คุณหนูสี่ สตรีเปื้อนเลือด - ตอนที่ 611 หานชางเริ่มดำเนินแผนการ
สวีไหลมาที่จวนตระกูลหานตั้งแต่เมื่อประมาณสามสิบปีก่อน เมื่อได้พบทารกน้อยหานโม่ฉือผู้เป็นตัวกาลกิณี เขาก็ควรจะทำตามคำสั่งของอาจารย์โดยการสังหารทารกน้อยทันที อย่างไรก็ตาม อาจเป็นเพราะความรักที่ลึกซึ้งที่หานซวนหยวนและไป่หลี่จิ่นซิ่วมีต่อหานโม่ฉือจึงทำให้เขาอ่อนไหวขึ้นมา หรืออาจเป็นเพราะเขาไม่อาจทำใจสังหารทารกน้อยน่ารักน่าชังที่เพิ่งลืมตาดูโลกได้นี้ ในท้ายที่สุด สวีไหลได้ตัดสินใจที่จะลองพยากรณ์ดูเป็นครั้งสุดท้าย
สำหรับความสามารถด้านวิชาโหราศาสตร์ทำนายดวงชะตาจากดวงดาว แน่นอนว่าเขาด้อยกว่าสมาชิกคนอื่น ๆ ในพิภพเหนือสวรรค์ ทว่าหากเป็นเรื่องการพยากรณ์ศาสตร์ เขาก็ไม่ได้ด้อยไปกว่าใครหน้าไหนทั้งสิ้น
หานโม่ฉือเป็นตัวกาลกิณีตามคำทำนายอย่างแท้จริงและมันเป็นไปตามหลักโหราศาสตร์ในตอนนั้นอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยง ส่วนเรื่องที่เขาอาจกลายเป็นปีศาจร้ายที่ทำให้ทั่วทั้งดินแดนเทพมายาต้องล่มสลายก็เป็นความจริงเช่นกัน
อย่างไรก็ตาม มีบางอย่างเปลี่ยนแปลงในแผ่นภาพพยากรณ์ของสวีไหล เมื่อหานโม่ฉือมีอายุเข้าสู่ช่วงวัยยี่สิบปี มันจะมีเหตุการณ์บางอย่างเกิดขึ้นกับเขา สวีไหลไม่อาจทราบได้ว่ามันคือเหตุการณ์ใด ทว่าสามารถอนุมานได้จากแผ่นภาพแปดเหลี่ยมว่าดวงชะตาของหานโม่ฉืออาจจะเปลี่ยนแปลงไปเพราะเหตุการณ์ครั้งนั้น
และเป็นเพราะความเปลี่ยนแปลงนั้นที่แม้แต่เขาก็ไม่ทราบว่ามันคือสิ่งใด เขาจึงตัดสินใจที่จะปล่อยให้ทารกน้อยหานโม่ฉือเป็นอิสระและได้มีชีวิตอยู่ต่อไป
ยิ่งไปกว่านั้น เขาก็ใช้แผ่นภาพแปดเหลี่ยมเพื่อคำนวณว่าหากแลกด้วยวิชายุทธ์ของบิดามารดาของหานโม่ฉือและอิสรภาพสามสิบปี ชะตาชีวิตของหานโม่ฉือก็อาจจะเปลี่ยนแปลงไปได้ หลังจากเหตุการณ์ดังกล่าว หานโม่ฉือก็อาจหลุดพ้นและมิใช่ตัวกาลกิณีอีกต่อไป
สวีไหลมิใช่คนช่างจ้อเท่าใดนัก ในตอนนั้น หานชางควบคุมและจัดการทุกอย่างด้วยตัวเอง สวีไหลไม่ทราบเกี่ยวกับจิตใจที่ซับซ้อนของมนุษย์และเรื่องทางโลกมากนัก เขาจึงไม่ทำสิ่งใดเพื่อขัดขวางหานชาง ตลอดเวลาหลายสิบปีที่ผ่านมา เขาได้เสนอตัวทำหน้าที่พิทักษ์หอคอยต้องห้ามซึ่งก็ถือว่าเป็นการปกป้องคุ้มครองหานซวนหยวนและไป่หลี่จิ่นซิ่วเช่นกัน
บัดนี้เมื่อหานโม่ฉือกลับมาแล้ว สวีไหลก็ได้ตระหนักว่า ‘การเปลี่ยนแปลง’ ที่สัมผัสได้ในครานั้นดูเหมือนว่าจะเป็นฉินอวี้โม่ สตรีผู้นี้นี่เองที่เป็นคนเปลี่ยนแปลงโชคชะตาของหานโม่ฉือ
“ฮ่า ๆ ๆ อีกไม่นาน เกรงว่าจะเกิดสงครามครั้งใหญ่ขึ้นในดินแดน หลังจากจัดการเรื่องต่าง ๆ ที่นี่เสร็จสิ้น ข้าจะกลับไปที่พิภพเหนือสวรรค์ พวกเจ้าคือความหวังของดินแดนเทพมายา ทุกอย่างหลังจากนี้ขึ้นอยู่กับพวกเจ้าแล้ว”
สวีไหลหัวเราะเบา ๆ ทว่าน้ำเสียงบ่งบอกถึงความรู้สึกบางอย่าง
“อีกอย่าง…หลังจากเรื่องทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว พวกเจ้าก็ควรรีบไปที่ชนเผ่าเอลฟ์ หากพวกเจ้าล่าช้าเกินไป เกรงว่าจะเกิดเหตุบางอย่างที่แม้แต่เจ้าทั้งสองก็ไม่อาจกู้คืนกลับมาได้”
หลังจากกล่าวทิ้งท้าย สวีไหลก็หายวับไปต่อหน้าฉินอวี้โม่และหานโม่ฉืออย่างไร้ร่องรอย
ฉินอวี้โม่และหานโม่ฉือไม่รู้สึกด้วยซ้ำว่าบุรุษผู้นี้จากไปตอนไหน ทั้งสองอดถอนหายใจให้กับความทรงพลังที่เหนือธรรมชาติของบุรุษผู้นี้ไม่ได้จริง ๆ ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่อาจเทียบชั้นกับเขาได้เลย
“ดูเหมือนว่าเขาจะไม่ได้โหดร้ายอย่างที่เราคิด”
ฉินอวี้โม่ถอนหายใจเฮือกใหญ่ เดิมทีนางคิดว่าสวีไหลเป็นคนจิตใจโหดเหี้ยมและชั่วช้า ทว่าทัศนคติของเขาในตอนนี้ก็ทำให้ความคิดของนางพลิกผันอย่างแท้จริง
หานโม่ฉือไม่กล่าวสิ่งใดและไม่อาจทราบได้ว่าเขากำลังคิดสิ่งใดอยู่ เวลานี้เขามิได้สนใจสิ่งที่เกิดขึ้นในอดีตมากนัก ทว่าคำอธิบายจากสวีไหลทำให้เขาคลายกังวลขึ้นมาก ในเมื่อฉินอวี้โม่เป็นตัวแปรที่เปลี่ยนแปลงโชคชะตาของเขา นั่นก็หมายความว่าเขาจะไม่นำพาอันตรายหรือหายนะมาสู่ตัวนาง ยิ่งไปกว่านั้น เขาก็ยิ่งกว่ามีความสุขและรู้สึกโชคดียิ่งนักที่เกิดการเปลี่ยนแปลงเช่นนี้
หลังจากที่ตามหามารดาของฉินอวี้โม่จนพบ เขาจะพานางไปท่องยุทธภพที่กว้างไกล ส่วนดินแดนเทพมายาแห่งนี้จะมีผู้ใดปกครองหรือเป็นอย่างไรนั้น เขาไม่สนใจแม้แต่น้อย ในสายตาของเขา ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนไม่มีค่าพอที่จะเทียบกับเส้นผมเส้นเดียวของสตรีคนรักด้วยซ้ำ
“ยังมีเวลาอีกสามวันก่อนถึงงานรวมพล หากคำนวณจากเวลา คงได้เวลาที่หานชางจะเริ่มดำเนินแผนการแล้ว”
สำหรับคำเตือนจากสวีไหล ฉินอวี้โม่และหานโม่ฉือเพียงตระหนักไว้ในใจโดยไม่คิดมากนัก ชนเผ่าเอลฟ์ลึกลับอย่างแท้จริง เวลานี้ทั้งสองอยู่ในมิติพิเศษของตระกูลหานและต่อให้เกิดเรื่องใดที่ชนเผ่าเอลฟ์ มันก็ยังห่างไกลเกินเอื้อม
อีกหนึ่งวันผ่านไปอย่างเงียบ ๆ มารยาและกิเลนอัคคีซึ่งอยู่ในหอคอยต้องห้ามยังไม่ส่งข่าวใดกลับมา ตลอดหลายวันที่ผ่านมา หานชางก็ไม่ไปที่หอคอยเพื่อพบทั้งสองอีกเลยจนดูราวกับว่าเขาลืมเลือนสองชีวิตในหอคอยไปเสียสนิท
ไป่หลี่ชิ่งโร่ว—คุณหนูใหญ่แห่งตระกูลไป่หลี่ก็ไม่มีการเคลื่อนไหวใด นางไม่มารบกวนฉินอวี้โม่และหานโม่ฉือแม้แต่น้อย ในขณะที่หานซื่อยังคงดำเนินชีวิตเช่นเดิมซึ่งก็คือการเข้าหาและพยายามตีตัวสนิทสนมเพื่อสืบข่าวจากเสี่ยวโร่ว
หานเฟยเองก็นิ่งเงียบไม่มีการเคลื่อนไหวใดเช่นกัน แต่ก็ได้ยินมาว่าเขาได้กลับไปเก็บตัวฝึกยุทธ์อีกครั้ง
ในวันนี้ฉินอวี้โม่และหานโม่ฉือกำลังเตรียมตัวออกไปท่องรอบเมือง ทว่าจู่ ๆ เสียงของมารยาก็ดังขึ้นในโสตประสาทของฉินอวี้โม่
“นายหญิง หานชางมาที่นี่แล้ว”
เมื่อได้ยินเสียงของมารยา ฉินอวี้โม่และหานโม่ฉือก็มองหน้ากันเล็กน้อยก่อนเข้าสู่คฤหาสน์เฟิงหัวโดยเร็ว
จากนั้นฉินอวี้โม่ก็แยกห้วงจิตจากร่างและหลอมเข้ากับจิตของมารยา นางต้องการเห็นเหตุการณ์ที่กำลังเกิดขึ้นในหอคอยต้องห้ามด้วยตาตัวเอง
ภายในชั้นที่เจ็ดของหอคอยต้องห้ามตระกูลหาน สายตาของหานชางและผู้อาวุโสหลายคนจับจ้องตรงไปที่หานซวนหยวนและไป่หลี่จิ่นซิ่ว
“ฮ่า ๆ ๆ หานซวนหยวน แม้ในอดีตข้าจะไม่มีทางสู้เจ้าได้เลย ทว่าตอนนี้เจ้าก็อยู่ในกำมือของข้า ท่านพ่อ…ชายแก่นั่นมักเชื่อมั่นว่าเจ้าเก่งกาจกว่าข้าเสมอ หากเขายังมีชีวิตอยู่ เขาคงได้เห็นเสียทีว่าใครกันแน่ที่ยอดเยี่ยมที่สุดในตระกูลหาน !”
หานชางหัวเราะลั่นอย่างบ้าคลั่งและแสดงความชิงชิงที่มีต่อพี่ชายต่างมารดาอย่างไม่ปิดบัง ในอดีต หานซวนหยวนมักเป็นผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดในตระกูลหานและเป็นบุตรชายคนโปรดที่รักที่สุดของผู้นำตระกูลหานคนก่อน แม้หานซวนหยวนจะปฏิบัติต่อพี่น้องทุกคนเป็นอย่างดี แต่หานชางก็ยังรู้สึกอิจฉาริษยาเขามากอยู่ดี
“หานชาง จะเสียเวลากล่าววาจาพร่ำเพรื่อไปไย ? หากเจ้าคิดว่าตนเองเป็นผู้ชนะก็ไม่จำเป็นต้องกล่าววาจาให้มากความ แต่หากเจ้าให้โอกาสข้าอีกครั้งละก็ ข้าจะไม่แสดงความปรานีอย่างแน่นอน !”
กิเลนอัคคีในคราบหานซวนหยวนมองหานชางด้วยแววตาเหยียดหยาม ร่างของอสูรแผ่กลิ่นอายประหลาดที่ไม่แสดงถึงความโกรธแค้นทว่าทำให้หานชางและคณะผู้ติดตามของเขารู้สึกอึดอัดยิ่งนัก
“เหอะ เดิมทีข้าไม่ได้วางแผนที่จะฆ่าเจ้า เพียงแต่จู่ ๆ ลูกชายของเจ้าก็กลับมาและเขาก็ทรงพลังอย่างมาก หากปล่อยให้เจ้ามีชีวิตต่อไป มันจะกลายเป็นปัญหาใหญ่สำหรับข้าแน่ วันนี้ข้าจะฆ่าเจ้าเสียและเปลี่ยนศพของเจ้าให้กลายเป็นหุ่นเชิดซึ่งจะเป็นข้ารับใช้ที่ภักดีที่สุดและทำทุกอย่างตามคำสั่งของข้า”
หานชางแค่นเสียงเย็นชาและแผ่จิตสังหารแรงกล้าอย่างเปิดเผย เดิมทีเขาไม่คิดที่จะดำเนินตามแผนการอย่างรวดเร็วเช่นนี้ ทว่าการปรากฏตัวอย่างกะทันหันของฉินอวี้โม่และหานโม่ฉือก็สร้างความกดดันให้กับเขาและทำให้เขารู้สึกถึงสภาวะวิกฤตเล็กน้อย เพราะเหตุนั้นก่อนงานรวมพลสี่ตระกูลจะมาถึง เขาจึงต้องกำจัดความกังวลที่มากสุดในตอนนี้ซึ่งก็คือหานซวนหยวนและไป่หลี่จิ่นซิ่ว
“เหอะ เจ้าไม่กังวลเกี่ยวกับบุรุษจากพิภพเหนือสวรรค์ผู้นั้นรึ ?”
มารยาในคราบไป่หลี่จิ่นซิ่วกล่าวด้วยน้ำเสียงถากถาง ต้องกล่าวเลยว่ามารยาและกิเลนอัคคีแสดงบทบาทของไป่หลี่จิ่นซิ่วและหานซวนหยวนได้อย่างแนบเนียนจนหานชางไม่สังเกตเห็นความผิดปกติใด ๆ
“ฮ่า ๆ ๆ ตลกชะมัด ข้าไม่กังวลอะไรทั้งนั้น ก่อนหน้านี้ข้าบอกให้ผู้อาวุโสทั้งสี่หาทางเบี่ยงเบนความสนใจและพาเขาออกไปข้างนอกแล้ว ตอนนี้รอบหอคอยเต็มไปด้วยคนของข้า คนจากตระกูลหลิวก็คุ้มกันอยู่ข้างนอกเช่นกัน ต่อให้มีปีก เจ้าก็หนีไปไหนไม่ได้ การที่ลูกของเจ้าเข้ามาที่นี่แต่ไม่พาเจ้าออกไป นั่นเป็นการตัดสินใจที่โง่เขลาที่สุดในชีวิตของเขา !”
หานชางหัวเราะอย่างบ้าคลั่งก่อนโบกมือส่งสัญญาณให้หลายคนข้างหลังเขากระโจนเข้าหาหานซวนหยวนและไป่หลี่จิ่นซิ่ว
หานซวนหยวนและไป่หลี่จิ่นซิ่วแสร้งทำเป็นขัดขืนครู่หนึ่งก่อนถูกจับตัวโดยคนของหานชาง
“ฮ่า ๆ ๆ ไม่ว่าเมื่อใด ข้าก็เป็นผู้ชนะเสมอ !”
หานชางยังคงหัวเราะต่อไปราวเสียสติ เขาเดินตรงเข้าไปจ้องหน้าหานซวนหยวนและฟาดฝ่ามือตบอย่างแรง
ใบหน้าของกิเลนอัคคีในคราบหานซวนหยวนเปลี่ยนไปเล็กน้อย มันแทบอดกลั้นไม่ไหวอีกต่อไปและเตรียมที่จะตอบโต้ ทว่าจู่ ๆ เสียงหนึ่งก็ดังขึ้นก่อนที่มันจะเคลื่อนไหวได้
“ผู้นำหาน ช้าก่อน”
เจ้าของเสียงดังกล่าวก็มิใช่ใครอื่น หากแต่เป็นหลงจื้อจากนิกายหงส์มังกรนั่นเอง
“ผู้อาวุโสหลงจื้อ มีเรื่องอะไรงั้นรึ ?”
เมื่อเห็นหลงจื้อก้าวออกมา หานชางก็หยุดการกระทำของตนเองและยิ้มตอบ
“ผู้นำหาน ท่านลืมไปแล้วหรือว่าทักษะหุ่นเชิดจะใช้ได้ดีที่สุดกับมนุษย์ที่มีชีวิต”
หลงจื้อชำเลืองมองหานซวนหยวนและไป่หลี่จิ่นซิ่วก่อนกล่าวพร้อมรอยยิ้มเล็กน้อยเพื่อย้ำเตือนหานชาง
เขาเคยได้ยินเกี่ยวกับทักษะหุ่นเชิดนี้มาเช่นกัน และเป็นเพราะความสงสัยใคร่รู้ ครานี้เขาจึงตามหานชางมาที่นี่
หลงจื้อเคยประจันหน้ากับหานโม่ฉือมาก่อนและทราบดีว่าหานโม่ฉือแข็งแกร่งเพียงใด หลังจากได้พบหานซวนหยวน เขาก็ทราบดีว่าถ้าพ่อเป็นเสือลูกก็ไม่มีทางเป็นหมา แม้หานซวนหยวนถูกควบคุมตัวไว้ แต่ความยืนหยัดและจิตใจที่เด็ดเดี่ยวของเขาก็ยังทำให้หลงจื้ออดชื่นชมไม่ได้
*虎父无犬子 พ่อเป็นเสือลูกไม่เป็นหมา หมายถึง ถ้าพ่อยอดเยี่ยมมีความสามารถ ลูกก็ต้องยอดเยี่ยมมีความสามารถ
เมื่อเห็นหานชางเตรียมที่จะลงมือสังหาร เขาก็อดกล่าวออกไปไม่ได้ หากสามารถรักษาความยืนหยัดและจิตใจที่เด็ดเดี่ยวเช่นนี้ของหานซวนหยวนและไป่หลี่จิ่นซิ่วไว้ได้ หลังจากควบคุมตัวทั้งสองได้สำเร็จ สองสามี-ภรรยาคู่นี้จะกลายเป็นข้ารับใช้ที่ดีที่สุดของพวกเขา และเมื่อถึงเวลาของสงคราม พวกเขาจะกลายเป็นกำลังสำคัญอย่างแน่นอน
“ก็จริงอย่างที่ว่า เพียงแต่การใช้ทักษะหุ่นเชิดกับคนที่ยังมีชีวิตเป็นเรื่องที่ยากเย็นยิ่งนักและข้าไม่มั่นใจแม้แต่น้อย”
หานชางชำเลืองมองหานซวนหยวนและไป่หลี่จิ่นซิ่วก่อนพยักศีรษะและส่ายศีรษะไปมา แน่นอนว่าเขาทราบเรื่องนี้เป็นอย่างดี เพียงแต่การทำให้สำเร็จนั้นยากเกินไป
“ฮ่า ๆ ๆ มันจะยากสักเพียงใดกัน เพียงดูดกลืนพลังวิญญาณของพวกเขา ลบล้างจิตใต้สำนึกของพวกเขาและใช้พลังวิญญาณของท่านในการครอบงำร่างของทั้งสอง เพียงเท่านี้คนทั้งคู่ก็จะกลายเป็นหุ่นเชิดที่สมบูรณ์แบบที่สุด”
หลงจื้อยิ้มและกล่าวต่อ “ก่อนเดินทางมาที่นี่ครานี้ ท่านผู้นำนิกายสั่งให้ข้าช่วยผู้นำหานอย่างเต็มที่ เพราะฉะนั้น ในเมื่อพวกเราอยู่ที่นี่ ผู้นำหานวางใจได้เลย หานซวนหยวนและไป่หลี่จิ่นซิ่วก็มิได้แข็งแกร่งนัก เราไม่จำเป็นต้องกังวล ต่อให้ฉินอวี้โม่และหานโม่ฉือทราบเรื่องก็ไม่สามารถมาขัดขวางเราได้ เชิญผู้นำหานดำเนินตามแผนการด้วยจิตใจที่สงบเถิด”
หานชางเดินตรงเข้าไปหาหลงจื้อและตบไหล่เขาเบา ๆ ก่อนกล่าวพร้อมรอยยิ้ม “ผู้อาวุโสหลงจื้อช่างจงรักภักดีจริง ๆ หากข้าควบคุมคนทั้งสองได้ ข้าจะรู้สึกซาบซึ้งใจกับผู้อาวุโสหลงจื้อและนิกายหงส์มังกรมาก”
“ฮ่า ๆ ๆ ไม่ต้องรู้สึกซาบซึ้งอะไรหรอก พวกเราลงเรือลำเดียวกันแล้ว ไม่ว่าอย่างไรเราก็ต้องช่วยเหลือซึ่งกันและกัน”
หลงจื้อยิ้มและกล่าวตอบราวกับเป็นสหายใกล้ชิดกัน
หลังจากพูดคุยหารือกันพักหนึ่ง หานชางก็ไม่ลังเลอีกต่อไปและสั่งให้คนปิดจุดไหลเวียนพลังของคนทั้งสองและจับตัวมัดไว้ก่อนที่พลังวิญญาณของเขาจะค่อย ๆ แผ่เข้าไปครอบคลุมห้วงจิตของพวกเขา…
แน่นอนว่ามารยาและกิเลนอัคคีให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี ทว่าการแสดงทั้งหมดนี้เป็นเพียงส่วนหนึ่งของแผนการที่วางไว้ล่วงหน้าแล้วและเพียงรอให้หานชางเข้ามาติดกับก็เท่านั้น…
.