คุณหนูสี่ สตรีเปื้อนเลือด - ตอนที่ 590 จดหมายนิรนาม
เวลานี้ฉินอวี้โม่และคนอื่น ๆ นั่งรวมตัวกันภายในจวนจ้าวนครล่าฝัน
เช้าตรู่ของวันนี้ พวกนางได้รับจดหมายนิรนามฉบับหนึ่งซึ่งมาจากเด็กหนุ่มอายุเพียงประมาณเจ็ดถึงแปดขวบที่กล่าวเพียงว่ามีลุงคนหนึ่งสั่งให้เขานำจดหมายฉบับนี้มาส่งที่จวนจ้าวนครเวหา และเด็กหนุ่มไม่ทราบว่าลุงคนดังกล่าวคือผู้ใด
หลังจากเปิดจดหมายนิรนามและอ่านเนื้อหาที่ระบุในนั้น ทุกคนต่างก็ฉงนสงสัยไปตาม ๆ กัน
จดหมายนิรนามฉบับนี้ดูธรรมดาเรียบง่ายเป็นอย่างยิ่ง และภายในระบุอักษรเพียงไม่กี่คำเท่านั้น ทว่าความหมายของมันกลับไม่ธรรมดาเลยสักนิด
“งานรวมพลของสี่ตระกูลลับ จงระวังตัวไว้ !”
เพียงประโยคง่าย ๆ ที่ไม่ยืดยาวแต่กลับแอบแฝงไปด้วยความหมายที่มากล้น
ฉินอวี้โม่และทุกคนเข้าใจความหมายของเนื้อหาในจดหมายได้ดี เพียงแต่สงสัยใคร่รู้ยิ่งนักว่าผู้ใดส่งมันมา
ทุกคนได้ทราบข้อมูลจากคำบอกกล่าวของฉินอวี้โม่และเสี่ยวโร่วเกี่ยวกับงานรวมพลเพื่อประเมินความแข็งแกร่งและความก้าวหน้าของทั้งสี่ตระกูลพอสมควร นอกจากสมาชิกของสี่ตระกูลลับ คนอื่นก็ไม่สามารถเข้าร่วมงานดังกล่าวได้
ยิ่งไปกว่านั้น งานรวมพลประจำปีนี้จะจัดขึ้นในจวนตระกูลหานและตระกูลหานเป็นผู้รับผิดชอบเตรียมงานแต่เพียงผู้เดียว
เมื่อจู่ ๆ ได้รับจดหมายนิรนามที่เกี่ยวข้องกับงานดังกล่าว เป็นธรรมดาที่ทุกคนจะตั้งข้อสันนิษฐานของตน
“คนผู้นี้ส่งจดหมายมาเตือนให้เราระวังตัวเพราะเหตุใดกัน ?”
โอวหยางชิงเฟิงผู้ซึ่งตรงไปตรงมาอยู่เสมอไม่รอช้าและกล่าวกับฉินอวี้โม่ด้วยความสงสัยทันที ฉินอวี้โม่มักเป็นผู้ที่ชาญฉลาดที่สุดในกลุ่มและถือเป็นหัวหน้าของทุกคน ไม่ว่าจะเกิดเรื่องใด เขามักรู้สึกว่าฉินอวี้โม่จะต้องมีคำตอบบางอย่างอยู่เสมอ
“คาดว่าคงจะมีขุมกำลังบางแห่งที่ต้องการเข้าไปแทรกแซงในงานรวมพลของสี่ตระกูลลับครานี้ มีใครบางคนที่รู้ว่าข้าและโม่ฉือจะเข้าร่วมงานครานี้ด้วยจึงได้ส่งจดหมายมาเตือนพวกเรา เพียงแต่…สงสัยนักว่าใครกันที่รู้ว่าเราจะเข้าร่วมงานรวมพลของทั้งสี่ตระกูล ?”
ฉินอวี้โม่คิดไตร่ตรองเพียงครู่เดียวก็คาดเดาสถานการณ์ได้แล้ว ทว่าสิ่งที่นางสงสัยใคร่รู้คือผู้ใดกันที่ทราบข้อมูลของนางและหานโม่ฉือรวมถึงเรื่องที่ทั้งสองจะแฝงตัวร่วมกับตระกูลเหมยเพื่อเข้าร่วมงานรวมพลซึ่งจะจัดขึ้นที่จวนตระกูลหาน แม้แต่โอวหยางชิงเฟิงและสหายคนอื่น ๆ ก็เพิ่งทราบเรื่องนี้เพียงไม่นานนี้เอง
“จะต้องเป็นคนที่เรารู้จักและเคยพบหน้ากันมาก่อนเป็นแน่”
หานโม่ฉือกล่าวเบา ๆ ทว่าไม่สงสัยเกี่ยวกับตัวตนของผู้ส่งจดหมายเท่าใดนัก เขารู้สึกได้ว่าคนผู้นี้มิได้มีเจตนาร้ายใด ๆ และเพียงต้องการเตือนพวกเขาให้ระวังตัวเท่านั้น
“อวี้โม่ เจ้าหมายความว่าขุมกำลังที่น่ารังเกียจอย่างนิกายหงส์มังกรอาจจะก่อเรื่องร้ายขึ้นมาเมื่อถึงงานรวมพลสี่ตระกูลรึ ?”
เยว่ชิงเฉิงครุ่นคิดครู่หนึ่งก่อนกล่าวด้วยน้ำเสียงสงสัยอย่างชัดเจน “ทว่าสี่ตระกูลโบราณก็ลึกลับยิ่งนักและยากที่จะเข้าไปในอาณาเขตดินแดนของพวกเขาได้ อย่าพูดถึงการที่จะเข้าไปสร้างปัญหาเลย หรือจะมีใครจงใจส่งจดหมายฉบับนี้มาเพื่อเบี่ยงเบนความสนใจของเราและชักนำพวกเราให้เข้าใจไปในทางที่ผิด ?”
สี่ตระกูลลับล้วนทรงพลังกว่านิกายหงส์มังกรและขุมกำลังอื่น ๆ ทั้งสิ้น หากต้องการเข้าไปในอาณาเขตของพวกเขาและก่อเรื่องสร้างความวุ่นวาย เกรงว่าคงมิใช่เรื่องง่ายแม้แต่น้อย
“หากมีคนจากสี่ตระกูลลับที่แอบร่วมมือกับขุมกำลังชั่วช้าอย่างนิกายหงส์มังกร พวกเขาก็คงจะหาทางเข้าไปในจวนตระกูลหานได้ไม่ยาก”
ฉินอวี้โม่กล่าวหลังจากไตร่ตรอง แม้ไม่ทราบว่าผู้ใดส่งจดหมายนิรนามฉบับนี้มาให้ ไม่ว่าจะเป็นมิตรหรือศัตรู นางก็เชื่อในความหมายของมันที่บอกว่าควรระวังตัวไว้
ตั้งแต่ตอนแรกที่ทราบว่าสี่ตระกูลลับจะจัดงานรวมพลขึ้นในปีนี้ ฉินอวี้โม่ก็มีลางสังหรณ์อยู่แล้วว่าจะต้องเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันบางอย่างขึ้นในครานี้อย่างแน่นอน และจดหมายนิรนามฉบับนี้ก็พิสูจน์ข้อสันนิษฐานดังกล่าวได้เป็นอย่างดี
เมื่อได้ยินวาจาของฉินอวี้โม่ ทุกคนก็เข้าใจความหมายของนางในทันที หลังจากหันมองหน้ากัน ความระแวดระวังก็ปรากฏชัดเจนบนใบหน้าของพวกเขา สิ่งสำคัญคือพวกเขายังไม่สามารถสืบหาข้อมูลภายในของนิกายหงส์มังกรได้ อีกทั้งยังมีฝ่ายมารที่ลึกลับยิ่งกว่า เกรงว่าดินแดนเทพมายาจะโกลาหลวุ่นวายมากขึ้นเรื่อย ๆ อย่างมิอาจหลีกเลี่ยง
“เราไม่สามารถเข้าไปในอาณาเขตของตระกูลหานได้ เพราะฉะนั้นหากเกิดเรื่องขึ้นจริง พวกเจ้าทั้งสองก็จะต้องพึ่งพาตัวเองเท่านั้น”
มู่อวิ๋นกล่าวขึ้นเบา ๆ ทว่าเขาเชื่อมั่นในความแข็งแกร่งของฉินอวี้โม่และหานโม่ฉือ แม้เชื่อว่าสี่ตระกูลลับอาจไม่ลงมือทำสิ่งใด ทว่าหากมีตระกูลใดเข้าร่วมกับฝ่ายมาร มันก็จะเปลี่ยนแปลงสถานการณ์ของทั้งดินแดนอย่างแน่นอน
“ไม่ต้องห่วงขอรับ เราจะไม่ปล่อยให้แผนการของคนพวกนั้นสำเร็จแน่ !”
หานโม่ฉือกล่าวด้วยน้ำเสียงที่หนักแน่นและน่าเกรงขามซึ่งทำให้ทุกคนรอบตัวต้องตกตะลึงไปเล็กน้อย การที่หานโม่ฉือแกร่งกล้าสามารถจนถึงระดับนี้ได้ มันก็ทำให้พวกเขาที่มักมั่นใจในความสามารถของตนต้องรู้สึกอายเล็กน้อย
“สรุปสั้น ๆ ก็คือจงระมัดระวังตัวกับทุกสิ่งทุกอย่าง สำหรับเรื่องพ่อแม่ของเจ้า อย่าใจร้อนมากเกินไปนัก ความหุนหันพลันแล่นมิใช่สิ่งที่ดี พี่หานและพี่สะใภ้ก็ไม่ใช่บุคคลที่ธรรมดาเลย พวกเขาอาจไม่ได้อยู่ในสถานการณ์จนปัญญาอย่างที่พวกเราคิดจริง ๆ”
หานปิ่งเซียนกล่าวเตือนเช่นกัน เขาชื่นชมบิดามารดาของหานโม่ฉืออย่างยิ่ง หานซวนหยวนและไป่หลี่จิ่นซิ่วล้วนเป็นยอดฝีมือที่โดดเด่นที่สุดในตระกูลของตน หากมิใช่เพราะหานชางที่กระทำสิ่งชั่วช้าในตอนนั้น ตำแหน่งผู้นำตระกูลหานคนปัจจุบันก็จะต้องตกเป็นของหานซวนหยวนอย่างแน่นอน
แม้กล่าวกันว่าเมื่อทั้งสองถูกจับตัวในอดีต พวกเขาจะสูญเสียความสามารถในการฝึกยุทธ์ไป อย่างไรก็ตาม ตอนนี้เวลาก็ผ่านมากว่าหลายสิบปีแล้วและต่อให้ไม่สามารถฟื้นฟูพลังเหล่านั้นจนกลับคืนสู่ระดับเดิมได้ ทว่าด้วยพรสวรรค์ของทั้งสอง พวกเขาคงจะหาทางฟื้นฟูพลังของตนเองขึ้นมาได้ พลังความแข็งแกร่งของทั้งสองย่อมไม่อ่อนแออย่างแน่นอน
ยิ่งไปกว่านั้น หานซวนหยวนและไป่หลี่จิ่นซิ่วล้วนเป็นผู้ที่มีพรสวรรค์โดดเด่นและฉลาดหลักแหลม ด้วยปัญญาที่เป็นเลิศของพวกเขา พวกเขาอาจจะไม่ได้พลาดท่าให้หานชางเสียทีเดียว
หานโม่ฉือเพียงยิ้มบาง ๆ โดยไม่กล่าวสิ่งใด แม้ไม่มีความทรงจำใดเกี่ยวกับบิดามารดา เขาก็เชื่อมั่นว่าทั้งสองจะต้องไม่ธรรมดาอย่างแน่นอน
อย่างไรก็ตาม แม้การกระทำของหานชางในอดีตทั้งชั่วช้าและน่ารังเกียจ แต่ในตอนนี้หานโม่ฉือก็แอบรู้สึกขอบคุณเล็กน้อย
หากมิใช่เพราะสิ่งที่เกิดขึ้นในตอนนั้น ตัวเขาคงไม่ได้เติบโตในดินแดนหวนหลิง และหากไม่อยู่ในดินแดนหวนหลิง เขาก็คงไม่มีทางได้พบกับฉินอวี้โม่ และหากไม่ได้พบฉินอวี้โม่ก็คงไม่มีหานโม่ฉืออย่างในทุกวันนี้ ดังนั้นลึก ๆ แล้วเขาจึงรู้สึกขอบคุณกับเหตุการณ์เลวร้ายที่เกิดขึ้นเพราะหานชาง
เขาแอบกล่าวกับตัวเองในใจ “เมื่อใดที่หานชางตกอยู่ในเงื้อมมือของข้า ข้าอาจปรานีให้เขาได้ตายอย่างศพสวย”
แน่นอนว่าฉินอวี้โม่ไม่ทราบความคิดเหล่านี้ของหานโม่ฉือ มิฉะนั้นนางคงหัวเราะจนน้ำตาไหลเป็นแน่
ในตอนแรกที่ได้พบกับหานโม่ฉือ เขาเป็นบุรุษน้ำแข็งผู้เย็นชาจนน่าหวั่นใจ หานโม่ฉือในวันนี้อ่อนโยนและนุ่มนวลลงมากทว่าเขาก็เจ้าเล่ห์จอมแผนการมากขึ้นเช่นกัน
“ท่านจ้าวนคร มีสตรีนางหนึ่งขอเข้าพบท่านขอรับ”
เมื่อหารือกันเสร็จสิ้น เสียงของพ่อบ้านจวนเจ้านครล่าฝันก็ดังมาจากข้างนอก
มู่อวิ๋นนึกประหลาดใจขึ้นมาทันที เพราะปกติแล้วพ่อบ้านของเขารู้จักคนส่วนใหญ่ที่มาจากดินแดนหวนหลิงเป็นอย่างดีและคนเหล่านั้นสามารถเข้าออกนครล่าฝันได้อย่างสะดวกสบาย
บัดนี้เมื่อกล่าวว่ามีสตรีมาขอพบ เขาจึงประหลาดใจเป็นธรรมดา
“ให้นางเข้ามาได้”
แม้ไม่ทราบว่าแขกผู้มาเยือนคือผู้ใด มู่อวิ๋นก็ไม่ปฏิเสธ ฉินอวี้โม่และหานโม่ฉือก็อยู่ในห้องโถงนี้และสงสัยเช่นกันว่าสตรีที่ว่านี้คือใคร
พ่อบ้านรับคำและกลับออกไปก่อนเดินเข้ามาอีกครั้งพร้อมสตรีนางหนึ่งที่วิ่งปรี่เข้ามา
“พี่อวี้โม่ ท่านและพี่โม่ฉือเดินทางกันเร็วมากเลย ในที่สุดข้าก็ได้เจอพวกท่านเสียที”
สตรีผู้มาเยือนนี้มิใช่ใครอื่น หากแต่เป็นเถียนเข่อเอ๋อร์ที่พบกันในป่าใบไม้เขียวนั่นเอง
สมบัติสิ่งของทั้งหมดที่ได้มาจากซากปรักหักพังในป่าใบไม้เขียวล้วนถูกมอบให้กับเถียนเข่อเอ๋อร์และนางจัดการแลกเปลี่ยนให้ได้ราคาดีในระหว่างที่ฉินอวี้โม่และหานโม่ฉืออยู่ในนครเวหา
เถียนเข่อเอ๋อร์เป็นผู้ที่นำของเหล่านั้นทั้งหมดกลับไปและแน่นอนว่าต้องการขายให้ได้ในราคาที่สูง ยิ่งไปกว่านั้น โชคดีที่ในซากปรักหักพังแห่งนั้นมีไม้ฟืนวิญญาณที่พวกนางตามหา และเมื่อไตร่ตรองถึงสถานการณ์ของน้องชาย เถียนเข่อเอ๋อร์จึงตรงไปที่ตระกูลของตนอย่างรวดเร็ว
เมื่อนางกลับมาที่นครเวหาอีกครั้ง สมบัติเหล่านั้นที่นางได้มาจากซากปรักหักพังก็ถูกขายไปทั้งหมดแล้ว เดิมทีนางก็ต้องการมอบส่วนแบ่งที่เป็นของฉินอวี้โม่และหานโม่ฉือจึงได้ไปตามหาพวกเขาที่นครเวหา ทว่านางก็มาพบในภายหลังว่าทั้งสองได้ออกเดินทางจากที่นั่นมายังนครล่าฝันแล้ว
ด้วยความที่เถียนเข่อเอ๋อร์สนใจและใคร่รู้เกี่ยวกับนครล่าฝันเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว กอปรกับความถูกชะตาและชื่นชอบฉินอวี้โม่ นางจึงไม่ลังเลและมุ่งหน้าตรงมาที่นครล่าฝันทันที
ครานี้คุณหนูตระกูลเถียนมาที่นี่เพียงคนเดียวโดยไม่มีคณะผู้พิทักษ์หรือผู้ติดตาม ทว่าตลอดทางมาที่นี่ปลอดภัยอย่างยิ่งและนางก็มาถึงจุดหมายได้ในที่สุด
ฉินอวี้โม่กล่าวบางอย่างกับนางก่อนหน้านี้และเถียนเข่อเอ๋อร์ทราบดีว่าฉินอวี้โม่น่าจะอยู่ในจวนจ้าวนครจึงมุ่งหน้าตรงมาที่นี่
“เข่อเอ๋อร์ พิษในร่างของน้องเจ้าได้รับการรักษาแล้วใช่หรือไม่ ?”
เมื่อพบหน้าเถียนเข่อเอ๋อร์ ฉินอวี้โม่ก็ยิ้มกว้างทันที นางเองรู้สึกถูกชะตากับสตรีผู้ตรงไปตรงมาและร่าเริงผู้นี้อย่างมาก นางจดจำได้ว่าก่อนหน้านี้เถียนเข่อเอ๋อร์และคณะเดินทางไปที่ป่าใบไม้เขียวเพื่อตามหาไม้ฟืนวิญญาณเพื่อช่วยล้างพิษให้กับน้องชาย นางจึงเอ่ยถามด้วยความเป็นห่วง
“เรียบร้อยแล้ว ท่านแม่ของข้าฝากมาขอบคุณท่านด้วย หากพี่อวี้โม่และพี่โม่ฉือว่างเมื่อใดก็เชิญไปเป็นแขกที่ตระกูลของเราได้เลย ท่านพ่อท่านแม่และคนอื่น ๆ จะได้ขอบคุณท่านด้วยตัวเอง”
เถียนเข่อเอ๋อร์ยิ้มกว้างขณะเดินตรงเข้ามาหามู่อวิ๋นและกล่าวเสียงหวาน “ท่านคือจ้าวนครมู่อวิ๋นแห่งนครล่าฝันใช่หรือไม่ ข้าเถียนเข่อเอ๋อร์ถือวิสาสะมาเยือนครานี้ หากขัดจังหวะหรือรบกวนท่าน โปรดอย่าถือสาข้าเลยเจ้าค่ะ…”
เนื่องจากเป็นคุณหนูผู้มาจากตระกูลที่ไม่ธรรมดาอย่างตระกูลเถียน เถียนเข่อเอ๋อร์จึงถูกอบรมกิริยามารยาทมาอย่างดีซึ่งทำให้ผู้พบเห็นรู้สึกชื่นชม
“ไม่คิดเลยว่าคุณหนูของตระกูลเถียน—ตระกูลธุรกิจรายใหญ่ของดินแดนจะเป็นมิตรสหายที่ดีกับเสี่ยวอวี้โม่ด้วย”
แน่นอนมู่อวิ๋นทราบตัวตนของคุณหนูตระกูลเถียนเช่นกันและกล่าวพร้อมรอยยิ้ม ฉินอวี้โม่เป็นคนที่สามารถดึงดูดสหายคนดีและน่าไว้วางใจเข้ามาคบค้าสมาคมได้อยู่เสมอ ไม่ว่าในดินแดนหวนหลิงหรือในดินแดนเทพมายา คุณสมบัติพิเศษข้อนี้ก็ไม่เคยเปลี่ยนแปลง
ทั้งที่เพิ่งมาถึงดินแดนเทพมายาได้ไม่นานนัก ฉินอวี้โม่ไม่เพียงแต่ผนึกกำลังดินแดนทางเหนือได้เท่านั้น ทว่าก็ยังผูกมิตรสร้างไมตรีกับคุณหนูตระกูลเถียนและอวิ๋นซื่อเทียนได้ด้วย มีเพียงฉินอวี้โม่ผู้นี้เท่านั้นที่สามารถทำให้ผู้คนดีต่อนางอย่างจริงใจ
“เอาล่ะ เชิญคนหนุ่มสาวพูดคุยกันไปเถอะ ชายแก่อย่างข้าคงต้องขอตัว”
มู่อวิ๋นกล่าวขณะยืนขึ้นและแยกตัวไปที่ลานด้านหลังพร้อมหานปิ่งเซียน ทั้งสองถือว่าอายุมากแล้วและไม่ต้องการขัดจังหวะในโลกของคนหนุ่มสาวอีกต่อไป
ฉินอวี้โม่และคนอื่น ๆ ไม่คัดค้าน ทว่าเพียงส่งเสี่ยวอ้ายฉือและเสี่ยวอ้ายโม่ไปที่ลานด้านหลังพร้อมกับพวกเขา
หลังจากแนะนำให้เถียนเข่อเอ๋อร์และเหล่าสหายของนางได้รู้จักกัน ฉินอวี้โม่ก็อดเอ่ยถามไม่ได้ “เข่อเอ๋อร์ ได้เบาะแสเรื่องที่ข้าวานให้ไปสืบหาบ้างหรือไม่ ?”
.