คุณหนูสี่ สตรีเปื้อนเลือด - ตอนที่ 573 ความไม่สงบในป่าใบไม้เขียว
ป่าใบไม้เขียวถือเป็นผืนป่าขนาดใหญ่แห่งหนึ่งของดินแดนเทพมายา มันคร่อมพื้นที่กึ่งกลางระหว่างขุมกำลังใหญ่หลายแห่งของดินแดนพอดิบพอดีโดยทางตะวันออกติดกับนครเวหาและทางตะวันตกติดกับเมืองซิ่งหัว ส่วนทางใต้ติดกับอารามโชติช่วงและทางเหนือติดกับเมืองที่ตั้งของสมาคมโอสถ—เมืองเย่าชือ
เนื่องจากลักษณะทางภูมิศาสตร์ที่พิเศษนี้ ป่าใบไม้เขียวจึงเป็นที่นิยมอย่างยิ่ง จอมยุทธ์จำนวนมากก็ให้ความสนใจและเดินทางเข้ามาท่องในป่าแห่งนี้เพื่อสั่งสมประสบการณ์
ผู้นำหรือผู้ปกครองของขุมกำลังใหญ่ต่าง ๆ ในดินแดนนี้ล้วนมีปัญญาและไหวพริบเป็นเลิศ เป็นธรรมดาที่พวกเขาจะคาดเดาได้ว่าป่าใบไม้เขียวน่าจะมีซากปรักหักพังของบรรพชนเก่าแก่ซ่อนไว้ เพราะเหตุนั้นหลายขุมกำลังจึงส่งศิษย์ของตนมาสำรวจป่าผืนนี้อยู่เป็นประจำซึ่งส่งผลให้ทั้งป่าคึกคักและมีชีวิตชีวามากขึ้นเรื่อย ๆ
เถียนเข่อเอ๋อร์และคณะเดินทางมาที่ป่าแห่งนี้เพื่อค้นหาบางอย่าง และต้องกล่าวเลยว่าตัวตนของพวกนางถือว่าไม่ธรรมดาเลยสักนิด
ในดินแดนเทพมายามีขุมกำลังที่พิเศษอยู่แห่งหนึ่ง แม้พลังของขุมกำลังดังกล่าวถือว่าไม่แกร่งกล้านักและไม่ได้มีคุณสมบัติที่จะเทียบเทียมกับบรรดาขุมกำลังเก่าแก่ ทว่ามันก็เป็นขุมกำลังที่ผู้คนมากมายต้องหวาดหวั่น
‘ตระกูลเถียน’ คือตระกูลธุรกิจอันดับหนึ่งของดินแดนเทพมายาซึ่งครอบครองทรัพย์สินความมั่งคั่งมากถึงแปดในสิบส่วนของทั้งดินแดน ไม่ว่าจะเป็นโรงเตี๊ยม ภัตตาคาร สถานบันเทิงเริงใจ โรงประมูลและศูนย์กลางการแลกเปลี่ยนล้วนมีเบื้องหลังเป็นตระกูลเถียนที่ว่านี้ ยิ่งไปกว่านั้น พวกเขาก็ยังมีวิธีการสืบข่าวที่เหนือชั้นอย่างยิ่ง ข่าวสารความลับมากมายในดินแดนไม่สามารถรอดพ้นไปจากหูตาของตระกูลเถียนได้และหลายคนยินดีจ่ายทรัพย์สินจำนวนมากเพื่อแลกกับข่าวที่ต้องการทราบ เนื่องจากเหตุผลเหล่านี้ ตระกูลเถียนจึงมีจุดยืนที่มั่นคงอย่างยิ่งในดินแดนเทพมายา
เถียนเข่อเอ๋อร์เป็นบุตรสาวคนรองของผู้นำตระกูลเถียนคนปัจจุบันโดยมีพี่ชายและน้องชายอย่างละหนึ่งคน ส่วนเถียนจ้ง—บุรุษวัยกลางคนร่างกำยำเป็นลุงรองของนางซึ่งเรียกได้ว่ามีสถานะที่สูงในตระกูลเถียนเช่นกัน
ครานี้ทั้งคณะเดินทางมาที่ป่าใบไม้เขียวเนื่องจากได้ยินข่าวลือว่ามีพืชพิเศษชนิดหนึ่งเติบโตอยู่ในป่าแห่งนี้—ไม้ฟืนวิญญาณ
‘ไม้ฟืนวิญญาณ’ อาจฟังดูเหมือนเชื้อเพลิงทว่าแท้จริงแล้วมันเป็นพฤกษาชนิดหนึ่งที่มีพลังธาตุไฟที่ทรงพลังซึ่งตรงตามชื่อของมัน หากใช้พืชดังกล่าวหลอมโอสถ โอสถเม็ดนั้นจะช่วยมอบคุณประโยชน์ให้กับจอมยุทธ์ที่บ่มเพาะพลังธาตุเพลิงได้เป็นอย่างมาก และหากมีโรคร้ายอย่างพิษเย็น ไม้ฟืนวิญญาณนี้ก็สามารถใช้เป็นยารักษาอาการนั้นได้อย่างดี
ก่อนหน้านี้ที่พวกเขาเข้าไปในผืนป่า พวกเขาก็ไม่พบสิ่งผิดปกติเกี่ยวกับป่าใบไม้เขียวและยังมีเพียงความเงียบสงบ พวกเขาจึงใช้เวลาอยู่ในป่านานห้าวันโดยไม่พบไม้ฟืนวิญญาณที่ตามหา ทว่าเกิดเหตุการณ์บางอย่างที่ทำให้คนทั้งกลุ่มหวาดหวั่นใจไม่น้อย
ป่าใบไม้เขียวเป็นถิ่นที่อยู่ของอสูรมายาระดับสูงจำนวนมากและอสูรเหล่านั้นก็มีปัญญาล้ำเลิศ โดยปกติแล้วพวกมันจะไม่ริเริ่มการต่อสู้กับมนุษย์หากไม่จำเป็น ทว่าเมื่อไม่กี่วันก่อน จู่ ๆ อสูรเหล่านั้นก็ก่อจลาจลขึ้นมา เมื่อเห็นมนุษย์เข้ามาในป่า อสูรหลายตัวก็ราวกับเสียสติและบ้าคลั่งจนเริ่มโจมตีและเกิดการปะทะอย่างดุเดือดรุนแรง
ความแข็งแกร่งของเถียนจ้งถือว่าไม่ธรรมดาแม้แต่น้อย เถียนเข่อเอ๋อร์และศิษย์ตระกูลเถียนอีกสามคนก็มีความแข็งแกร่งอย่างน้อยในขอบเขตพสุธาเซียนขั้นต้น อย่างไรก็ตาม ตลอดสองวันที่ผ่านมาในป่าใบไม้เขียว พวกเขาต้องเผชิญกับภยันตรายและสถานการณ์วิกฤตหลายครั้งหลายครา
โดยปกติแล้วอสูรพสุธาเซียนขั้นสูงสุดนั้นพบได้ยากและกระจายตัวกันออกไป ทว่าจู่ ๆ พวกมันกลับปรากฏตัวพร้อมกันหลายสิบตัวอย่างไม่คาดคิด เมื่อเห็นจอมยุทธ์ในป่า พวกมันก็เริ่มโจมตีอย่างบ้าคลั่งทันทีซึ่งเป็นสถานการณ์ที่ทำให้จอมยุทธ์จำนวนมากปวดหัวไม่น้อย
สำหรับการเดินทางมายังป่าใบไม้เขียวครานี้ เถียนเข่อเอ๋อร์และคณะไม่ได้นำสมาชิกทรงพลังมามากนัก เมื่อเผชิญหน้ากับอสูรที่คลุ้มคลั่งเหล่านี้ เถียนจ้งจึงกังวลถึงอันตรายที่อาจเกิดขึ้นและตัดสินใจพาเถียนเข่อเอ๋อร์และคนอื่น ๆ ถอยออกมาตั้งหลักนอกป่าก่อน
ทันทีที่ออกมาข้างนอก พวกเขาก็เห็นฉินอวี้โม่และหานโม่ฉือซึ่งกำลังเตรียมตัวเข้าไปในป่า เมื่อเห็นจอมยุทธ์รูปงามทั้งสองและสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายที่ทรงพลังเกินควบคุม เถียนจ้งจึงอดเข้ามาหยุดพวกเขาไม่ได้
หลังจากฟังคำบอกเล่าของเถียนเข่อเอ๋อร์ ฉินอวี้โม่และหานโม่ฉือก็หันมองหน้ากันทันที
ทั้งสองไม่สงสัยหรือคลางแคลงใจในเรื่องราวของเถียนเข่อเอ๋อร์และคณะ ทว่าใคร่รู้ว่าสิ่งใดที่ทำให้หมู่อสูรมายาเหล่านั้นคลุ้มคลั่งขึ้นมา
“ภายใต้สถานการณ์ปกติ การที่อสูรมายาคลุ้มคลั่งกันขึ้นมาเช่นนี้ควรที่จะเกิดจากปัจจัยภายนอกบางอย่าง ในป่าใบไม้เขียวมีข่ายอาคมลึกลับจำนวนมากและข้าคิดว่าน่าจะมีอะไรบางอย่างที่พิเศษซ่อนอยู่ในนั้น มันอาจเป็นทรัพยากรที่ล้ำค่าหรือซากปรักหักพังของบรรพชนเก่าแก่ ข้าไม่รู้ว่าสิ่งใดก่อให้เกิดเหตุการณ์เช่นนี้”
เถียนจ้งกล่าวอย่างไม่ปิดบังสิ่งใด พวกเขาเข้าไปในป่าใบไม้เขียวครานี้เพื่อตามหาไม้ฟืนวิญญาณดังที่ตั้งใจไว้ ทว่าด้วยสถานการณ์ที่เกิดขึ้น พวกเขาทั้งห้าจึงไม่มีทางกลับเข้าไปได้อีกเลย
เพียงมองแวบแรก เถียนจ้งก็ทราบได้ทันทีว่าฉินอวี้โม่และหานโม่ฉือไม่ใช่บุคคลที่ธรรมดา หากร่วมเดินทางไปด้วยกัน พวกเขาก็อาจมีโอกาสทำตามจุดมุ่งหมายให้สำเร็จก็เป็นได้
ฉินอวี้โม่และหานโม่ฉือชื่นชมความตรงไปตรงมาของเถียนจ้งและเถียนเข่อเอ๋อร์ยิ่งนัก ตระกูลเถียนถือเป็นตระกูลพิเศษในดินแดนเทพมายา ทว่าคนเหล่านี้ไม่วางท่ายกตัวสูงส่งแต่อย่างใด ในทางกลับกัน พวกเขากลับดูถ่อมตนอย่างยิ่ง สิ่งนี้เพียงอย่างเดียวก็ทำให้ทั้งสองที่พานพบกับคนโง่เขลาที่ยกตนข่มผู้อื่นมากมายรู้สึกถูกชะตากับตระกูลเถียนอย่างแท้จริง
“ท่านทั้งสอง เห็นได้ชัดว่าความแข็งแกร่งของท่านทั้งสองไม่ธรรมดาเลย หากเป็นไปได้…พวกเราขอพักผ่อนสักครู่หนึ่งและจะขอร่วมเดินทางเข้าไปในป่าใบไม้เขียวด้วย หากเกิดสิ่งใดระหว่างทาง เราทั้งสองกลุ่มที่อยู่รวมกันย่อมรับมือกับสถานการณ์ได้ดีกว่า และท่านจอมยุทธ์กล่าวว่าจะไปที่นครเวหาใช่รึไม่ บังเอิญว่าพวกเราก็จะไปที่นั่นเช่นกัน”
เถียนเข่อเอ๋อร์มองฉินอวี้โม่และหานโม่ฉือด้วยความรู้สึกชื่นชอบ ต่อให้ไม่ทราบตัวตนของทั้งสอง นางก็รู้สึกได้ว่าอีกฝ่ายมีบางอย่างที่ไม่ธรรมดาอย่างแน่นอน
“ตกลง เราทั้งสองก็เพิ่งมาที่นี่เป็นครั้งแรกและไม่คุ้นชินกับป่าใบไม้เขียว หากเดินทางไปด้วยกัน มันจะช่วยลดปัญหาของเราไปได้มากทีเดียว”
ฉินอวี้โม่ยิ้มและมิได้ปฏิเสธอีกฝ่าย
หากทั้งสองเข้าไปในป่าใบไม้เขียวด้วยตนเอง มันก็คงจะไม่เกิดผลประโยชน์อะไรนัก และการเข้าไปกับคณะเดินทางของเถียนเข่อเอ๋อร์ก็ไม่ได้เป็นผลเสียเช่นกัน ยิ่งไปกว่านั้น เถียนเข่อเอ๋อร์และคนอื่น ๆ น่าจะคุ้นเคยกับสถานที่แห่งนี้เป็นอย่างดีและตระกูลเถียนก็ขึ้นชื่อด้านการสืบข่าว หากได้ผูกมิตรสร้างไมตรีที่ดีต่อกัน มันก็ไม่เป็นผลร้าย ๆ ใดต่อฉินอวี้โม่และหานโม่ฉือ
“เยี่ยมไปเลย !”
เมื่อฉินอวี้โม่ตอบตกลง เถียนเข่อเอ๋อร์ก็ยิ้มกว้างและปรี่เข้าไปจับมือฉินอวี้โม่ด้วยความตื่นเต้นก่อนนั่งลงใกล้ ๆ ในระหว่างทางนางได้พบคนคุ้นหน้าคุ้นตาหลายคนทว่าไม่มีผู้ใดให้พูดคุยซึ่งทำให้นางเศร้าสร้อยอย่างยิ่ง บัดนี้เมื่อได้ร่วมเดินทางกับสตรีอีกคน นางจะไม่เบื่อหน่ายอีกต่อไป
อีกสี่คนนั่งลงเช่นกันก่อนหยิบอาหารออกมาจากแหวนมิติและเริ่มรับประทาน
เถียนเข่อเอ๋อร์ก็หยิบอาหารของตนออกมายื่นให้กับฉินอวี้โม่และหานโม่ฉือ
ฉินอวี้โม่ยิ้มเบา ๆ โดยไม่ปฏิเสธน้ำใจ นางรู้สึกถูกชะตากับแม่นางผู้มีชีวิตชีวาและตรงไปตรงมาผู้นี้ไม่น้อยเลย
“ในเมื่อเราเป็นสหายกันแล้ว ข้าเรียกท่านว่าอวี้โม่ได้รึไม่ ?”
เถียนเข่อเอ๋อร์จิบน้ำเล็กน้อยก่อนหันไปมองฉินอวี้โม่ด้วยดวงตากลมโตและรอยยิ้มกว้างประดับบนใบหน้า
“ได้สิ”
ฉินอวี้โม่ไม่ปฏิเสธและพยักศีรษะเบา ๆ
“ถ้าเช่นนั้นท่านก็เรียกข้าว่าเข่อเอ๋อร์ก็พอ”
เมื่อได้ยินคำตอบของฉินอวี้โม่ เถียนเข่อเอ๋อร์ก็ยิ้มกว้างด้วยความดีใจทันที
“อวี้โม่ ท่านไม่รู้หรอกว่าในชีวิตนี้ข้ามีสหายน้อยนิดเหลือเกิน หลังจากที่สตรีพวกนั้นทราบถึงตัวตนของข้า พวกนางก็ไม่ต้องการเป็นสหายที่จริงใจกับข้า ทว่าอยากจะประจบประแจงแสร้งทำเพื่อหวังผลประโยชน์จากตระกูลเถียน เพราะเหตุนั้นจึงมีคนที่จริงใจกับข้าเพียงไม่กี่คน มันน่าเบื่อชะมัด”
เถียนเข่อเอ๋อร์ซึ่งนั่งอยู่ถัดจากฉินอวี้โม่กล่าวตัดพ้อทว่ายังคงแสดงท่าทางกระตือรือร้นเช่นเดิม
เมื่อฉินอวี้โม่และหานโม่ฉือทราบถึงตัวตนของนางและคนอื่น ๆ ทั้งสองก็ไม่ได้มีท่าทีประจบสอพลอหรือเอาใจนางแต่อย่างใด สิ่งนี้ทำให้เถียนเข่อเอ๋อร์รู้สึกถูกชะตากับฉินอวี้โม่มากยิ่งขึ้น นางต้องการสหายที่ไม่เข้ามาเพียงเพราะหวังผลประโยชน์ นางเชื่อว่าฉินอวี้โม่และหานโม่ฉือน่าจะเป็นสหายผู้ที่จริงใจกับนางได้
“อวี้โม่ ท่านมาจากที่ใดรึ ? เหตุใดข้าจึงไม่เคยได้ยินชื่อเสียงเรียงนามของท่านทั้งสองมาก่อนเลย ?”
เถียนเข่อเอ๋อร์เอ่ยถามด้วยความสงสัยใคร่รู้ ด้วยรูปลักษณ์ชวนตะลึงและลักษณะที่โดดเด่นเช่นนี้ ตระกูลเถียนจะไม่เคยได้ยินเกี่ยวกับทั้งสองได้อย่างไร ? ตระกูลเถียนมีวิธีการสืบหาข้อมูลในแบบของตัวเองและมีข้อมูลเกี่ยวกับยอดฝีมือผู้โดดเด่นของทั้งดินแดน อย่างไรก็ตาม นางไม่เคยได้ยินชื่อของฉินอวี้โม่และหานโม่ฉือมาก่อน
“ท่านอยู่ในป่าใบไม้เขียวมานานเพียงใดรึ ?”
ฉินอวี้โม่ไม่ตอบคำถามของอีกฝ่าย ทว่ายิ้มและถามกลับไป
“ตอนนี้ก็ครึ่งเดือนแล้ว ป่าใบ้ไม้เขียวกว้างใหญ่ยิ่งนักและข้างในก็อันตรายมาก”
เถียนเข่อเอ๋อร์คำนวณวันเวลาและพบว่าคณะเดินทางของนางอยู่ที่นี่มากว่าครึ่งเดือนแล้ว
ในเมื่อเป็นเวลากว่าครึ่งเดือนแล้วตั้งแต่ที่เถียนเข่อเอ๋อร์และคณะมาถึงที่นี่ ฉินอวี้โม่และหานโม่ฉือจึงทราบดีว่าเหตุใดอีกฝ่ายจึงไม่เคยได้ยินชื่อของตนมาก่อน เมื่อครึ่งเดือนก่อน เหตุการณ์การปะทะในเมืองซิ่งหัวยังไม่เกิดขึ้นและชื่อของทั้งสองยังไม่ได้แพร่งพรายไปทั่วดินแดน
“เดิมทีเราตั้งใจจะไปชมเรื่องที่น่าตื่นเต้นในเมืองซิ่งหัว ทว่าด้วยสถานการณ์ของตระกูล แผนการนั้นจึงถูกยกเลิกไป ข้าไม่รู้ว่าผู้ที่ท้าดวลกับสมาคมช่างหลอมเป็นใครและเกิดเรื่องอะไรขึ้นบ้าง”
สีหน้าของเถียนเข่อเอ๋อร์แสดงถึงความเสียดายอย่างชัดเจน ครานี้นางพลาดโอกาสไปชมเรื่องน่าตื่นเต้นที่เมืองซิ่งหัวเพราะไม้ฟืนวิญญาณ นางจึงรู้สึกเสียดายอย่างเห็นได้ชัด
“อวี้โม่ ท่านเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นในเมืองซิ่งหัวให้ข้าฟังได้รึไม่ ?”
เถียนเข่อเอ๋อร์จับมือฉินอวี้โม่และมองนางด้วยดวงตากลมใสอย่างสงสัยใคร่รู้ คุณหนูตระกูลเถียนผู้นี้อยากทราบเรื่องที่เกิดขึ้นที่เมืองซิ่งหัวอย่างแท้จริง
ในเมื่อเถียนเข่อเอ๋อร์และคนอื่น ๆ กล่าวอย่างตรงไปตรงมาเช่นนี้ แน่นอนว่าฉินอวี้โม่ก็ไม่ปิดบังสิ่งใดเช่นกัน ยิ่งไปกว่านั้น อีกไม่นานเถียนเข่อเอ๋อร์และคณะก็ต้องทราบถึงตัวตนของนางและหานโม่ฉืออยู่แล้ว ทั้งสองจึงเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นในเมืองซิ่งหัวอย่างคร่าว ๆ ให้อีกฝ่ายได้ทราบ
เมื่อได้ยินว่าเฉินซินคือกบฏผู้ทรยศที่เป็นถึงนายน้อยของฝ่ายมาร เถียนเข่อเอ๋อร์และเถียนจ้งก็แสดงสีหน้าโกรธเคืองอย่างชัดเจน ไม่คิดเลยว่าตัวตนที่แท้จริงของเฉินซินจะเป็นคนน่ารังเกียจเช่นนั้น
เมื่อเล่าถึงเรื่องที่จอมยุทธ์มากฝีมือจำนวนมากของฝ่ายมารเข้าล้อมรอบฝ่ายของดินแดนเทพมายา ทั้งสองก็เป็นกังวลขึ้นมาทันที
ทว่าเมื่อได้ทราบว่าฉินอวี้โม่คือเทพมายาคนใหม่และหานโม่ฉือมีพลังอยู่ในขอบเขตนภาเซียน สีหน้าของเถียนเข่อเอ๋อร์และเถียนจ้ง รวมถึงคนอื่น ๆ ก็บ่งบอกถึงความตกใจและประหลาดใจอย่างปิดไม่มิด
“แม่เจ้า… เทพมายาคนใหม่ ! ขอบเขตนภาเซียน ! นี่มันน่าทึ่งจริง ๆ !”
เถียนเข่อเอ๋อร์กล่าวด้วยน้ำเสียงตื่นเต้นอย่างชัดเจนและไม่มีความคิดอื่นใด
“ไม่แปลกใจเลยที่ท่านทั้งสองกล้าเข้าไปในป่าใบไม้เขียวกันสองคนเช่นนี้ ด้วยความแข็งแกร่งของจอมยุทธ์หานโม่ฉือ แม้แต่อสูรพสุธาเซียนขั้นสูงสุดจำนวนนับสิบ ๆ ตัวก็จะถูกจัดการไปง่าย ๆ”
ฉินอวี้โม่และหานโม่ฉือหันมองหน้าอย่างรู้กัน ขณะมองดูสีหน้าบ่งบอกความรู้สึกอย่างเปิดเผยชัดเจนของเถียนเข่อเอ๋อร์และเถียนจ้ง ทั้งสองก็รู้สึกถูกชะตากับพวกเขายิ่งกว่าเดิม
ลักษณะท่าทางการแสดงออกของเถียนจ้งและเถียนเข่อเอ๋อร์แสดงให้เห็นว่าบรรยากาศของจวนตระกูลเถียนน่าจะปรองดองและกลมเกลียวกันอย่างยิ่ง
จากนั้นทุกคนก็นั่งพักและสนทนาหารือกันพักหนึ่งก่อนมุ่งหน้าเข้าสู่ป่าใบไม้เขียวภายใต้การนำทางของเถียนจ้ง
.