คุณหนูสี่ สตรีเปื้อนเลือด - ตอนที่ 594 วิญญาณชั่วร้าย
ในฐานะคุณหนูใหญ่ผู้มากพรสวรรค์และเป็นที่ชื่นชมของตระกูลไป่หลี่ ไป่หลี่ชิงโร่วย่อมไม่เคยเผชิญกับความทุกข์ทรมานใจเช่นนี้มาก่อน
แม้วาจาของฉินอวี้โม่ในจวนจ้าวนครล่าฝันจะถูกต้องทุกประการ ทว่าไป่หลี่ชิงโร่วก็ยังคับแค้นและเจ็บปวดใจอย่างที่สุด
นางมักทะนงตนและภาคภูมิใจในตนเองเสมอมา หานโม่ฉือเป็นบุรุษคนแรกและคนเดียวในหัวใจของนางมาตลอดนับตั้งแต่จำความได้ ไม่คิดเลยว่าบุรุษผู้นั้นจะทำร้ายจิตใจนางได้ถึงเพียงนี้
ทั้งสองมีสัญญาการแต่งงานที่คงอยู่มาเนิ่นนาน ทว่าหานโม่ฉือกลับครองรักและแต่งงานกับสตรีอื่นโดยที่ไม่ได้รู้ผิดด้วยซ้ำ เพียงนึกถึงเรื่องนี้ ไป่หลี่ชิงโร่วก็โกรธแค้นและเสียใจอย่างมาก
“เหอะ ไป่หลี่ชิงโร่ว ในที่สุดครานี้เจ้าก็รู้สึกว่าตนเองด้อยค่าแล้วสินะ ฉินอวี้โม่คนนั้น ไม่ว่าจะเป็นรูปลักษณ์ ความแข็งแกร่งหรือพรสวรรค์ ทุกอย่างเกี่ยวกับนางล้วนเหนือกว่าเจ้า และที่สำคัญที่สุดก็คือนางเป็นผู้ครองหัวใจของหานโม่ฉือ ถึงแม้ว่าเจ้าจะรักหานโม่ฉืออย่างสุดหัวใจและต้องการแย่งเขาไปจากนาง เจ้าก็ไม่มีโอกาสแม้แต่น้อย”
เสียงลึกลับดังขึ้นอีกครั้งและภาพเงาเลือนรางร่างหนึ่งค่อย ๆ ปรากฏกายภายในห้องพักของไป่หลี่ชิงโร่ว
ร่างเงาดังกล่าวเป็นกลุ่มอากาศสีดำทะมึนและไม่อาจมองเห็นรูปลักษณ์ได้อย่างชัดเจน เสียงของมันก็ฟังดูแหบพร่าและยากที่จะระบุได้ว่าเป็นเสียงของบุรุษหรือสตรี หากพิจารณาจากคำพูดเมื่อครู่ เห็นได้ชัดว่าเจ้าของเสียงนี้น่าจะคุ้นเคยกับไป่หลี่ชิงโร่วอย่างมาก และทราบลักษณะนิสัยรวมถึงสภาวะอารมณ์ของคุณหนูผู้นี้อย่างชัดเจน
“หุบปาก !”
ใบหน้าของไป่หลี่ชิงโร่วกลายเป็นเย็นชาทันทีที่ได้ยินเสียงนี้ นางปาดน้ำตาที่เปื้อนใบหน้าออกอย่างรวดเร็วและหันขวับไปมองเงาร่างดำทะมึนนั้นพร้อมแผ่จิตสังหารแรงกล้าออกไปอย่างไม่ปิดบัง
ไป่หลี่ชิงโร่วในท่าทางเช่นนี้แทบไม่เคยปรากฏต่อหน้าผู้คนและมีคนเพียงน้อยนิดเท่านั้นที่เคยได้เห็นมัน แม้สำหรับเงาดำมืด นี่ก็เป็นครั้งแรกที่ไป่หลี่ชิงโร่วมองมันด้วยสายตาที่เยือกเย็นเช่นนี้ซึ่งทำให้มันถึงกับชะงักไปชั่วขณะ
“จงอย่าลืมสถานะของเจ้า ! ชีวิตของเจ้าอยู่ในกำมือของข้า ไม่ว่าข้าจะทำอะไร เจ้าก็ไม่มีสิทธิ์มาวิจารณ์ข้า !”
ไป่หลี่ชิงโร่วตะโกนกร้าวออกไปอย่างเยือกเย็นก่อนปรับสีหน้าให้กลับกลายมาเป็นปกติ เมื่อครู่นี้นางเพียงมีสภาวะทางอารมณ์ที่แปรปรวนชั่วขณะเท่านั้น ถึงอย่างไรอีกฝ่ายก็เป็นเพียงแค่ภาพเงาไม่มีตัวตน นางไม่ควรที่จะใส่ใจคำพูดของมันมากนัก
“ไป่หลี่ชิงโร่ว เจ้าจะข่มขู่ข้าให้ได้อะไรขึ้นมา ? เจ้าฆ่าข้าไม่ได้ เราทั้งสองตระหนักถึงความจริงข้อนี้ดี ยิ่งไปกว่านั้น ข้ารู้เรื่องเจ้ามากมาย หากไม่อยากให้เรื่องของเจ้าถูกเปิดเผยละก็… เจ้าควรจะควบคุมอารมณ์ตนเองให้มากกว่านี้”
ร่างเงาเลือนรางกล่าวอีกครั้งและเห็นได้ชัดว่ามันไม่สนใจคำข่มขู่ของไป่หลี่ชิงโร่วแม้แต่น้อย คุณหนูตระกูลไป่หลี่ผู้นี้และมันเป็นหนึ่งเดียวกัน ไป่หลี่ชิงโร่วฆ่ามันไม่ได้ และมันก็ฆ่าไป่หลี่ชิงโร่วไม่ได้เช่นกัน
แท้จริงแล้วเงาร่างเลือนรางนี้คือวิญญาณร้ายที่ถูกผนึกอยู่ในร่างของไป่หลี่ชิงโร่ว เดิมทีมันมีพลังที่แกร่งกล้าอย่างยิ่ง ทว่ามันได้พลาดท่าให้กับบางสิ่งบางอย่าง จิตวิญญาณดังกล่าวจึงพยายามหลบหนีและได้พบกับไป่หลี่ชิงโร่วซึ่งยังเยาว์วัยในตอนนั้น มันใช้พลังเฮือกสุดท้ายในการทะลวงเข้าสู่ร่างกายของเด็กสาวโดยต้องการที่จะครอบงำร่างกายของนาง คาดไม่ถึงเลยว่าพลังวิญญาณของไป่หลี่ชิงโร่วแม้ในตอนเยาว์วัยจะแกร่งกล้าจนแผนการของวิญญาณร้ายนี้ล้มเหลว
ยิ่งไปกว่านั้น มันก็ถูกค้นพบโดยตระกูลของไป่หลี่ชิงโร่ว จากนั้นจึงถูกปิดผนึกไว้ในร่างกายของนาง
ตลอดหลายปีที่ผ่านมา ในขณะที่ไป่หลี่ชิงโร่วแข็งแกร่งมากขึ้น วิญญาณชั่วร้ายนี้ก็แข็งแกร่งมากขึ้นเรื่อย ๆ เช่นกัน อย่างไรก็ตาม ไม่ว่ามันจะทรงพลังเพียงใด มันก็ไม่สามารถยึดครองร่างกายนี้ได้สำเร็จ ในขณะเดียวกัน ไป่หลี่ชิงโร่วก็พยายามหาหนทางมากมายในการกำจัดมันให้ได้อย่างสิ้นซาก ทว่าวิธีการทุกอย่างกลับไม่เป็นผล เมื่อเวลาผ่านไป ทั้งสองจึงจำใจต้องร่วมอาศัยอยู่ในร่างเดียวกัน
“เหอะ เจ้าคิดจริง ๆ รึว่าข้าทำอะไรเจ้าไม่ได้ ?!”
ทันใดนั้น ไป่หลี่ชิงโร่วก็แสยะยิ้มเยือกเย็น “หากข่าวที่ข้าได้รับมาเป็นความจริง ตราบใดที่ข้าตามหาเพลิงวิเศษและดูดกลืนมันเข้าไป ข้าก็จะสามารถแผดเผาวิญญาณของเจ้าจนสลายกลายเป็นเถ้าธุลี !”
สำหรับวิญญาณร้ายในร่างของตน แน่นอนว่าไป่หลี่ชิงโร่วคิดหาทางกำจัดมันมาเสมอ ตลอดหลายปีที่ผ่านมา นางพยายามหาทางทำลายวิญญาณร้ายนี้ให้สิ้นซากและในที่สุดก็พบวิธีหนึ่งเมื่อไม่นานมานี้
เพียงแต่เวลานี้วิญญาณชั่วร้ายยังมีประโยชน์สำหรับร่างของนาง เพราะเหตุนั้นไป่หลี่ชิงโร่วจึงยังไม่คิดที่จะทำลายมันในตอนนี้ ทว่าหากมันริอาจทะเยอทะยานทำสิ่งใดเกินขอบเขต ไป่หลี่ชิงโร่วจะตามหาเพลิงวิเศษนั้นและกลืนกินมันเพื่อกำจัดวิญญาณร้ายนี้โดยไม่ลังเล
เมื่อวิญญาณชั่วร้ายได้ยินวาจาของไป่หลี่ชิงโร่ว สีหน้าของมันก็เปลี่ยนไปเล็กน้อย หลังจากมองดูไป่หลี่ชิงโร่วอย่างจริงจัง มันก็เลิกแสดงท่าทียินดีกับสถานการณ์เลวร้ายของสตรีตรงหน้าทันที
* 幸灾乐祸 เกิดความดีอกดีใจที่คนอื่นเกิดความโชคร้าย; ยินดีกับความโชคร้ายของคนอื่น
ไป่หลี่ชิงโร่วถือว่าเป็นสตรีที่จิตใจโหดเหี้ยมพอสมควร วิญญาณชั่วร้ายจึงไม่กังขาในวาจาของนางแม้แต่น้อย หากคุณหนูตระกูลไป่หลี่ผู้นี้ไม่พอใจและทนไม่ไหวขึ้นมา นางก็อาจจะกำจัดมันไปอย่างแท้จริง
“ข้ายอมรับว่าฉินอวี้โม่เป็นสตรีที่ยอดเยี่ยมจริง ๆ และเป็นเพียงคนเดียวที่ข้าเห็นว่าคู่ควรกับโม่ฉือ อย่างไรก็ตาม ข้าจะไม่ยอมแพ้ง่าย ๆ แน่ โม่ฉือเป็นคู่หมั้นคู่หมายของข้า ในหัวใจของเขาก็คงจะมีพื้นที่ให้กับข้าอยู่ หากเขาเห็นได้ความดีของข้า ข้าไม่เชื่อหรอกว่าเขาจะไม่หวั่นไหว”
เมื่อนึกถึงเรื่องนี้ จู่ ๆ ความคิดอันชาญฉลาดก็ผุดขึ้นในหัวใจของไป่หลี่ชิงโร่ว
“ฉินอวี้โม่…ข้าจะไม่ยอมแพ้ รอก่อนเถอะ ข้าจะต้องแย่งหานโม่ฉือมาจากมือของเจ้าให้ได้ !”
ขณะกล่าวด้วยความมุ่งมั่นและความเศร้าเสียใจค่อย ๆ จางหายไปจนหมด ความมั่นใจของไป่หลี่ชิงโร่วจึงปรากฏบนใบหน้าของนางอีกครั้ง
วิญญาณชั่วร้ายสั่นสะท้านโดยไม่รู้ตัวทันทีที่เห็นท่าทางของไป่หลี่ชิงโร่ว มันไม่กล่าวสิ่งใดอีกต่อไปและพุ่งตรงกลับเข้าสู่ร่างของสตรีร่างบางทันที เห็นทีมันคงต้องหมั่นฝึกฝนอย่างเต็มที่มากกว่าเดิม คุณหนูผู้นี้น่าสะพรึงกลัวอย่างแท้จริง
…
ภายในจวนจ้าวนครล่าฝัน ฉินอวี้โม่และหานโม่ฉือไม่ทราบเรื่องนี้แม้แต่น้อย เมื่อได้ใช้เวลาอยู่ด้วยกันอย่างมีความสุข ทั้งสองก็ลืมเรื่องไป่หลี่ชิงโร่วและไม่นึกถึงให้เสียเวลาอีกต่อไป
เยว่ชิงเฉิงและคนอื่น ๆ ก็ทราบข่าวแล้วเช่นกันและส่งคนออกไปจับตาดูการเคลื่อนไหวของไป่หลี่ชิงโร่วทันที เมื่อทราบว่าคุณหนูตระกูลไป่หลี่ผู้นั้นยังคงพักอยู่ในโรงเตี๊ยมแห่งหนึ่งในนครล่าฝัน เยว่ชิงเฉิงก็ขมวดคิ้วมุ่นและคิดว่าไป่หลี่ชิงโร่วคงไม่ยอมแพ้อย่างง่ายดายแน่ ซึ่งพวกนางก็คิดถูกแล้วจริง ๆ
“ชิงเฟิง เจ้าคิดว่าพวกเราควรจะทำอะไรกับเรื่องนี้รึไม่ ?”
หลายคนนั่งรวมตัวกันในสวนและหารือกันอย่างเงียบ ๆ
“ช่างมันเถอะ นี่เป็นเรื่องส่วนตัวของอวี้โม่ ข้าไม่อยากเข้าไปยุ่งเกี่ยว ยิ่งไปกว่านั้น พวกเราก็ควรเชื่อมั่นในความสามารถของอวี้โม่ ไม่ต้องห่วงหรอก แม่นางไป่หลี่นั่นทำอะไรไม่ได้หรอก”
โอวหยางชิงเฟิงส่ายศีรษะเบา ๆ และกล่าวด้วยความมั่นใจในตัวของฉินอวี้โม่ หากฉินอวี้โม่มิได้ต้องการความช่วยเหลือ เขาก็จะไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยว ไป่หลี่ชิงโร่วผู้นั้นเทียบชั้นกับสหายของเขาไม่ได้อย่างแน่นอน
“ข้าต้องกล่าวเลยว่าแม่นางผู้นั้นไม่ธรรมดาเลย โชคดีที่คู่ต่อสู้ของนางคืออวี้โม่ หากเราสลับบทบาทกัน เกรงว่าข้าคงเทียบกับนางไม่ได้แน่ ยิ่งไปกว่านั้น บุรุษอย่างพวกเจ้านี่ไว้ใจไม่ได้เลย…เจอหน้าใครก็รักคนนั้นไปทั่ว มีที่ไหนที่จะเจอบุรุษอย่างรุ่นพี่โม่ฉือที่ไม่มีวันทิ้งสตรีคนรักไป ไม่ว่าสตรีคนใดอยู่ตรงหน้าเขา พวกนางก็จะเป็นเหมือนอากาศธาตุและไม่ได้มีตัวตนอยู่ในสายตาของเขาแม้แต่น้อย”
เยว่ชิงเฉิงชำเลืองมองโอวหยางชิงเฟิงและจำได้ดีว่าในอดีตเป็นเพราะบุรุษผู้นี้ไม่ชอบนาง เขาจึงออกเดินทางท่องป่าเพื่อฝึกยุทธ์เพียงลำพัง อีกทั้งยังเป็นคนเสนอเรื่องการยกเลิกสัญญาการแต่งงานระหว่างทั้งสอง เมื่อนึกย้อนไปถึงเรื่องเหล่านั้น จู่ ๆ นางก็เกิดความฉุนเฉียวขึ้นมา
เมื่อเห็นแววตาไม่พอใจของเยว่ชิงเฉิง ฉีอวี้และคนอื่น ๆ ก็ลุกขึ้นและบอกลาคนทั้งสองทันที ตลอดหลายปีที่ผ่านมา เยว่ชิงเฉิงและโอวหยางชิงเฟิงเป็นดั่งคู่รักที่ทะเลาะโต้เถียงกันตลอดเวลาและพวกเขาไม่ต้องการรับผลกระทบจากสิ่งที่อาจเกิดขึ้นหลังจากนี้
“เอ่อ…”
โอวหยางชิงเฟิงถึงกับพูดไม่ออกทันที ในอดีตก่อนหน้านี้ เขาและเยว่ชิงเฉิงไม่เคยมีความรู้สึกที่ดีต่อกันและรู้สึกว่าข้อตกลงการแต่งงานนั้นไม่จำเป็นเลยสักนิด ไม่คิดเลยว่าเมื่อผ่านเวลามาหลายปี ทั้งสองจะเข้าใจหัวใจและความรู้สึกของตนเองอย่างชัดเจนแล้ว ทว่าเยว่ชิงเฉิงก็ยังคงเป็นกังวลอยู่
“ข้าจะไปดูในเรือนว่ามีอะไรที่ต้องทำหรือไม่”
โอวหยางชิงเฟิงรีบกล่าวและลุกขึ้นเพื่อหนีไปจากที่นี่ทันที
“โอวหยางชิงเฟิง หยุดเดี๋ยวนี้ !”
เยว่ชิงเฉิงตะโกนกร้าวและลุกขึ้นเอื้อมมือออกไปบิดหูของบุรุษหนุ่มไว้อย่างรวดเร็ว
“โอ๊ยย เจ็บบ…ปล่อยก่อนเถอะ”
เมื่อถูกบิดหูอย่างแรงโดยมือบางของเยว่ชิงเฉิง โอวหยางชิงเฟิงก็หน้าเจื่อนทันทีทว่าไม่กล้าขัดขืนใด ๆ ทั้งสองเข้ากันได้ดีมากขึ้นเรื่อย ๆ ตลอดหลายปีที่ผ่านมาและไม่ความชอบหน้ากันในอดีตล้วนแตกต่างไปจากเดิมอย่างสิ้นเชิง
“หึ ข้ารู้ว่าเจ็บ บอกมาสิว่าเจ้าจะไปที่ตระกูลเพื่อสู่ขอข้าเมื่อใด ?!”
เยว่ชิงเฉิงแค่นเสียงเย็นชาและเวลานี้นางดูเหมือนพยัคฆ์สมิงไม่มีผิด นางเปิดเผยความรู้สึกของตนอย่างชัดเจนทว่าบุรุษผู้นี้กลับยังดูเฉยเมยและไม่ไปที่ตระกูลเพื่อทำการสู่ขอแต่งงานเสียที แม้เห็นสหายคนสนิทอย่างฉินอวี้โม่แต่งงานมีบุตรน้อยน่ารักน่าชังและตนก็มีอายุมากขึ้นเรื่อย ๆ บุรุษหนุ่มผู้นี้ก็ยังคงนิ่งเฉยไม่เปลี่ยนแปลง
“ขอแต่งงานรึ ?”
โอวหยางชิงเฟิงชะงักไปครู่หนึ่งก่อนคลี่ยิ้มกว้างอย่างมีความสุขทันที
“เจ้าเต็มใจจะแต่งงานกับข้ารึ ?”
โอวหยางชิงเฟิงจับมือของเยว่ชิงเฉิงไว้พร้อมรอยยิ้มกว้าง เวลานี้เขาตื่นเต้นอย่างที่สุด
“ไม่แต่งกับเจ้าแล้วจะให้ข้าแต่งกับใคร”
ใบหน้าของเยว่ชิงเฉิงแดงระเรื่อและกลายเป็นสตรีบอบบางผู้เขินอายในทันที เพราะเมื่ออยู่ต่อหน้าบุรุษผู้เป็นที่รัก นางแทบไม่เคยแสดงท่าทางขวยเขินเช่นนี้ให้เห็น
“ดีเลย ดีเลย ข้าจะรีบบอกท่านปู่ให้ส่งคนไปสู่ขอกับท่านลุงเยว่ทันที เมื่อเราแต่งงานกัน เราจะมีลูกกันสักสองสามคน”
ทั้งสองถูกชะตากับเสี่ยวอ้ายฉือและเสี่ยวอ้ายโม่อย่างยิ่ง ในขณะเดียวกันเยว่ชิงเฉิงและโอวหยางชิงเฟิงก็มีความคาดหวังในใจ หากได้มีบุตรของตัวเองก็คงมีความสุขไม่น้อย
“อื้ม !”
เยว่ชิงเฉิงเพียงพยักศีรษะเบา ๆ และเอ่ยตอบด้วยเสียงอู้อี้
เมื่อเห็นสีหน้าท่าทางของร่างบางตรงหน้า โอวหยางชิงเฟิงก็ดึงร่างนางเข้ามาในอ้อมแขนอย่างแผ่วเบา
ใบหน้าของเยว่ชิงเฉิงยังคงระเรื่อด้วยความเขินอายและกำลังคาดหวังการกระทำต่อไปของโอวหยางชิงเฟิง ทว่าจู่ ๆ ก็มีน้ำเสียงหยอกเย้าที่ดังขึ้นมาขัดจังหวะ
“ดูเหมือนว่าเราจะเข้ามาผิดเวลานะเนี่ย”
ฉินอวี้โม่ซึ่งจับมือแนบแน่นกับหานโม่ฉือเดินเข้ามาเห็นภาพนี้พอดิบพอดี รอยยิ้มบาง ๆ ประดับบนใบหน้าของนางและนางรู้สึกมีความสุขกับสหายทั้งสองอย่างยิ่ง นางทราบมาตั้งแต่ต้นแล้วว่าสหายคู่กัดทั้งสองนี้จะได้ลงเอยด้วยกัน และก็เป็นดังที่คิดไว้จริง ๆ ทั้งสองตกลงปลงใจรักกันอย่างแท้จริง
“อวี้โม่ เจ้ากล้าหัวเราะข้ารึ !”
เยว่ชิงเฉิงผละออกจากอ้อมแขนของโอวหยางชิงเฟิงและถอยร่นไปพร้อมปรับสีหน้าให้กลับมาเป็นเคร่งขรึมทันทีก่อนจ้องหน้าสหายด้วยดวงตาเขม็ง…
.