเย็นและไม่แม้แต่จะพิจารณาให้ผู้อาวุโสลั่วแปรพักตร์มาหาตน ในฐานะหนึ่งในผู้อาวุโสคนสำคัญของฝ่ายมาร ความจงรักภักดีที่เขามีต่อขุมกำลังย่อมแตกต่างจากคนธรรมดาหรือลิ่วล้อทั่วไป
หากต้องการให้ผู้อาวุโสลั่วหลั่งเลือดและสาบานความภักดี การสั่งให้เขากระโดดผาฆ่าตัวตายก็คงจะง่ายเสียกว่า
สำหรับฉินอวี้โม่ ผู้ที่นางยอมรับจะต้องเป็นคนที่มีประโยชน์ไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง หากไม่มีประโยชน์ใด นางก็ไม่มีความคิดที่จะรับมาอยู่ภายใต้การปกครอง
ในที่สุดผู้อาวุโสลั่วก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอกและยื่นแหวนมิติของตนให้ตามคำสั่ง จากนั้นเขาก็จ้องหน้าฉินอวี้โม่ด้วยแววตาแข็งกร้าวก่อนหันหลังและจากไปโดยเร็ว
เรื่องที่เกิดขึ้นในวันนี้ เขาจะจดจำทุกอย่างให้ขึ้นใจและจะรายงานให้ผู้นำฝ่ายมารทราบโดยละเอียดอย่างแน่นอน ความแข็งแกร่งของฉินอวี้โม่ในเวลานี้ยังอ่อนแอเกินไป และสักวันเขาจะทำให้นางชดใช้กับทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นในวันนี้อย่างแน่นอน
หลังจากผู้อาวุโสลั่วจากไป ลานจัตุรัสก็เหลือเพียงบรรดาสหายและคนที่มีความสัมพันธ์อันดีกับฉินอวี้โม่เท่านั้น
“โม่เอ๋อร์ ทุกคนในดินแดนต่างรู้ตัวตนที่แท้จริงของเจ้าแล้วและมันคงจะนำพาปัญหาเข้ามาไม่น้อย ไม่ว่าจะเป็นนิกายหงส์มังกร อารามโชติช่วง นครหมื่นอสูรและฝ่ายมาร พวกเขาล้วนมีรากฐานที่มั่นคงและรับมือได้ไม่ง่ายนัก ในอนาคตข้างหน้า เจ้าต้องระวังตัวให้มากขึ้น”
ฉินเทียนกล่าวย้ำเตือนฉินอวี้โม่ด้วยความเป็นห่วง ความแข็งแกร่งของเขาในตอนนี้ยังไม่มากพอที่จะปกป้องบุตรสาวได้ ยิ่งไปกว่านั้น เขาไม่ทราบเลยว่าภรรยาหายตัวไปอยู่ที่ใด หากเขาไม่สามารถพัฒนาพลังความแข็งแกร่งของตนเองให้มากยิ่งขึ้น เขาก็ยังไม่มีทางที่จะตามหานางได้
“ท่านพ่อ ไม่ต้องห่วงเจ้าค่ะ ในเมื่อข้ากล้าเปิดเผยตัวตนต่อหน้าทุกคน แน่นอนว่าข้ามั่นใจพอสมควรแล้ว ส่วนเรื่องท่านแม่…ท่านพ่อไม่ต้องกังวลนะเจ้าคะ ในเมื่อไม่มีข่าวคราวใด นั่นก็หมายความว่าท่านแม่ยังปลอดภัยดีและถือเป็นข่าวดีสำหรับพวกเราแล้ว”
ฉินอวี้โม่ยิ้มอย่างอบอุ่น แม้นางและครอบครัวจะยังไม่ทราบว่าอวี๋เสี่ยวอวิ๋นอยู่ที่ใด พวกนางก็ยังพอจะโล่งใจได้ บางคราการไม่มีข่าวคราวมิได้หมายถึงเรื่องร้ายเสมอไป ในเมื่ออวี๋เสี่ยวอวิ๋นถูกดูดเข้าไปในรอยแยกห้วงมิติก็มีความเป็นไปได้สูงว่านางยังอยู่รอดปลอดภัยดี อวี๋เสี่ยวอวิ๋นอาจรอพบพวกนางอยู่ที่ใดสักแห่งและไม่จำเป็นต้องกระวนกระวายใจกันเกินไป
“ข้ารู้…”
ฉินเทียนและฉินอี้เฟยพยักศีรษะเบา ๆ พวกเขาเข้าใจดีว่าการรีบร้อนทำสิ่งใดลงไปอาจจะส่งผลร้ายมากกว่าผลดี
“สิ่งที่ข้ากังวลคือ ตระกูลลับเหล่านั้นจะสนใจในกายเทพมายาหรือไม่ หากเทียบกับนิกายหงส์มังกรและขุมกำลังใหญ่อื่น ๆ พวกเขาเหล่านั้นทรงพลังและรับมือได้ยากกว่ามาก”
จู่ ๆ หานโม่ฉือก็กล่าวแสดงความกังวลในใจของตนขึ้นมา เมื่อเปรียบเทียบกับขุมกำลังใหญ่อย่างนิกายหงส์มังกร สี่ตระกูลลับเป็นขุมกำลังที่น่ากังวลใจกว่ามาก
ตระกูลหานกลายเป็นศัตรูของพวกเขาแล้วอย่างไม่ต้องสงสัย ส่วนตระกูลไป่หลี่และตระกูลหลิวนั้นยากที่จะบอกได้ว่าพวกเขาเป็นมิตรหรือศัตรู สำหรับตระกูลเหมย—ต้นตระกูลของเสี่ยวโร่ว นางและฉินอวี้โม่รักกันเหมือนพี่น้องแท้ ๆ และท่านปู่ของนางก็รักนางมาก อย่างไรก็ตาม เมื่อตัวตนของฉินอวี้โม่ถูกเปิดเผยออกไป มันก็ยากที่จะรับประกันได้ว่าสมาชิกคนอื่น ๆ ของตระกูลเหมยจะมีความคิดเห็นอย่างไร เมื่อถึงตอนนั้นก็คงยากที่จะบอกได้ว่าผู้ใดจะเป็นมิตรหรือว่าเป็นศัตรู
“ทหารมาใช้ขุนพลต้านรับ ถ้าน้ำมาเราก็ใช้ดินต้าน ข้าไม่ได้กังวลเรื่องพวกเขา และในอนาคตข้าก็จะไปหาพวกเขาถึงที่เช่นกัน”
* 兵来将挡,水来土掩 ทหารมาใช้ขุนพลต้านรับ น้ำมาใช้ดินต้าน เปรียบถึงไม่ว่าจะมาวิธีไหนก็สามารถรับมือได้
ฉินอวี้โม่ยิ้มอย่างไม่สะทกสะท้าน ต่อให้ขุมกำลังใหญ่เหล่านั้นไม่สร้างปัญหากวนใจให้นาง นางก็ยังต้องเดินทางไปหาพวกเขาถึงที่อยู่ดี
ยิ่งไปกว่านั้น บุปผาแห่งความมืดเป็นภัยร้ายแรงที่สุดสำหรับพวกนาง แม้สี่ตระกูลลับไม่เคยแทรกแซงหรือยื่นมือเข้ามาเกี่ยวข้องในกิจการของดินแดนเทพมายามาก่อน แต่เมื่อพวกเขาทราบเรื่องสำคัญเช่นนี้ พวกเขาก็อาจจะไม่อยู่เฉยอีกต่อไป และเมื่อถึงตอนนั้น ทั้งดินแดนเทพมายาก็จะอลหม่านวุ่นวายและเกิดการนองเลือดครั้งใหญ่อย่างแน่นอน
“อย่าเพิ่งคิดอะไรมากเลย ข้าไม่ได้พบพวกเจ้ามานานแล้ว เราไปหาที่นั่งจิบน้ำชากันก่อนเถอะ”
ฉินเทียนนึกถึงหลานทั้งสองและอดยิ้มแก้มปริไม่ได้
ทุกคนยิ้มอย่างมีความสุขและเดินตรงไปยังภัตตาคารที่ใหญ่ที่สุดในเมืองซิ่งหัว
ในเวลาเดียวกันนี้ ขุมกำลังใหญ่ทุกแห่งของดินแดนเทพมายา รวมถึงสี่ตระกูลลับก็ล้วนได้รับข่าวเกี่ยวกับ ‘ฉินอวี้โม่’ แล้ว