คุณหนูสี่ สตรีเปื้อนเลือด - ตอนที่ 598 ผืนป่าลับ
ตระกูลเหมย—หนึ่งในสี่ตระกูลลับเป็นตระกูลเก่าแก่นับพันปีที่ทรงพลังอย่างมาก กล่าวกันว่าผู้นำที่ก่อตั้งตระกูลเหมยขึ้นมาเป็นผู้ที่แกร่งกล้าสามารถจนทัดเทียมได้กับราชินีเหมันต์และเทพอสูร
และก็เป็นเพราะการปกครองของคนผู้นั้นที่ทำให้ตระกูลเหมยคงอยู่มาเป็นเวลานานจนมีสถานะอย่างในทุกวันนี้ได้ อย่างไรก็ตาม สิ่งต่าง ๆ ก็กลับตาลปัตรไม่เหมือนเดิม เนื่องจากทุกวันนี้ตระกูลเหมยมิได้มีจอมยุทธ์ทรงพลังโดดเด่นและคนรุ่นเยาว์ที่มากพรสวรรค์อีกแล้ว ความแข็งแกร่งในปัจจุบันของตระกูลจึงด้อยกว่าในอดีตมากและสถานะในหมู่สี่ตระกูลลับก็ด้อยลงเรื่อย ๆ จนแทบตกเป็นอันดับรั้งท้าย
หากมิใช่เพราะผู้นำตระกูลเหมยคนปัจจุบันเพียบพร้อมไปด้วยคุณสมบัติรอบด้านและมีความแข็งแกร่งที่เป็นที่ยอมรับจากทุกขุมกำลัง ตระกูลเหมยก็คงจะถูกกำจัดออกไปจากการเป็นหนึ่งในสี่ตระกูลลับไปนานแล้ว
ในเวลานี้ ฉินอวี้โม่และหานโม่ฉือก็เดินทางมุ่งหน้าไปตามคำกล่าวของเสี่ยวโร่วและมาถึงป่าไร้ชื่อแห่งหนึ่งซึ่งเป็นที่ตั้งของจวนตระกูลเหมย
ป่าแห่งนี้ตั้งอยู่ในพื้นที่ห่างไกลซึ่งมีอสูรมายาอาศัยอยู่เป็นจำนวนน้อยและไม่มีวัตถุดิบหายากสำหรับหลอมโอสถใด ๆ มันจึงไม่มีชื่อเสียงและแทบไม่มีผู้ใดเดินทางมาที่นี่ในช่วงเวลาปกติ
อย่างไรก็ตาม สี่ตระกูลใหญ่ล้วนมีมิติพิเศษเป็นของตนเองและการเลือกป่าทึบไร้ชื่อเสียงแห่งนี้เป็นที่ตั้งของค่ายกลเคลื่อนย้ายก็เป็นความคิดที่ดีมาก
ถึงอย่างไรแล้วป่าแห่งนี้ก็หนาทึบอย่างยิ่ง ต้นไม้และสภาพแวดล้อมโดยรอบของมันไม่แตกต่างกันมากนัก หากเป็นคนที่ไม่คุ้นชินเส้นทางเข้ามาในป่าแห่งนี้ พวกเขาก็อาจหลงทางไปได้ง่าย ๆ
ฉินอวี้โม่และหานโม่ฉือเดินทางไปตามคำแนะนำของเสี่ยวโร่วและทั้งสองก็มุ่งหน้าเข้าสู่ส่วนลึกของผืนป่าอย่างรวดเร็ว
เมื่อเข้ามาถึงส่วนลึกของป่า สภาพแวดล้อมรอบ ๆ ก็ยังไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปแต่อย่างใด และแม้แต่จอมยุทธ์แกร่งกล้าทั้งสองก็ยังไม่สามารถบอกได้ว่าตนเองเข้ามาลึกเพียงใดแล้ว
เมื่อหันไปสำรวจรอบตัว ทั้งสองก็มองเห็นต้นไม้ต้นหนึ่งท่ามกลางป่าทึบที่ดูพิเศษแตกต่างจากต้นอื่น ๆ เล็กน้อย พวกเขาจึงตัดสินใจหยุดเดินทันที
หากมิใช่เพราะการจดจ่อและการสำรวจสิ่งแวดล้อมโดยรอบอยู่ตลอดเวลา มีคนเพียงน้อยนิดเท่านั้นที่จะสามารถค้นพบความแตกต่างของต้นไม้ต้นดังกล่าวได้ เมื่อเทียบกับต้นอื่น ๆ กิ่งก้านสาขาของต้นนี้ดูอุดมสมบูรณ์งอกงามกว่ามากและยังมีใบไม้ที่หนาเต็มต้นมากกว่าต้นอื่น ๆ ยิ่งไปกว่านั้น ต้นไม้ต้นนี้ก็ห้อมล้อมไปด้วยพลังวิญญาณที่หนาแน่นซึ่งถือว่าน่าอัศจรรย์ยิ่งนัก
“คุณหนู คุณชายโม่ฉือ ในที่สุดท่านทั้งสองก็มาถึง”
ไม่นานนัก ร่างเล็ก ๆ ร่างหนึ่งก็ปรากฏขึ้นมาตรงหน้าต้นไม้ต้นนี้ และแน่นอนว่าคนผู้นั้นก็คือเสี่ยวโร่วที่ฉินอวี้โม่และหานโม่ฉือกำลังเฝ้ารออยู่นั่นเอง
ราวกับว่านางออกมาจากต้นไม้ต้นนั้นและปรากฏกายอย่างกะทันหัน หากมิใช่เพราะฉินอวี้โม่และหานโม่ฉือสอบถามข้อมูลบางส่วนมาก่อนแล้ว ทั้งสองก็คงประหลาดใจอย่างยิ่ง
“ข้าเฝ้าสังเกตความเคลื่อนไหวจากข้างในตระกูลมานาน เมื่อเห็นท่านทั้งสองปรากฏตัว ข้าจึงอดที่จะออกมาต้อนรับด้วยตัวเองไม่ได้”
เสี่ยวโร่วยิ้มกว้างขณะโผเข้ากอดฉินอวี้โม่อย่างใกล้ชิดสนิทสนม
จากนั้นนางก็ดึงฉินอวี้โม่และหานโม่ฉือตรงเข้าไปที่ต้นไม้ด้วยท่าทางทุลักทุเลเล็กน้อย และอึดใจต่อมา สภาวะพลังรอบ ๆ ต้นไม้นี้ก็หนาแน่นมากยิ่งขึ้นก่อนที่จะมีค่ายกลเคลื่อนย้ายปรากฏขึ้นมา
“คุณหนู ค่ายกลเคลื่อนย้ายที่นำไปสู่ตระกูลเหมยนี้ไม่สามารถเปิดได้หากไม่ได้รับอนุญาตจากสมาชิกของตระกูลเหมย เว้นเพียงแต่คนผู้นั้นมีพลังอำนาจที่ยิ่งใหญ่คับฟ้าก็อาจทำลายค่ายกลนี้และบุกเข้ามาได้โดยตรง”
หลังจากดึงฉินอวี้โม่เข้ามาในค่ายกลเคลื่อนย้าย เสี่ยวโร่วก็กล่าวอธิบายอย่างสั้น ๆ
ทันทีที่เกิดแสงสว่างวาบ ฉินอวี้โม่ตระหนักได้ทันทีว่าตนปรากฏกายในสถานที่อีกแห่งหนึ่งแล้ว
นี่คือมิติที่งดงามอย่างยิ่งซึ่งเต็มไปด้วยวิหคและบุปผางดงาม กลิ่นหอมหวนโชยแตะจมูกทำให้รู้สึกสดชื่นอย่างมาก ไม่ว่าใครก็ต้องชื่นชอบบรรยากาศน่าอภิรมย์เช่นนี้
หานโม่ฉือก็ตามฉินอวี้โม่เข้ามาถึงมิติพิเศษแห่งนี้เช่นกัน
เมื่อทราบว่ามิติแห่งนี้ถูกสร้างขึ้นโดยบรรพบุรุษเก่าแก่ของตระกูลเหมยเพียงลำพัง ทั้งสองก็ประหลาดใจยิ่งนัก การที่สามารถสร้างสิ่งที่สมบูรณ์แบบเช่นนี้ออกมาได้ บ่งบอกได้อย่างชัดเจนว่าคนผู้นั้นมีความแข็งแกร่งที่เหนือจินตนาการเป็นอย่างมาก
“ที่นี่มีชื่อว่าสวนดอกเหมยซึ่งสร้างขึ้นโดยบรรพบุรุษของตระกูลเหมย ตลอดหลายปีที่ผ่านมา คนของเราอาศัยอยู่ที่นี่โดยไม่ต้องยุ่งเกี่ยวกับโลกภายนอก สำหรับข้า…เป็นเพราะเกิดอุบัติเหตุบางอย่างกับตัวข้า ข้าจึงสูญหายไปและปรากฏตัวอยู่ที่ดินแดนหวนหลิงและได้นายหญิงหลี่ก่วนช่วยชีวิตไว้”
ขณะกล่าวกับฉินอวี้โม่ น้ำเสียงของเสี่ยวโร่วก็เจือด้วยความปลงตกเล็กน้อย เมื่อนึกถึงเรื่องราวในอดีต นางก็ยังรู้สึกไม่สบายใจพอสมควร แม้ทราบแล้วว่าบิดามารดาของนางต้องทอดทิ้งนางเพราะเหตุจำเป็นบางอย่าง ทว่าหากมิใช่เพราะตัวนางเป็นดรุณีน้อยที่อ่อนแอ สถานการณ์ที่ยากลำบากเช่นนั้นก็คงไม่เกิดขึ้น
ในสวนดอกเหมยแห่งนี้มิได้มีคฤหาสน์ที่ใหญ่โตหรูหรา หรืออาคารโอ่โถงเหมือนกับที่อื่น ๆ สิ่งปลูกสร้างที่นี่ล้วนเป็นเพียงบ้านไม้หลังเล็กซึ่งดูเรียบง่ายทว่าอบอุ่นยิ่งนัก
ภายในสวนแห่งนี้มีคนอยู่ไม่มากนักและทุกคนกำลังยุ่งอยู่กับหน้าที่ของตนโดยไม่ทันสังเกตเห็นฉินอวี้โม่และหานโม่ฉือด้วยซ้ำ
อย่างไรก็ตาม เมื่อใครคนหนึ่งมองเห็นฉินอวี้โม่และหานโม่ฉือ คนผู้นั้นก็อุทานออกมาด้วยความประหลาดใจก่อนที่ทุกคนจะหันมาให้ความสนใจและทักทายอย่างกระตือรือร้น
ก่อนหานโม่ฉือและฉินอวี้โม่จะมาที่นี่ เสี่ยวโร่วได้เล่าเรื่องราวให้ทุกคนในตระกูลทราบถึงตัวตนของคนทั้งสองแล้ว พวกเขาจึงประหลาดใจเพียงเล็กน้อยเมื่อได้พบกัน
“ข้าจะพาท่านทั้งสองไปพบกับท่านปู่ก่อน”
เสี่ยวโร่วกล่าวกับฉินอวี้โม่และหานโม่ฉือก่อนเดินนำทางไปยังบ้านไม้หลังใหญ่ที่สุดตรงกลาง
บ้านไม้หลังนี้คือเรือนของตระกูลเหมยซึ่งเป็นที่อาศัยของเหมยตงหวั่ง—ผู้นำตระกูลเหมยคนปัจจุบัน
ระดับพลังของเหมยตงหวั่งในตอนนี้น่าจะสูงกว่าหานโม่ฉือเสียอีก เขาเป็นผู้นำที่มีคุณสมบัติเพียบพร้อมรอบด้านและชำนาญด้านการจัดการความสัมพันธ์กับผู้อื่น เพราะเหตุนั้นเขาจึงมีความสัมพันธ์ที่ดีกับตระกูลใหญ่มากมาย รวมถึงขุมกำลังหลายแห่ง
เขาดูเป็นมิตรและเข้ากับคนได้ง่าย ทันทีที่เห็นหน้าฉินอวี้โม่และหานโม่ฉือ เขาก็คลี่ยิ้มอบอุ่นเป็นการต้อนรับ
“ฮ่า ๆ ๆ ข้าได้ยินเสี่ยวโร่วกล่าวถึงเจ้าทั้งสองมานานและอยากพบหน้าพวกเจ้ามาโดยตลอด ในที่สุดตอนนี้ก็ได้พบกันเสียที เจ้าทั้งสองเป็นคนรุ่นเยาว์ที่มากพรสวรรค์อย่างแท้จริง”
เหมยตงหวั่งยิ้มกว้างและกล่าวด้วยน้ำเสียงจริงใจ เขาทราบถึงความสัมพันธ์ระหว่างฉินอวี้โม่และเสี่ยวโร่วเป็นอย่างดี รวมถึงทราบความแข็งแกร่งของฉินอวี้โม่และหานโม่ฉือจากเสี่ยวโร่วแล้วเช่นกัน
ตลอดหลายปีก่อนเขาจะได้พบกับหลานสาวที่พลัดพราก หากมิใช่เพราะการดูแลของฉินอวี้โม่และการช่วยชีวิตอย่างเป็นพระคุณของหลี่ก่วน หลานสาวที่ภาคภูมิใจของเหมยตงหวั่งก็คงไม่มีโอกาสได้กลับคืนสู่ตระกูลเหมย
เพราะเหตุนั้น เขาจึงรู้สึกขอบคุณฉินอวี้โม่จากใจจริง
สำหรับความสัมพันธ์เช่นคุณหนูและเด็กสาวรับใช้คนสนิทระหว่างฉินอวี้โม่และเสี่ยวโร่วนั้น เขาไม่ได้สนใจเท่าใดนัก ทั้งสองรักและจริงใจต่อกันเฉกเช่นพี่น้องแท้ ๆ คลานตามกันมา ส่วนความสัมพันธ์ที่กล่าวกันว่าเป็นคุณหนูและสาวใช้นั้นเป็นเพียงในนามเท่านั้น
“ผู้นำเหมยทั้งอายุยืนยาวและแข็งแกร่งมาก เราทั้งสองชื่นชมท่านจากใจจริง”
ฉินอวี้โม่และหานโม่ฉือยิ้มพร้อมกับกล่าวอย่างสุภาพนอบน้อม ทั้งสองเคยได้ยินเกี่ยวกับผู้นำตระกูลเหมยผู้นี้มามาก การที่สามารถปกป้องตระกูลเหมยจากการถูกยึดอำนาจโดยขุมกำลังอื่นมาได้ตลอดหลายปีที่ผ่านมาแสดงให้เห็นอย่างชัดเจนแล้วว่าเขามีความสามารถที่ยอดเยี่ยมแค่ไหน
“ฮ่า ๆ ๆ ข้าแก่เกินไปแล้ว ตอนนี้ถือว่าเป็นยุคสมัยของคนหนุ่มสาวอย่างพวกเจ้า”
เหมยตงหวั่งยิ้มตอบขณะมองหานโม่ฉือและกล่าวต่อ “ใบหน้าของเจ้าดูคล้ายกับพ่อของเจ้าถึงเจ็ดส่วนเลยทีเดียว เป็นดั่งคำที่ว่าไว้จริง ๆ คลื่นลูกใหม่ย่อมซัดคลื่นลูกเก่า ความแข็งแกร่งของเจ้าเหนือชั้นกว่าพ่อของเจ้าเสียอีก”
*长江后浪推前浪 คลื่นลูกใหม่ซัดคลื่นลูกเก่า ความหมายคือ คนรุ่นใหม่ที่ความสามารถมากกว่าและเข้ามาแทนที่คนรุ่นเก่าที่แก่ลง
เมื่อได้ยินวาจาของเหมยตงหวั่ง สีหน้าของหานโม่ฉือก็มิได้เปลี่ยนแปลงแม้แต่น้อย เขาเพียงกล่าวถามออกไปเบา ๆ “ท่านผู้นำเหมยเคยพบพ่อของข้าหรือขอรับ ?”
“แน่นอน หากกล่าวถึงคนที่เรียกได้ว่าเป็นอัจฉริยะของทั้งสี่ตระกูลในเวลานั้น พ่อของเจ้าก็เป็นหนึ่งในนั้น การได้พบกับเจ้าตอนนี้ทำให้ข้าคิดถึงอดีตขึ้นมาทีเดียวเชียว”
เหมยตงหวั่งนิ่งไปครู่หนึ่งราวกับกำลังนึกถึงเรื่องราวในอดีต น้ำเสียงของเขาแสดงถึงความคำนึงถึงอย่างชัดเจน เวลานี้เขาอายุมากแล้วในขณะที่ผู้นำตระกูลหาน ผู้นำตระกูลไป่หลี่และผู้นำตระกูลหลิวที่เคยวัดฝีมือกันในอดีตล้วนล้มหายตายจากไปทั้งสิ้น ตอนนี้เป็นโลกของคนหนุ่มสาวรุ่นเยาว์แล้ว ในความเป็นจริง หากเขาพบเจอใครที่เหมาะสม เหมยตงหวั่งก็คงจะมอบตำแหน่งผู้นำตระกูลเหมยให้กับคนผู้นั้นไปนานแล้ว
“นั่งก่อนเถอะ หลังจากนี้เจ้าทั้งสองจะพักอยู่ในตระกูลเหมยเป็นเวลาหลายวัน หากต้องการสิ่งใดก็บอกเสี่ยวโร่วได้เลย นางเป็นเจ้าบ้านและจะดูแลเจ้าทั้งสองในฐานะเจ้าบ้านที่ดี”
เมื่อเห็นฉินอวี้โม่และหานโม่ฉือที่ยังคงยืนนิ่ง เหมยตงหวั่งก็อดยิ้มและกล่าวออกไปไม่ได้ เขามัวแต่นึกถึงความหลังที่เศร้าใจจนลืมเชิญแขกทั้งสองนั่งลง
“เราเตรียมความพร้อมบางส่วนและคัดเลือกคนไว้แล้ว ในอีกสี่ถึงห้าวัน เราจะออกเดินทางไปที่ตระกูลหาน ในงานรวมพลสี่ตระกูลครานี้ เราจะต้องหาทางเอาชนะตระกูลหลิวให้ได้และจะไม่ปล่อยให้ตระกูลเหมยตกเป็นอันดับสุดท้ายเด็ดขาด”
เขาไม่มองว่าฉินอวี้โม่และหานโม่ฉือเป็นคนนอก เหมยตงหวั่งจึงกล่าวเรื่องนี้ออกไปอย่างเปิดเผย
แน่นอนว่าทั้งสองจริงจังกับสิ่งนี้เช่นกัน ฉินอวี้โม่และหานโม่ฉือเชื่อว่าผู้นำตระกูลเหมยผู้นี้จะต้องไม่ธรรมดาอย่างแน่นอน
หลังจากพูดคุยกันพักใหญ่ ฉินอวี้โม่และหานโม่ฉือก็เดินออกไปพร้อมกับเสี่ยวโร่ว
เสี่ยวโร่วพาทั้งสองเดินไปยังบ้านไม้ที่ดูงดงามประณีตหลังหนึ่งพร้อมกล่าวว่านี่จะเป็นที่พักของทั้งสองในช่วงนี้ แม้ฉินอวี้โม่และหานโม่ฉือมีคฤหาสน์เฟิงหัวอยู่แล้ว ทว่าเจ้าบ้านที่ดีก็ควรที่จะเตรียมที่พักไว้สำหรับแขก
“คุณหนู แล้วเจ้าหนูทั้งสองล่ะเจ้าคะ ?”
เสี่ยวโร่วคิดถึงเด็กน้อยทั้งสองยิ่งนักจึงอยากเห็นด้วยตาตัวเองว่าเสี่ยวอ้ายฉือและเสี่ยวอ้ายโม่โตขึ้นเพียงใดแล้ว
“พวกเขาอยู่ที่นครล่าฝัน ก่อนหน้านี้ทั้งสองยังเด็กมากและไม่มีที่ใดที่ไว้วางใจได้ ข้าจึงพาทั้งสองไปด้วยทุกที่ ทว่าตอนนี้มีทั้งท่านอธิการ ท่านปู่ ท่านอา ท่านพ่อและคนอื่น ๆ อีกมากมายที่จะคอยช่วยดูแลและอบรมสั่งสอนสิ่งต่าง ๆ ให้กับทั้งสองได้ การให้เจ้าหนูทั้งสองอยู่ที่นครล่าฝันน่าจะเป็นสิ่งที่ดีที่สุดแล้ว”
ฉินอวี้โม่ค่อย ๆ กล่าวอธิบายว่าตอนนี้บุตรทั้งสองเริ่มโตขึ้นเรื่อย ๆ และจำเป็นที่จะต้องเรียนรู้หลายสิ่งหลายอย่างได้แล้ว การมีคนคอยอบรมสั่งสอนถือเป็นสิ่งที่จำเป็นอย่างมาก อีกทั้งทุกคนที่นครล่าฝันล้วนเป็นผู้ใหญ่ที่ไว้วางใจได้ พวกเขาจะดูแลเจ้าหนูทั้งสองเป็นอย่างดี
“เจ้าค่ะ ข้าคงต้องรอพบทั้งสองในภายหลัง”
เสี่ยวโร่วส่ายศีรษะเบา ๆ ด้วยความผิดหวังเล็กน้อยเมื่อคิดว่าจะไม่ได้พบเด็กน้อยทั้งสองอีกพักใหญ่
“เสี่ยวโร่ว เจ้าได้ข่าวอื่น ๆ จากตระกูลหานบ้างรึไม่ ?”
เสี่ยวโร่วพยายามสืบหาเบาะแสเกี่ยวกับตระกูลหานมาโดยตลอดและแน่นอนว่านางได้ข้อมูลมามากที่สุด หากกล่าวว่าตระกูลหานไม่เตรียมความพร้อมสำหรับงานรวมพลสี่ตระกูลลับที่เป็นงานใหญ่นี้ก็คงเป็นไปไม่ได้
ทันทีที่ตัวตนของหานโม่ฉือถูกเปิดเผยออกไป หานชางก็น่าจะคาดเดาได้ว่าเขาจะหาทางไปที่งานครานี้อย่างแน่นอน เพราะเหตุนั้นตระกูลหานก็น่าจะเตรียมความพร้อมรอบด้านเพื่อรอให้หานโม่ฉือเดินเข้าไปติดกับดักของพวกเขา
จากนั้นเสี่ยวโร่วก็พยักศีรษะและอธิบายทั้งสองเกี่ยวกับการเตรียมการของตระกูลหานอย่างละเอียด