คุณหนูสี่ สตรีเปื้อนเลือด - ตอนที่ 589 ตำแหน่งที่อยู่ของบุรุษชรา
ภายในห้องหนังสือ ทั้งสามนั่งลงเพื่อหารือกันในขณะที่มู่อวิ๋นเก็บแผนที่ดังกล่าวก่อนรินน้ำชาให้กับฉินอวี้โม่และหานโม่ฉือ
“เสี่ยวอวี้โม่ หากข้าจำไม่ผิด เจ้าและเสี่ยวโร่วเป็นศิษย์เพียงสองคนในชั้นเรียนข่ายอาคมที่โรงเรียนราชสำนักใช่หรือไม่ ?”
เขายังไม่กล่าวถึงคนที่พบให้ฉินอวี้โม่และหานโม่ฉือทราบในทันทีทว่าเกริ่นเรื่องราวออกไปเช่นนี้
“เจ้าค่ะ เพียงแต่ชั้นเรียนข่ายอาคมนั้นคงอยู่เพียงครึ่งปีเท่านั้นและก็ถูกยกเลิกไปเพราะการหายตัวไปของอาจารย์ผู้เฒ่า”
ฉินอวี้โม่พยักศีรษะและกล่าวออกไป นางจำได้ดีว่าได้เข้าไปเรียนในชั้นเรียนข่ายอาคมของอาจารย์ชราผู้ลึกลับโดยบังเอิญ
เมื่อนึกถึงเรื่องบุรุษชราลึกลับผู้นั้น นางก็นึกสงสัยใคร่รู้ขึ้นมาทันที ผู้เฒ่านัยน์ตาสีฟ้าผู้นั้นเป็นใครกันแน่และเหตุใดจึงหายตัวไปอย่างกะทันหัน ?
“ท่านอธิการ ท่านได้พบผู้เฒ่าประหลาดคนนั้นรึ ?”
หลังจากไตร่ตรองดู ฉินอวี้โม่ก็สบตามู่อวิ๋นและกล่าวข้อคาดเดาออกไป การที่จู่ ๆ อธิการกล่าวถึงชั้นเรียนข่ายอาคมเช่นนี้ หรือเขาจะได้พบบุรุษชราผู้แปลกประหลาดผู้นั้นจริง ๆ ?
“ใช่แล้วล่ะ ข้าได้พบผู้เฒ่าจริง ๆ ทว่าสิ่งที่ทำให้ข้าสับสนก็คือไม่ทราบว่าเพราะเหตุใดเขาจึงทำท่าทางเหมือนไม่รู้จักข้าและลืมเรื่องของโรงเรียนราชสำนักไปอย่างสิ้นเชิง”
มู่อวิ๋นส่ายศีรษะเบา ๆ พร้อมกล่าวออกไป นี่คือสิ่งที่เขาฉงนสงสัยและไม่อาจเข้าใจได้เลย เขามั่นใจว่าคนผู้นั้นที่ได้พบคือบุรุษชราประหลาดจากโรงเรียนราชสำนักเป็นแน่ ทว่าเหตุใดคนผู้นั้นจึงแสดงท่าทางเหมือนไม่เคยรู้จักเขามาก่อน
เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นเมื่อครึ่งปีก่อนขณะที่มู่อวิ๋นออกสำรวจตรวจตรานครล่าฝันตามปกติ ครานั้นเขาได้พบกับบุรุษชราที่คุ้นเคย หลังออกจากโรงเรียนราชสำนักไป อาจารย์ชั้นเรียนข่ายอาคมผู้นั้นก็ไม่เคยกล่าวว่าเขาจะไปที่ใดและไม่เคยติดต่อมู่อวิ๋นหรือกลับไปที่นั่นอีกเลย
ไม่คิดเลยว่าจู่ ๆ เขาจะได้พบผู้เฒ่าประหลาดอีกครั้งในนครล่าฝันและแน่นอนว่ามู่อวิ๋นมีความสุขอย่างยิ่ง
เขาถือโอกาสเข้าไปทักทายบุรุษชรา ทว่าอีกฝ่ายกลับมีท่าทีเหมือนไม่รู้จักเขามาก่อน ยิ่งไปกว่านั้น บุรุษชราผู้นั้นยังกล่าวอีกว่าตนไม่เคยไปที่ดินแดนหวนหลิงและไม่รู้จักโรงเรียนราชสำนัก
จากรูปลักษณ์และลักษณะท่าทางของเขา มู่อวิ๋นก็ไม่รู้สึกถึงความแตกต่างจากเดิม ยิ่งไปกว่านั้น สีหน้าแววตาของบุรุษชราก็บ่งบอกว่าทุกอย่างที่เขาพูดคือความจริง
เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนี้ราวกับว่าบุรุษชราไม่เคยไปที่ดินแดนหวนหลิงจริง ๆ และทั้งหมดเป็นเพียงเรื่องราวในความฝันของมู่อวิ๋นเท่านั้น
ในวันนั้นมู่อวิ๋นตัดสินใจเชิญให้บุรุษชราพักอยู่ในจวนจ้าวนครทว่าบุรุษชราผู้นั้นก็ปฏิเสธไป จากนั้นเขาก็พักอยู่ในนครล่าฝันเพียงคืนเดียวก่อนรีบเดินทางจากไปในเช้าตรู่ของวันรุ่งขึ้น
แน่นอนว่ามู่อวิ๋นไม่ลืมที่จะส่งคนตามสะกดรอยบุรุษผู้นั้นด้วยต้องการทราบให้แน่ชัดว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ เคราะห์ร้ายที่หลังจากตามรอยเป็นเวลานาน ร่องรอยเบาะแสของบุรุษชราก็หายไปอย่างสิ้นเชิง
พลังวิญญาณของบุรุษชราผู้นั้นแตกต่างจากคนทั่วไปมาก อาจเป็นเพราะเขาไหวตัวทันและสัมผัสได้ว่ามีคนแอบตามรอยจึงพยายามหลีกเลี่ยงคนเหล่านั้น
หลังจากเหตุการณ์ครานั้น มู่อวิ๋นก็พยายามสืบข่าวคราวและตามหาเบาะแสของบุรุษชราผู้นั้นมาตลอดทว่าไม่เคยได้เรื่องได้ราว ราวกับว่าการพบกันในนครล่าฝันครานั้นเป็นเพียงความฝันและบุรุษชราแปลกประหลาดผู้นั้นก็สลายหายวับไปจากดินแดนนี้อย่างไร้ร่องรอย
ฉินอวี้โม่และหานโม่ฉือขมวดคิ้วมุ่นทันที หานโม่ฉือทราบข้อมูลเกี่ยวกับอาจารย์ผู้เฒ่าบางส่วนโดยทราบว่าเขาอยู่ที่โรงเรียนราชสำนักมานานหลายทศวรรษและชั้นเรียนข่ายอาคมเป็นหนึ่งในชั้นเรียนของโรงเรียนราชสำนักมานานหลายทศวรรษเช่นกัน
อย่างไรก็ตาม หลายปีที่ผ่านมาในอดีตก็ไม่เคยมีนักเรียนคนใดที่ศึกษาในชั้นเรียนดังกล่าวได้มาก่อน มีเพียงฉินอวี้โม่และเสี่ยวโร่วเท่านั้นที่ผ่านบททดสอบของชั้นเรียนได้ ทว่าก็น่าเสียดายที่หลังจากผ่านการทดสอบที่ยากลำบากพอสมควร ทั้งสองก็ได้ศึกษาจากอาจารย์ผู้เฒ่าได้เพียงครึ่งปีเท่านั้นก่อนที่เขาจะหายตัวไป
“ท่านอธิการ ผู้เฒ่าคนนั้นเป็นใครกันแน่ ?”
ฉินอวี้โม่เคยถามคำถามนี้กับมู่อวิ๋นมาก่อนและอธิการกล่าวเพียงว่านางจะได้ทราบเองเมื่อแข็งแกร่งมากพอ ซึ่งเวลานี้นางก็มั่นใจว่าพลังของตนแข็งแกร่งมากพอแล้ว ทว่านางก็ยังไม่ทราบถึงตัวตนของบุรุษชราอยู่ดี
“อันที่จริงข้าเองก็ไม่ทราบเช่นกัน ข้าทราบเพียงว่าเขามาจากดินแดนระดับสูงและมาจากเผ่าโบราณ ไม่เคยมีใครทราบชื่อที่แท้จริงของเขา แม้แต่อธิการคนก่อนที่เป็นคนจ้างอาจารย์ผู้เฒ่าก็ไม่ทราบรายละเอียดที่แน่ชัดเกี่ยวกับตัวเขาเช่นกัน อย่างไรก็ตาม บุรุษชราประหลาดผู้นี้ก็แกร่งกล้าและมากความสามารถ ข้าคิดว่าเขาน่าจะเป็นผู้ใช้ข่ายอาคมระดับสูงทีเดียว แต่สาเหตุที่เขาไปที่ดินแดนหวนหลิงและอยู่ในโรงเรียนราชสำนักเป็นเวลาเนิ่นนานนั้น ข้าไม่ทราบเลยจริง ๆ”
มู่อวิ๋นเองก็มีข้อสันนิษฐานของเขาอยู่เช่นกัน เขาไม่เคยทราบตัวตนแท้จริงของบุรุษชรา แม้เคยเอ่ยถามครั้งหนึ่ง บุรุษผู้นั้นก็กล่าวเพียงว่าทุกคนจะได้ทราบก็ต่อเมื่อถึงเวลาที่เหมาะสม
ทว่ามู่อวิ๋นก็คาดไม่ถึงเลยว่าคนผู้นั้นจะหายตัวไปอย่างกะทันหัน และเมื่อได้พบกันอีกครั้ง เขากลับกลายเป็นดั่งคนแปลกหน้าที่ไม่เคยรู้จักกันมาก่อนและจำเรื่องราวทุกอย่างที่เกิดขึ้นในดินแดนหวนหลิงไม่ได้แม้แต่น้อย
มู่อวิ๋นสงสัยว่าการจากไปอย่างกะทันหันของอาจารย์ชั้นเรียนข่ายอาคมผู้นั้นอาจจะเป็นเพราะเกิดเรื่องบางอย่าง และสภาวะการสูญเสียความทรงจำของเขาในตอนนี้ก็จะต้องเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในอดีตอย่างแน่นอน
น่าเสียดายเหลือเกินที่เขาไม่มีเบาะแสของบุรุษผู้นั้นเลยสักนิด ต่อให้จะต้องการสืบให้รู้ความ เขาก็ไม่มีหนทางใด
สมองของฉินอวี้โม่แล่นอย่างรวดเร็วและเกิดข้อสันนิษฐานบางอย่างผุดขึ้นมา
หากบุรุษชราเป็นผู้เชี่ยวชาญในศาสตร์ข่ายอาคมจริง ๆ มีความเป็นไปได้ว่าเขาอาจเกี่ยวข้องกับเผ่ามายา ถึงอย่างไรดินแดนเทพมายาก็มีผู้ใช้ข่ายอาคมระดับสูงเพียงไม่มาก ทว่าคนเหล่านั้นมีอยู่มากมายนับไม่ถ้วนในชนเผ่ามายา
บางทีอาจจะเกิดเรื่องบางอย่างขึ้นในชนเผ่ามายา บุรุษชราจึงจำต้องจากไป หลังจากนั้นเขาก็ถูกลบล้างความทรงจำด้วยพลังบางอย่างส่งผลให้เขาจดจำมู่อวิ๋นและคนอื่น ๆ ไม่ได้ รวมถึงลืมเลือนเรื่องราวทุกอย่างที่เกิดขึ้นในดินแดนหวนหลิง
‘ชนเผ่ามายา’ คือชนเผ่าของบรรพชนเทพมายา หลังจากการล่มสลายของเทพมายาคนก่อน ชนเผ่านั้นก็ถูกปกครองโดยผู้ทรยศฉินมู่ยวี่และพวกพ้อง กล่าวได้ว่าชนเผ่ามายาลึกลับยิ่งกว่าฝ่ายมารเสียอีก หากผู้เฒ่าประหลาดผู้นั้นเกี่ยวข้องกับมันจริง การสืบหาความจริงก็คงจะเป็นปัญหาพอสมควร
ฉินอวี้โม่มิได้กล่าวถึงข้อสันนิษฐานเหล่านี้ออกไป ตลอดเวลาที่ผ่านมานี้ นางศึกษาทักษะการวางข่ายอาคมมาและนางก็ทราบถึงพลังของผู้ใช้ข่ายอาคมระดับสูงเป็นอย่างดี หากไม่มั่นใจเต็มร้อย ไม่ว่านางหรือผู้ใดก็ไม่ต้องการประจันหน้ากับชนเผ่ามายาอย่างแน่นอน
ยิ่งไปกว่านั้น หนทางในการปลดผนึกสุดท้ายของกายเทพมายาก็ควรจะอยู่ที่ชนเผ่ามายานั้นและนางไม่อาจทำสิ่งใดลงไปอย่างบุ่มบ่ามได้
“ท่านอธิการ ไม่ต้องห่วงเรื่องผู้เฒ่าคนนั้นหรอกเจ้าค่ะ ข้าจะให้คนช่วยสืบหาความจริง หากมีข่าวที่เกี่ยวกับตัวเขา ข้าจะส่งคนมาแจ้งให้ท่านทราบในทันที ตอนนี้ท่านจับตาดูการเคลื่อนไหวของอารามโชติช่วงและนิกายหงส์มังกรเถิด พวกเขารวมหัวกับฝ่ายมารแล้วและต้องมีแผนการชั่วร้ายที่จะเป็นภัยต่อดินแดนเทพมายาอย่างแน่นอน”
ฉินอวี้โม่กล่าวกับมู่อวิ๋นเพื่อให้เขาสบายใจขึ้น
ขุมกำลังใหญ่และทรงพลังอย่างนิกายหงส์มังกรเป็นดั่งระเบิดเวลาสำหรับพวกนาง แม้ก่อนหน้านี้ สิ่งที่เกิดขึ้นในเมืองซิ่งหัวจะทำให้ชื่อเสียงของพวกเขาเสื่อมเสียไม่น้อย ทว่าถึงอย่างไรแมลงร้อยขาตายก็ไม่ล้ม หากขุมกำลังเหล่านั้นวางแผนคิดทำสิ่งใด การจัดการกับพวกเขาก็มิใช่เรื่องง่ายเลย
* 百足之虫死而不僵 แมลงร้อยขาตายก็ไม่ล้ม อุปมาถึงคนที่เคยมีอำนาจอิทธิพล แม้อำนาจเหล่านั้นลดลงก็ไม่อาจทำให้พวกเขาหายไปได้โดยสมบูรณ์
มู่อวิ๋นพยักศีรษะอย่างเห็นด้วย เขาทราบสถานการณ์ของดินแดนเทพมายาเป็นอย่างดี แม้ตอนนี้ดูเหมือนทุกอย่างจะสงบราบรื่น ทว่ามันก็มีคลื่นลูกใหญ่ที่ก่อตัวอยู่ภายใต้ความสงบเหล่านี้ ความแข็งแกร่งของนิกายหงส์มังกรและขุมกำลังพันธมิตรอื่น ๆ เป็นสิ่งที่ไม่อาจประเมินได้เลย ซ้ำร้ายยังมีฝ่ายมารที่ลึกลับและยากเกินคาดเดา การรวมตัวกันของคนเหล่านั้นจะต้องก่อให้เกิดเรื่องน่าปวดหัวอย่างแท้จริง
“อีกอย่าง…พวกเราจะต้องส่งคนไปจับตาดูการเคลื่อนไหวของสมาคมผู้ฝึกสัตว์อสูร สมาคมโอสถและสมาคมทหารรับจ้างด้วยเจ้าค่ะ แม้ว่าสมาคมช่างหลอมจะอยู่ภายใต้การปกครองของข้าแล้ว ทว่าสมาคมเหล่านั้นก็ยังคงมีอำนาจและอิทธิพลบางอย่าง หากมีใครคิดจะฉวยโอกาสขึ้นมา มันคงไม่ดีแน่”
เมื่อนึกถึงสมาคมใหญ่ทั้งสามแห่งที่ยังคงนิ่งเฉยไม่มีการเคลื่อนไหวที่แน่ชัด ฉินอวี้โม่ก็กล่าวขึ้นอีกครั้ง
แม้นางจะผนึกกำลังดินแดนทางเหนือได้แล้ว ทว่ารากฐานของนางในภูมิภาคกลางแห่งนี้ยังตื้นเขินนัก สมาคมเหล่านี้ล้วนเป็นขุมกำลังที่มากประสบการณ์และมีรากฐานที่มั่นคง หากพวกเขาตกเป็นเครื่องมือของขุมกำลังชั่วร้าย มันจะส่งผลเสียต่อฝ่ายฉินอวี้โม่และสหายอย่างแน่นอน
อธิการมู่อวิ๋นเห็นด้วยกับความคิดนี้เช่นกัน แต่ทว่า…น่าเสียดายที่มันสายเกินไปเสียแล้ว
นับตั้งแต่ที่สมาคมช่างหลอมประกาศตัวจำนนต่อฉินอวี้โม่ สมาคมทั้งสามของดินแดนเทพมายาก็แสดงจุดยืนที่เป็นปรปักษ์
ประธานของทั้งสามสมาคมล้วนถูกควบคุมโดยบุคคลที่มีสถานะสูงส่งในสมาคมของพวกเขาและกลายเป็นเครื่องมือของขุมกำลังมารร้ายเช่นเดียวกับนิกายหงส์มังกรและขุมกำลังพันธมิตรทั้งหลาย
อย่างไรก็ตาม เรื่องนี้ยังไม่เป็นที่รู้กันโดยถ้วนหน้าและถูกปิดบังไว้โดยหลายขุมกำลัง คนเหล่านั้นเพียงต้องการรอจนกว่าจะถึงเวลาของการทำสงครามในดินแดนก่อน จึงจะเปิดเผยอาวุธลับอย่างสมาคมทั้งสาม เมื่อถึงตอนนั้น พวกเขาเชื่อว่าฉินอวี้โม่และพวกจะต้องตกตะลึงอย่างคาดไม่ถึง
ต้องกล่าวเลยว่าฝ่ายมารแตกต่างจากเมื่อพันปีก่อนอย่างแท้จริง
แม้ครานี้ดูผิวเผินเหมือนพวกเขาเก็บตัวไม่สร้างความวุ่นวายมากนัก แท้จริงแล้วพวกเขาก็กำลังแอบจู่โจมอย่างเงียบ ๆ ไม่เพียงแต่ควบคุมนิกายหงส์มังกรให้อยู่ในกำมือได้เท่านั้น ทว่าพวกเขายังส่งคนเข้าไปแทรกซึมในสมาคมใหญ่ทั้งสี่อีกด้วย
หากตัวตนของเฉินซินไม่ถูกเปิดเผยเสียก่อน สมาคมช่างหลอมก็จะตกอยู่ในการควบคุมของพวกเขาเช่นกัน เมื่อถึงตอนนั้น การพึ่งพาเพียงขุมกำลังทั้งหลายในดินแดนก็คงไม่เพียงพอที่จะต่อสู้รับมือกับขุมกำลังมารร้ายอย่างแน่นอน
ยิ่งไปกว่านั้น สิ่งที่ฉินอวี้โม่ไม่ทราบเลยก็คือฝ่ายมารและตระกูลลับบางตระกูลได้ทำข้อตกลงสานสัมพันธ์ร่วมมือกันอย่างลับ ๆ แล้ว เวลานี้พวกเขาเพียงรอวันแห่งการต่อสู้ชี้ชะตาให้มาถึง และฝ่ายมารจะกลายเป็นผู้ปกครองของดินแดนเทพมายานี้อย่างสมบูรณ์
การเตรียมการทุกอย่างเหล่านี้เกิดขึ้นอย่างลับ ๆ และไม่มีทางเลยที่ฉินอวี้โม่หรือคนอื่น ๆ จะทราบได้ แม้แต่วิหารทมิฬเองก็ไม่ทราบเรื่องนี้เช่นกัน
……….
ในเวลานี้ หลงจื้อ—ตัวแทนจากนิกายหงส์มังกร เซิ่งเซียว—โอรสศักดิ์สิทธิ์แห่งอารามโชติช่วง และว่านเจียง—ตัวแทนจากนครหมื่นอสูรกำลังหารือร่วมกัน
“ฮ่า ๆ ๆ คนพวกนั้นกำลังจับตาดูการเคลื่อนไหวของพวกเราทั้งสามขุมกำลัง ข้าเชื่อว่าคงไม่มีใครคาดเดาได้เลยว่ามิใช่มีเพียงพวกเราสามขุมกำลังเท่านั้นที่ร่วมมือกับฝ่ายมาร !”
ว่านเจียงแค่นเสียงและหัวเราะเยาะอย่างสาแก่ใจ เพียงนึกถึงอริอย่างฉินอวี้โม่ ความชิงชังก็ปรากฏบนใบหน้าของเขาอย่างชัดเจน
เขาจำความอัปยศอดสูที่เกิดขึ้นเพราะฉินอวี้โม่ในเมืองซิ่งหัวได้อย่างไม่มีวันลืมเลือน หากมิใช่เพราะคำนึงถึงภาพรวมของแผนการ เขาไม่มีทางปล่อยวางเรื่องราวในครานั้นได้เป็นอันขาด
“ไม่ว่าสตรีผู้นั้นจะชาญฉลาดเพียงใด นางก็ไม่มีทางคาดเดาได้เลยว่าสิ่งที่เกิดขึ้นในเมืองซิ่งหัวครานั้นแตกต่างจากความเป็นจริงอย่างสิ้นเชิง !”
เฉินซินนั่งอยู่ในตำแหน่งของตนเองด้วยสีหน้าเรียบเฉยไม่บ่งบอกความรู้สึกใด เวลานี้เขากลายเป็นนายน้อยของขุมกำลังฝ่ายมารอย่างเป็นทางการแล้วและถือครองอำนาจที่ยิ่งใหญ่
“ไม่ว่าอย่างไรเราก็จะวางใจไม่ได้ ฉินอวี้โม่และหานโม่ฉือทั้งสองนั่นไม่ธรรมดาเลย เราจะประมาทไม่ได้เด็ดขาด”
หลงจื้อกล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชาและความคลุมเครือมืดหม่นปรากฏในแววตา
“เอาล่ะ ต่อจากนี้ก็ทำตามแผนการต่อไป !”
เฉินซินกล่าวขึ้นเบา ๆ ไม่อาจทราบได้เลยว่า ‘แผนการ’ ที่เขากล่าวนั้นหมายถึงสิ่งใด
…..
ฉินอวี้โม่และคนอื่น ๆ ก็ไม่ทราบถึงสิ่งที่เกิดขึ้นเหล่านี้แม้แต่น้อย ทว่าก็มีจดหมายนิรนามฉบับหนึ่งถูกส่งมายังนครล่าฝัน